“ไอ้เวรนั่นมาทำอะไรที่นี่?” โรแวนตะโกนเสียงดัง ดวงตาสีเทาเย็นชาจ้องไปที่อีธานอย่างดุร้ายฉันไม่อยากให้ค่ากับความงอแงของเขาเลยจริง ๆ ใช่ เขาช่วยฉันไว้เมื่อวาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครสามารถเข้าบ้านฉันได้บ้างธีโอ หรือฉันควรพูดว่าพ่อของฉันกระแอม ฉันคงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะชินกับการที่จะเรียกเขาว่าพ่อเสียงของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันไปหาเขา“ธีโอ โฮเวลล์เหรอ?” โรแวนถามด้วยความประหลาดใจแต่เขาก็รีบซ่อนมันไว้ “คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?”โรแวนมองระหว่างพวกเราทุกคน สายตาของเขามองจากธีโอและโนราแล้วมองกลับมาที่ฉัน ขณะที่เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะโรแวน แต่ฉันขอพูดไว้เลยว่าฉันไม่ปลื้มกับวิธีที่นายปฏิบัติต่อลูกสาวของฉัน” ธีโอพูดด้วยรอยยิ้มอันตราย“ที่เขาจะบอกก็คือ เราโกรธมากกับวิธีที่คุณและครอบครัวของคุณปฏิบัติต่อลูกสาวของเรา และเราไม่อยากร่วมงานกับคนนิสัยแบบนั้น” โนราเสริม เธอไม่ได้ยิ้ม และนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอมาที่บ้านของฉันที่ฉันรู้สึกถึงความเป็นศัตรูและความเกลียดชังที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ“เป็นไปได้ยังไง?” ทราวิสตกใจจน
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ฉันถึงได้ลงเอยกับพวกเขา“แล้วทำไมคุณถึงรับเลี้ยงฉันล่ะถ้าคุณไม่ได้ต้องการฉัน?” ฉันถามทุกคนเงียบขณะที่เธอตอบ “เมื่อทราวิสอายุได้สองขวบ เขาวิ่งออกจากบ้าน พอฉันรู้ตัว เขาก็กำลังจะข้ามถนนแล้วและมีรถกำลังวิ่งเข้ามา ฉันรู้ว่าฉันจะไปหาเขาไม่ทัน ฉันกรีดร้องด้วยความกลัว ความกลัวของฉันคงทำให้วินนี่ตื่นตัว ฉันไม่รู้ว่าเธอทำได้อย่างไร หรือเธออยู่ที่ไหน หรือเธอเคลื่อนไหวอย่างไร แต่เธอช่วยทราวิสไว้ในวันนั้น สุดท้ายเธอก็โคม่าเป็นเวลาสองเดือน พวกเขาตัดมือขวาของเธอออกเพราะมันเสียหายมากเกินไป เธอยังเดินกะเผลกตั้งแต่นั้นมาเพราะสะโพกได้รับบาดเจ็บถาวร”เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมา “เราตอบรับคำขอของเธอเพราะรู้สึกว่าเราเป็นหนี้เธอ แม้เราจะพยายามชดเชยให้เธอมากเพียงใด มันก็ไม่เคยเพียงพอต่อการช่วยชีวิตทราวิสและสิ่งที่เธอต้องเผชิญ ดังนั้นเมื่อเธอเสียชีวิต เราจึงรับเอวามาเลี้ยง”ฉันก้มหน้าลงและบ่นพึมพำ “คุณไม่น่าทำแบบนั้นเลย คุณควรจะเอาฉันไปส่งสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า มันคงดีกว่าชีวิตที่ฉันได้รับจากตอนที่อยู่กับคุณ”ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยมีความทรงจำดี ๆ กับพวกเขา พวกเขาล้
เอมม่า“ฉันยังคงไม่อยากเชื่อว่าเอวาเป็นลูกตระกูลโฮเวลล์” ทราวิสพูดขณะที่เราเข้าไปในบ้านของพ่อแม่เราฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อข่าวนี้เช่นกัน ทุกอย่างดูไม่จริงเลย เหมือนกับว่าไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ไม่สามารถเชื่อสิ่งที่ถูกเปิดเผยได้“ใช่ไหม?” ฉันพึมพำฉันคิดว่าฉันมีข้อได้เปรียบเหนือเธอ การรู้ว่าเธอถูกอุปถัมภ์เป็นความรู้สึกที่ดีที่สุด หลังจากที่อีธานบอกเราว่าพ่อแม่ของเธอเป็นคนรวย ความรู้สึกดี ๆ ทุกอย่างก็พังทลายลง ฉันอยากให้เธอมาจากครอบครัวที่ยากจน นั่นจะทำให้ฉันมีข้อได้เปรียบเหนือเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะรวยก็ตามถ้าเธอมาจากครอบครัวที่ยากจน ฉันก็คงจะดีกว่าเธอเสมอ เหนือกว่าเธอในทางหนึ่ง ในสังคมของเราคุณจะได้รับความเคารพมากกว่าหากครอบครัวของคุณมีเส้นสาย หากครอบครัวของคุณมีรากฐานและสืบเชื้อสายมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ถ้าคุณร่ำรวยเอง พวกเขาก็จะเคารพคุณ แต่คุณจะได้รับความเคารพมากกว่าหากมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้วฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่ออีธานบอกเราว่าเธอถูกอุปการะ ฉันคิดว่าพ่อแม่ของเธออาจไม่มีเงินเลี้ยงเธอ หรืออาจเป็นเพราะติดยา และพวกเขาจึงตัดสินใจให้คนอื่นอุปการะเธอ นั่นคงเป็นรอยด่างใหญ
แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันกลับมาและมั่นใจว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดีกับโรแวน แม่นั่นก็ทำให้ทุกอย่างพังลง โรแวนแทบไม่สนใจฉันเลยในตอนนี้ นับตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารเย็นวันนั้น เขาไม่เคยโทรหรือมาดูเลยว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างความสนใจของเขาเอนเอียงไปหาเอวาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเกลียดผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นไปอีก เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่หล่อนพรากเขาไปจากฉัน สำหรับฉันมันยากที่จะยอมรับได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป โรแวนไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับคนที่รักฉันหมดทั้งใจคนนั้นอีกแล้ว ตัวเขาเองอาจไม่รู้ แต่ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขามีความรู้สึกมากมายให้แก่เอวา ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นคืออะไร แต่มันมีอยู่แน่นอน ฉันกลัวเหลือเกินว่าเขาจะตกหลุมรักแม่นั่น ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถ้ามันเป็นเรื่องจริง มันคงทำให้ใจฉันแตกสลายฉันคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนสนิท“หวัดดีค่ะเพื่อน” มอลลี่รับสายตั้งแต่เสียงเรียกเข้าแรกดังฉันล้มตัวลงบนเตียงและพยายามกลั้นน้ำตา “ทุกอย่างกำลังพังไปหมดเลยมอลลี่ ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว”ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรง ทุกสิ่งช่างน่าหน่ายใจเหลือเกิน และรู้สึกเหมือนกำลังแบกภาระหนักบนบ่า“เล่ามาก่อ
เอวาพวกคุณเคยรู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตไปวัน ๆ บ้างไหม? รู้สึกเหมือนผู้คนหรือทุกอย่างรอบตัวไม่จริงบ้างหรือเปล่า? ฉันเคยลองค้นหาในกูเกิ้ลมันบอกว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของความรู้สึกพยายามหลีกหนีสังคมภายนอก มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่เคยประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายในวัยเด็กโดยเฉพาะ นับว่าเป็นกลไกการเผชิญปัญหาที่ทำให้บุคคลนั้นแยกตัวออกจากสิ่งที่ส่งผลเลวร้ายหรือก่อให้เกิดความเครียดหลังจากอ่านบทความจบ ฉันก็คิดว่าเล็ตตี้อาจพูดถูก ฉันอาจต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเลยแหละ ควรเริ่มจากการไปพบจิตแพทย์ก่อน ฉันรู้สภาพปัญหาของตนเองดีว่ามีบาดแผลภายในใจที่ฉันไม่สามารถก้าวข้ามได้ฉันถอนหายใจจากนั้นยืนขึ้นและเริ่มเดินไปมาในห้อง จิตใจวกวนไปมาไม่หยุด ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด จิตใจก็สงบลงไม่ได้เลย เมื่อมีใครก็ตามมาหาฉันถึงหน้าบ้าน ฉันก็ผลักไสพวกเขากลับไป ไม่แม้แต่โทรหาหรือพูดคุยกับใครเลยฉันเพียงแค่ต้องการอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนทุกสิ่งกับตนเอง บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังถาโถมใส่ และมันยากเกินจะรับมือได้ บางครั้งมันก็มากเกินไปจนฉันรู้สึกว่าภายในใจว่างเปล่า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำล
ฉันเข้าไปเลือกนั่งที่นั่งไกลที่สุดในห้องอย่างเงียบ ๆ ฉันขยับแว่นและหมวกให้เข้าที่เพื่อให้แน่ใจว่าแนบเนียนพอก่อนจะปิดเสียงโทรศัพท์ฉันมองหัวหน้าทีมสืบสวนไบรอันให้การในฐานะพยานอีธานนั่งอยู่ขวามือพร้อมทนายความ พ่อแม่ของฉันนั่งอยู่ข้างหลังเขา ส่วนทางซ้ายเป็นฝ่ายอัยการผู้ยื่นฟ้องด้านอัยการนั้นมีผู้คนนั่งอยู่มากกว่า มีตำรวจอยู่บ้าง ทราวิส เล็ตตี้ และที่น่าประหลาดใจคือโรแวน ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่เพราะเขาเกลียดขี้หน้าอีธาน แต่โรแวนเป็นคนที่ชื่นชอบการเห็นศัตรูของตนล่มจมต่อหน้าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ ฉันควรนั่งอยู่ด้านของอีธานจะดีกว่า"แล้วลูกความของคุณมีข้อแก้ต่างอย่างไรกับข้อกล่าวหาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้าง?" ผู้พิพากษาหญิงซึ่งดูเหมือนอายุประมาณหกสิบซักถามอีธานกระซิบทนายความของตนก่อนให้เขาตอบ"รับสารภาพผิดครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"อืม งั้นเชิญพยานให้การต่อได้เลย" เธอกล่าวก่อนที่ไบรอันจะเริ่มให้การต่อ ไบรอันเล่าต่อ เขาอธิบายเหตุการณ์ที่อีธานเพิ่งมาประจำการที่สถานีนี้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พวกเขาได้รับเอกสารการโอนย้ายมาประจำการที่สถานีนี้ ทุกอย่างดูเรียบร้อยจึงไม่ได้ตั้
ผ่านมาหนึ่งเดือนหลังจากเรื่องราวของอีธาน ฉันดีขึ้นแล้วหรือยัง? แน่นอนว่ายัง ยังเจ็บอยู่ไหม? เจ็บมากเลยล่ะ ฉันก้าวต่อไปแล้วหรือยัง? แน่นอนว่ายังเหมือนกันสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ง่ายเลยเลย ทุกวันฉันรู้สึกเหมือนตนเองจมลึกลงไปในทะเลแห่งความเจ็บปวดและความเศร้า ฉันคิดว่าคงไม่เป็นไรแล้วเมื่อตัดสินใจก้าวเดินจากอีธาน ตอนนี้ฉันตระหนักได้แล้วว่าฉันคงแค่โกหกตนเองเท่านั้นเรื่องที่อีธานทรยศฉันนั้นกระชากความเจ็บปวดที่ฉันพยายามกลบฝังไว้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ฉันกัดฟันลบออกไป เหมือนกับฉันกลับมาตั้งต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมบาดแผลใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งทำร้ายทั้งหัวใจและวิญญาณฉันก้าวผ่านแต่ละวันอย่างไร้จุดหมาย อยู่ไปเพียงเท่านั้น เวลาและสิ่งต่าง ๆ ผ่านไปโดยที่ฉันไม่ได้รู้สึกถึงชีวิตเลย ฉันเพียงแค่อยู่รอดไปวัน ๆ วันแล้ววันเล่าทุกคนดูเหมือนจะก้าวต่อไปได้ แต่ฉันรู้สึกเหมือนติดอยู่ที่เดิม ติดอยู่ในวงจรความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมหัวใจแตกสลาย โลกของฉันตอนนี้ทั้งมืดมนและหนาวเหน็บ ช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน“คุณครูเอวา ชาร์พ เป็นอะไรไหมครับ?” มาร์ค นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยถามให้ตายเถอะ ฉ
น้ำตาฉันเอ่อขึ้นในดวงตา ให้ตายเถอะ ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันอ่อนไหวมากเหลือเกิน“ขอเวลาหน่อยนะคะ” คำตอบหลุดออกจากปากฉันอย่างเชื่องช้า เนื่องจากพยายามกดความอ่อนไหวลงไปโนราถอนหายใจ “ถ้านั่นเป็นสิ่งที่ลูกต้องการ แม่ก็ไม่ขัด แต่จำเอาไว้นะลูก แม่รักหนูเสมอนะ หนูยังอยู่ในใจเสมอแม้ว่าแม่จะคิดว่าลูกตายจากไปแล้ว แม่หวังว่าหนูจะเชื่อใจและรู้ว่าหากต้องการแม่เมื่อไหร่ แม่พร้อมอยู่ข้างหนูเสมอ”พระเจ้า ฉันรู้สึกดีมากเหลือเกินที่รู้ว่ามีคนต้องการฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อใจพวกเขาได้หรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้“ค่ะ” ฉันตอบก่อนวางสายฉันเข้าใจสิ่งที่โนราพูด แต่ก็ยังไม่แน่ใจ สมมติว่าเธอเพิ่งต้องการใครสักคนเป็นที่พึ่งทางใจเท่านั้นล่ะ? ฉันหมายถึงใครสักคนที่แทนลูกชายสุดที่รักที่นอนอยู่ในคุกตอนนี้ ไม่สำคัญว่าจะเป็นลูกบุญธรรมหรือไม่ ดังนั้นบางทีเธออาจกำลังมองหาคนมาแทนที่ ฉันกลัวว่าจะโดนหลอกใช้ ฉันกลัวว่าจะเป็นเพียงตัวเลือกสำรอง เหมือนที่โรแวนเคยเห็นฉันเป็นเช่นนั้นฉันไม่ได้เย็นชาหรืออะไรแบบนั้นกับพวกเขาหรอก ฉันเพียงพยายามปกป้องเศษเสี้ยวหัวใจที่เหลืออยู่เท่านั้น“โอ้ย สาว” แครอลพูดขึ้น
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ