เสี่ยวป๋อสาวเท้าอย่างรวดเร็วยังห้องพักของ เจิ้งเหมยเกรงว่าหากช้ากว่านี้ เจิ้งเหมยพี่สาวที่น่าสงสารคนนั้นจะถูกลงโทษอีก
“พี่สาวเจิ้งเหมย ท่านอ๋องให้ท่านพักอยู่แต่ในห้องห้ามออกมาเดิน”
หายใจหอบเหนื่อยแต่ก็ต้องรีบพูดเพราะไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงสักนิด
เจิ้งเหมยยิ้ม นึกขำท่าทีร้อนรนของเสี่ยวป๋อ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ใบหน้าซื่อๆของเสี่ยวป๋อก็ทำให้เจิ้งเหมยมีรอยยิ้ม
“ข้าเข้าใจ คงเกรงว่าข้าจะเผลอเอ่ยปากเรื่องถูกทำโทษ”
เสี่ยวป๋อยิ้มด้วยความมละอายใจ รู้สึกว่าเจิ้งเหมยช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายเสียจริง หารู้ไม่ว่าเจิ้งเหมยรู้ดีว่า สิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูดในสถานะการเช่นนี้
“พี่สาวเข้าใจข้าก็เบาใจ เช่นนั้นท่านพักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยออกมาทำงาน”
เจิ้งเหมยรู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของเจิ้งเหมย หากองครักษ์ผู้นั้นไม่เดินมาถึงที่นี่ จวนอ๋องกว้างใหญ่หากเขาไม่จงใจใยจะเดินมาถึงที่กันดารที่สุดในจวน
จินเฉิงอู่ยัดขวดยาสมานแผล ใบเล็กลงในมือของคังซื่อฮั่น ที่ทำสีหน้างงๆ
“ เจ้ากำลังหาว่าข้า ใจคออำมหิตเช่นนั้นนี่คือยาสมานแผลที่ดีที่สุดที่ฝ่าบาทพระราชทานมา นำมันไปให้นางเสียบอกว่าเจ้าให้นางด้วยความหวังดี”
คังซื่อฮั่นอมยิ้ม
คังซื่อฮั่นผละออกมาหมายจะไปที่ห้องพักของเจิ้งเหมย
โยวเสวียนยืนฟังอยู่ด้านนอกหลบเดินไปอีกทางดักรอคังซื่อฮั่นที่ทางเดินทอดยาวสู่ห้องพักของเจิ้งเหมย
“ท่านองครักษ์”
ยิ้มบางๆน้ำเสียงอ่อนโยน
“คังซื่อฮั่น คาระวะพระชายา”โบกมือเหมือนรับรู้
“ ท่านองครักษ์กำลังจะไปไหนไม่ทราบ”
“เอ่อคือ ยาสมานแผลข้าน้อยตั้งใจนำยานี่ไปให้ แม่นางเจิ้งที่ห้องพัก”
โยวเสวียนยิ้มอ่อนโยนที่สุด
“ข้ากำลังจะไป ที่นั่นนำยาไปให้นางเช่นกัน ..ท่านอ๋องแม้จะโมโหร้ายไปบ้าง แต่หากข้าไม่สั่งโบยนางเสียก่อนท่านอ๋องคงไม่ปล่อยนางแน่ ท่านองครักษ์ก็รู้ว่า ห้องทำงานของท่านอ๋องเป็นที่สำคัญเพียงใด ข้าจำต้องสั่งโบยนางด้วยโทษเบาสุดในจวนคือเพียงแค่สิบไม้”
คังซื่อฮั่นรู้สึกถึงความจริงใจในน้ำเสียงนั้น ล้วงหยิบยาส่งให้ชายาเอก
“เช่นนั้นข้าฝากยา สมานแผลนี่ไปกับพระชายา เผื่อว่าพระชายาจะได้ปลอบใจนางนานหน่อย ข้าเป็นบุรุษ อีกทั้งนางเป็นคน..ของท่านอ๋อง...ข้าจึงไม่ควรไปรบกวนนาง”
สายตาเปล่งประกายดุจเหยี่ยว แต่เป็นเพียงแวบเดียวและคังซื่อฮั่นไม่ทันเห็นมันด้วยซ้ำไป
“ข้า ยินดีบอกกล่าวแก่นางว่าเจ้ามอบยาดีมาให้นาง”
คังซื่อฮั่นคาระวะก่อนเดินจากมา
ค่ำคืนเหน็บหนาว บาดแผลยังคงเจ็บลึก เจิ้งเหมยนอนไม่หลับออกมานั่ง ชันเข่าที่ม้านั่งด้านนอกห้อง เหม่อมองไปยังด้านหน้าของจวนอ๋องกว้างใหญ่นั้น คังซื่อฮั่น ยืนมองอยู่บนต้นไม้ใหญ่มือถือกระบี่ จ้องมองมาที่เจิ้งเหมยผ่านแสงนวลของจันทรา ใบหน้าเศร้าหมองริมฝีปากหยักได้รูป กับแววตาเศร้าสร้อยเหตุใดกันนางถึงทอดอาลัยถึงเพียงนั้น
จินเฉิงอู่ยืนมอง เจิ้งเหมยอยู่อีกมุมหนึ่งเหมือนกัน แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เขารีบกลับเข้าห้องไปทันที เจิ้งเหมยยกมือขึ้นอธิฐานกับจันทรา
คำอธิฐานในใจใครจะล่วงรู้เล่า
เจิ้งเหมย ในชุดสาวใช้สดใส แผลที่หลังเกือบหายสนิทแล้ว ยุ่งอยู่ในครัวช่วยทำครัวหั่นผักใบหน้าสดใสเพราะหลายวันมานี้ได้พักผ่อนเต็มที่ จินเฉิงอู่ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานไม่ได้ลุกไปไหน อาหารเช้าโยวเสวียนลืมหรือว่านางอาจอาการป่วยแย่ลงกว่าเดิม วันนี้จึงยังไม่นำอาหารเช้ามานั่งกินด้วยกันสายเต็มทีแล้ว
"เสี่ยวป๋อ เสี่ยวป๋อ เหลียงซานป๋อ"
ไม่มีแม้เงาอดไม่ได้ที่จะลุกไปที่ครัวที่แยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง
เดินเอามือไพล่หลังเข้ามาในครัว เจิ้งเหมยยืนหั่นผัก แม่ครัวกำลังเตรียมอาหาร
"ยกอาหารไปที่ห้องข้าด้วย"
เจิ้งเหมย หันมามองสบตาคม อย่างที่ไม่ทันได้หลบเลี่ยง ดวงตาคมเข้มมองสำรวจทั่วร่างบาง เจิ้งเหมยเหมือนจะรู้สึกตัวรีบยกชามใส่ผักเดินหายลับไปกับตา จินเฉิงอู่แก้เก้อโดยการหันไปสั่งแม่ครัว
"วันนี้ มีข้าวต้มไหมข้าอยากกินข้าวต้ม"
"ข้าน้อยจะจัดเตรียมและยกไปให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้"
จินเฉิงอู่ไม่รอช้ารีบกลับไปที่ห้องทำงาน
“เจิ้งเหมย ยกเครื่องเสวยที่ห้องท่านอ๋องห้า”
แม่ครัวออกคำสั่งเจิ้งเหมย หันหน้าหันหลังไม่พบผู้ใดทำอย่างไรดี แม่ครัวส่งสายตาดุดุ เจิ้งเหมยยกเครื่องเสวยมาหาย่าหนานหมายให้ช่วยแต่ย่าหนานไม่อยู่ที่นั่น จึงจำใจเดินไปที่ห้องทำงานทั้งที่ยังหวาดๆ
ห้องถูกปิดเงียบ เสี่ยวป๋อยืนอยู่ด้านหน้า พอจะพึ่งได้ก็เห็นจะมีแต่เสี่ยวป๋อ
“น้องชาย เครื่องเสวยเช้าท่านอ๋อง พี่สาวรบกวนเจ้านำเข้าไปข้างในให้ด้วย เสี่ยวป๋อไม่รอช้ารีบรับเครื่องเสวย จากมือของเจิ้งเหมย“ให้นางนำเข้ามา”สั่งเสียงเฉียบขาดเหมือนกับตั้งใจฟังอยู่หลังประตูนั่น เสี่ยวป๋อดันถาดเครื่องเสวยส่งคืนเจิ้งเหมยอย่างรวดเร็ว พยักพเยิดให้เจิ้งเหมยเข้าไปเร็วๆ เพื่อความปลอดภัยตัวเองกลับวิ่งออกจากตรงนั้นไปทันทีเจิ้งเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผลักประตูเข้าไป ชนเอาร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้าเต็มแรงข้าวต้มร้อนๆ หกราดเสื้อผ้าของจินเฉิงอู่จนเปรอะเปื้อน เจิ้งเหมยถลาเข้าปัดเสื้อที่เลอะจนใบหน้าใสชนเอากับใบหน้าคมเข้มของท่านอ๋องอย่างไม่ทันระวัง จินเฉิงอู่จับมือบางไว้แน่นจนเจิ้งเหมยรู้สึกเจ็บ สายตาคมดุดันจ้องมอง คุกเข่าลงกระแทกพื้นอย่างแรงด้วยความเคยชิน จนรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า แต่ก็กัดฟัน ข่มความเจ็บปวด“ท่านอ๋องโปรดอภัย”จินเฉิงอู่ส่ายหน้าปัดเศษข้าวต้มที่เลอะเสื้อ ดีที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่มีหลายชั้นถอดเสื้อคลุมออก คังซื่อฮั่นกับเสี่ยวป๋อวิ่งมาพอดี เสี่ยวป๋อรีบไปรับเสื้อคลุมมาถือไว้ด้วยใบหน้าหวาดกลัว เจิ้งเหมยก้มหน้านิ่ง“ท่านอ๋องเสี่ยวป๋อไปสั่งห้องเครื่องนำเครื่องเสวยมา
"ข้าไม่เป็นไรแล้ว เชิญใต้เท้ากลับเถอะ"ลุกขึ้นตั้งใจจะเดินเข้าห้องแต่กลับกะเผลก คังซื่อฮั่นไม่รีรออุ้มเจิ้งเหมยเข้าห้องไปวางไว้ที่เก้าอี้"ร่างกายเจ็บปวดกับใช้งานไม่หยุดหย่อน หากเจ้าไม่ฝืนก็ไม่เจ็บ""ขอบคุณใต้เท้า เจิ้งเหมยจะจำใส่ใจ"คำพูดห่างเหินอย่างที่คังซื่อฮั่นไม่อยากได้ยิน"เจ้าคราวหลังก็อยู่ห่างท่านอ๋องไว้ บางอย่างในใจท่านอ๋องไม่มีผู้ใดล่วงรู้นับว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่ไม่เปิดเผยตัวตน"เสี่ยวป๋อกับคังซื่อฮั่นนั่งอยู่ด้วยกันบนโต๊ะมี ไหสุรา"นาง มักยุ่งเกี่ยววนเวียนอยู่กับท่านอ๋องแม้จะเรื่องบังเอิญก็เหมือนจงใจอีกทั้งนางยังสาวและสวยจนชายใดที่ประสบพบนางไม่ชายตาเป็นไม่ได้ ใต้เท้าคังคิดหรือไรว่าท่านอ๋องจะ ...เพียงแค่ต้องการนางเป็นแค่สาวใช้ในจวนอย่างที่พูด"เสี่ยวป๋อหารือกับคังซื่อฮั่น ที่ยกจอกสุรากระดกลงคอถี่ๆ ด้วยความคิดหลากหลาย"ท่านอ๋อง หลายครั้งที่ปฏิเสธเรื่องชายารองจากฝ่าบาท ครั้งนี้หากยอมเป็นหมากเดินตามทางที่ฝ่าบาทตั้งใจวางไว้ นับว่าแผนหญิงงามที่เคยกล่าวไว้ตั้งแต่โบราณกาลกลับใช้ได้ผล""หากคิดในด้านดีฝ่าบาทอาจจะเห็นว่าท่านอ๋องตรากตรำทำงานเพื่อราชสำนักอีกทั้งพระชายายังร่างกายอ่อนแอไ
“เจิ้งเหมย ชายาเรียกเจ้า”ย่าหนานทำสีหน้ากังวล เจิ้งเหมยยิ้ม เดินมายังห้องพักที่เป็นทั้งที่อยู่ที่กิน“มาแล้วหรือเจิ้งเหมย”เจิ้งเหมย เดินเข้าไปย่อกามยต่อหน้าพระชายาที่นอนอยู่บนแท่นนอน เหมือนกำลังป่วย ยื่นขวดยาสมานแผลที่คังซื่อฮั่นมอบให้ตรงหน้าเจิ้งเหมย“ข้าลืมเลือนเสียสนิท องครักษ์คังให้ข้านำมันมามอบให้เจ้า ในคราวนั้น”เจิ้งเหมยรับมากำไว้ในมือ“เจิ้งเหมยซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในน้ำใจของทุกคนที่นี่”พระชายายิ้มอ่อนหวานเหมือนจะไม่เคยโกรธใคร“เรื่องที่เจ้าถูกโบยถ้าหากจะโกรธใครสักคนขอให้เป็นข้าเถิด ท่านอ๋องเป็นคนที่ดุดันในแบบฉบับของแม่ทัพ ทุกอย่างในจวนล้วนมีกฏเกณฑ์ เพียงแค่เจ้าไม่ทำผิดข้าก็พอจะออกรับแทนได้ ครั้งนั้นหากไม่สั่งโบยเจ้าเสียก่อนเกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้”“เจิ้งเหมยจะจำคำสอนของพระชายา ต่อแต่นี้เจิ้งเหมยจะไม่ทำให้พระชายาลำบากใจ ”“หลายอย่างในจวนเจ้ายังต้องปรับตัวอีกมาก มีสิ่งใดที่ไม่สบายใจข้ายินดีรับฟังเสมอ คิดเสียว่าข้าเป็นดั่งพี่สาว เจ้าเองก็ใช่จะต่ำต้อยเป็นถึงบุตรตรีของใต้เท้าเจิ้ง จะให้อยู่อย่างสาวใช้เลยทีเดียวก็คงจะไม่เหมาะ”พูดเสียยืดยาว ออกจากห้องของชายาตามทางเด
"พี่สาวเจิ้งเหมย ท่านอ๋องให้ท่านสวมชุดนี้ตามเข้าวัง"เสี่ยวป๋อส่งชุดเรียบหรูในแบบ ที่ใช้ในราชสำนักให้กับเจิ้งเหมยก่อนหน้านั้น"ท่านอ๋อง จำเป็นต้องเป็นนางด้วยหรือ""ฝ่าบาทจะด้วยจงใจหรือไม่ แต่ทรงระบุมาว่าให้ข้าพานางไปรับไทฮองไทเฮาในวังหลวง"โยวเสวียนยิ้มเศร้าๆ"ข้าร่างกายอ่อนแอ เรื่องเช่นนี้ยังไม่อาจแบ่งเบาท่านอ๋องจึงต้องฝืนใจพานางเข้าวังรับไทฮองไทเฮา""หวางเฟย อีกไม่นานก็จะแข็งแรงและเมื่อนั้นต้องเป็นเจ้าที่ข้างกายข้างทุกยาม"เกี้ยวหลังใหญ่ รอท่าอยู่ที่หน้าจวนอ๋อง เจิ้งเหมยในชุดผ้าแพรบางเบาพลิ้วไหวงดงามราวรูปวาดพู่กันจีนช่างเขียนภาพอันดับหนึ่ง ใบหน้าสว่างสดใสหากไม่ติดที่ดวงตาเศร้าสร้อยของนาง จินเฉิงอู่ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวเสี่ยวป๋อเปิดผ้ากั้นผายมือเชิญเจิ้งเหมยที่ทำท่าจะเดินตามเกี้ยวกระซิบเบาๆ"พี่สาว ขึ้นไปนั่งข้างบนเถิดวันนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่สู้ดีนัก"เจิ้งเหมยก้าวขาขึ้นไปบนเกี้ยว จินเฉิงอู่นั่งชิดริมหน้าต่างอีกด้าน เจิ้งเหมยจึงเลือกที่จะนั่งชิดอีกฝั่งหันหน้าออกนอกหน้าต่าง"เดินทาง"เหลียงซานป๋อสั่งคนหามเกี้ยวดังๆ ท่านอ๋องห้ายังนั่งหลับตานิ่งเหมือนคนหลับ ส่วนเจิ่งเหมยเปิดหน้าต่างยื่นหน
เจิ้งเหมยดิ้นรนฮัดฮัดในอ้อมกอด จินเฉิงอู่กดคางลงบนไหล่บางจงใจให้เจิ้งเหมยรู้สึกเจ็บ"อย่าดิ้น"ยังแกะมือข้างที่กอดออกจากเอวไม่ยอมฟังคำเตือน"ท่านอ๋อง ปล่อย""เจ้า มันก็แค่สาวใช้ เช่นไรกล้าออกคำสั่งกับข้า"ใบหน้าเศร้าสร้อยกับคำกล่าวนั้น แต่ยังไม่อยู่นิ่งดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งปล่อยให้ม้าเหยาะย่างตามใจดึงรั้งเอวบางชิดเอวหนา"อย่างไร อยู่กับข้าสองต่อสองกล้าดีอย่างไรถึงกล้าไม่ฟังคำสั่ง"เกยคางลงบนไหล่บางปล่อยให้สันจมูกโด่งเลาะเล็มอยู่ข้างแก้ม"เจิ้งเหมยเป็นเพียงสาวใช้ท่านอ๋องได้โปรด…."พูดได้เพียงแค่นั้นจินเฉิงอู่เอี้ยวตัวใช้ปากอุ่นประกบปากบาง บดขยี้อย่างที่ไม่อาจหักห้ามใจมือใหญ่ช้อนรับที่ต้นคอระหงตรึงไว้กับที่ไม่ให้ขยับบรรจงจูบจนหนำใจ จึงปล่อยเจิ้งเหมยเป็นอิสระทั้งที่เสียดายรสจูบหอมหวานนั้นเหลือเกิน แต่เจิ้งเหมยกลับอ่อนระทวยในอ้อมแขน ทั้งเขินอายและตกใจ"คราวนี้คงอยู่นิ่งได้เสียที"จินเฉิ้งอู๋ยิ้มอย่างผู้ชนะ สวมกอดแนบแน่นกระตุกบังเหียนม้าให้ทะยานไปข้างหน้า…..บ้านตระกูลเจิ้ง…..ฮูหยินตะกูลเจิ้ง และเจิ้งหมิงพี่สาวร่วมบิดากับเจิ้งเหมย ออกมารับจินเฉิงอู่หน้าบ้าน แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจิ้
วันส่งตัวเข้าวังเพื่อคัดนางใน ….ผู้คัดตัวนางในหลายสิบคนลงจากเกี้ยวที่หน้าประตูวังจินเฉิงอู่เข้ามาในวังแต่เช้าตรู่เช่นกัน ข้างๆกันนั้นเกี้ยวของเจิ้งเหมยหยุดก่อนถึงประตูวังตามธรรมเนียมร่างเล็กบอบบางก้าวลงจากเกี้ยวด้วยสายตาหวาดหวั่น หันมาร่ำลากับสาวใช้ที่มาส่งหันกลับมาอีกทีชนเข้ากับร่างใหญ่ของจินเฉิงอู่เข้าอย่างจัง รวบร่างบางไว้ในอ้อมแขนสบตากลมที่มีแววเศร้าสร้อยภายในนิ่งนานบางอย่างบอกเขาว่า นางช่างมีใบหน้างดงามนัก เสียดายคงจะไม่รอดพ้นสายตาของฝ่าบาทถูกคัดไปเป็นสนมของฝ่าบาทอย่าแน่นอน"ขออภัยใต้เท้า" หลบตาคมที่ส่งสายตาพึงพอใจในใบหน้างดงามยามเขินอายยิ่งน่ามอง จินเฉิงอู่เผลออมยิ้มเจิ้งเหมยเดินหลบเข้าไปในวังปล่อยเขายืนเก้ออยู่ตรงนั้นเจิ้งเหมยหลบตาคมที่มองมาอย่างคาดคั้น"ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง เราสองคนแต่เดิมไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหตุใดเจิ้งเหมยต้องอยากมาอยู่จวนอ๋องหากไม่ใช่บัญชาของฝ่าบาท""เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จริงอย่างที่เจ้าพูดเช่นนั้นวันนี้ข้าจะถือว่าข้าไม่ใช่อ๋อง เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น"จูบรุนแรงป่าเถื่อนเจิ้งเหมยดิ้นรนแต่กลับถูกกอดรัดมือกำแน่นทุบลงบนอกกว้างมือใหญ่กำมื
จินเฉิงอู่อุ้มร่างบางเปียกปอนของเจิ้งเหมยวางบนตลิ่ง โยวเสวียนว่ายน้ำเข้าฝั่งเพียงลำพัง เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่าว่าโยวเสวียนว่ายน้ำเป็น ก็ในเมื่อยังเยาว์วัยโยวเสวียนและเขามักจะพาก้นไปว่ายน้ำที่สระในวังหลวงเสมอ แต่เจิ้งเหมยที่นอนสลบอยู่นี่กับไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้เสี่ยวป๋อนำเสื้อคลุมมาให้เขา โยวเสวียนมองมาที่จินเฉิงอู่ที่นั่งมองเจิ้งเหมย สายตาแม้เฉยเมยแต่โยวเสวียนกลับไม่วางใจ"ตามหมอ"ผุดลุกขึ้นเดินไปที่โยวเสวียน"น้ำเย็นมาก หวางเฟยรีบกลับไปแช่น้ำอุ่นแล้วจิบน้ำขิงเสียหน่อย เสี่ยวป๋อสั่งห้องครัวต้มน้ำขิงให้พระชายา"คังซื่อฮั่นอุ้มเจิ้งเหมยกลับไปที่ห้องพัก ย่าหนานวิ่งตามด้วยความเป็นห่วงคังซื่อฮั่น รีบรุดไปที่ห้องของจินเฉิงอู่"พระชายาจงใจแกล้งเสี่ยวเหมย""เสี่ยวเหมย"ยิ้มมุมปากเหมือนยิ้มเยาะให้กับตัวเอง"ดูท่าเจ้าจะสนิทสนมกับนางไม่น้อยถึงกับเรียกนางแบบนั้น เช่นนั้นหากจะโกรธแทนนางใส่ร้ายพระชายาก็ไม่แปลก""ท่านอ๋อง พระชายาว่ายน้ำเก่งท่านก็รู้"จินเฉิงอู่นิ่ง"นางเป็นตะคลิว"โยวเสวียนเข้ามาในห้อง"ท่านอ๋อง โยวเสวียนถูกน้ำเย็นจัดจนเป็นตะคริวดังที่ท่านอ๋องสงสัย จึงร้องให้นางช่วย หากท่าน
“ไทฮองไทเฮารับนางไว้รับใช้ข้างกายอีกหน่อยท่านอ๋องยกฐานะนางขึ้นเป็นชายารองได้ไม่ยาก”ใต้เท้าตู้พูดเหมือนตั้งใจหยั่งเชิงจินเฉิงอู่ว่า ยังมีรักให้กับโยวเสวียนอยู่ไหม“ชายารอง เดิมทีข้าไม่เคยคิดจะมีชายารอง ข้าไม่ชมชอบการมีใจสองเที่ยวแบ่งปันความรักให้ใคร”“หากโยวเสวียนมาได้ยินคำนี้นางคงต้องดีใจแน่ ท่านอ๋องนับว่าเป็นมหาบุรุษทีเดียว ยากยิ่งที่จะไม่หวั่นไหวกับสาวงาม”จินเฉิงอู่ยิ้มบางๆ“เจิ้งเหมย ย่าให้เจ้าเย็บถุงเครื่องหอม เสร็จหรือยัง”“ไทฮองไทเฮาเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ดี สีฟ้าเป็นสีที่เฉิงอู่ชอบมาก เจ้านำถุงเครื่องหอมอันนี้ไปที่ห้องท่านอ๋องส่งให้เหลียงซานป๋อบอกว่าข้าให้นำมามอบให้ท่านอ๋อง”“แต่ไทฮองไทเฮา เจิ้งเหมย”“อย่าปฏิเสธย่า...ไปได้แล้ว มัวแต่ชักช้ามืดค่ำป่านนี้อากาศเย็นกลับมาเจ้าต้องมานวดให้ย่าอีก อย่ามัวแต่ช้า”เจิ้งเหมยรีบรุดไปทันทีที่หน้าห้องนอน (โยวเสวียนออกกฏห้ามสาวใช้ในจวนเข้าไปในห้องนอนท่านอ๋อง เรื่องหลับนอนนางเป็นคนดูแลเอง) ไร้เงาของเสี่ยวป๋อ ข้างในเงียบสะงัดเหมือนร้างไร้ผู้คน เจิ้งเหมยเปิดประตูเข้าไปเบาๆ เดินย่องเข้าไปข้างในมือกำถุงเครื่องหอมแน่น แสงเทียนภายในส่องแสงนวลไม่สว่
“เฉิงเจินควรไปรอพบฟูจินที่ด้านหน้าประตูวัง ส่วนพวกท่านสองคน ข้าหลายวันมานี้อ่านฎีกาจนปวดเมื่อย ตำหนักใหญ่เงียบเหงาหลายวันเราสามคนร่ำสุราผูกสัมพันเช่นเก่าก่อน”เหลียงซานป๋ออมยิ้ม“ไท่จือท่านอย่าทำพลาดอีกนะ ฝ่าบาทอุตส่าห์ลงมือเองเพียงนี้”เฉิงเจินประสานมือตรงหน้าอมยิ้มแก้มปริ“ข้าลาทุกท่าน รับรองด้วยการฝึกปรือจากเสด็จพ่อท่านอาทั้งสอง เฉิงเจินไม่มีทางทำให้ผิดหวังแน่”คนทั้งหมดส่ายหน้าไปมาประตูวัง จินเฉิงเจินเดินวนไปเวียนมาราวกับเสือติดจั่นเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาแต่ไกล จึงยิ้มได้ ฟูจินดึงบังเหียนม้าให้หยุดตรงหน้า“ไท่จือท่าน ฝ่าบาทมีเรื่องใดกันจึงบัญชาฟูจินกลับเข้าวังหลวงโดยเร็วหรือว่าฮองเฮา”สีหน้าร้อนรนเฉิงเจินยิ้มคว้าข้อมือบางกระชากลงจากหลังม้า ช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน“ไท่จือ อย่าทำแบบนี้ ฟูจินมิใช่เด็กๆแล้วและเราสองคนก็โตกันแล้ว”“เราสองคนโตแล้วจึงเหมาะที่จะสร้างครอบครัว”ฟูจินขมวดคิ้ว“ปล่อยฟูจินก่อนเจ้าค่ะ”ดิ้นรนในอ้อมแขนแข็งแรง“ข้ารึ เป็นทุกข์อยู่เสียนานกลัวว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะ กีดกันแต่มาวันนี้ทั้งสองพระองค์ไม่ใช่แค่ไม่กีดกันยังส่งเสริมข้ากับเจ้า”ส่งฟูจินขึ้นบนหลังม้ากระโดดข
“ฟูจินรับบัญชาฮองเฮาสิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้วสำหรับฟูจิน”น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทว่าเศร้าสร้อย เจิ้งเหมยยิ้มฟูจินมักว่าง่ายเสมอ“เฉิงเจินกำลังจะแต่งไท่จือเฟยเจ้าเองคงเหงาและใจหายข้าจึงตั้งใจให้เจ้าแต่งกับบุตรชายแม่ทัพเว่ย เสียพร้อมกันจัดงานมงคลขึ้นพร้อมกัน”ฟูจินยิ้มเศร้าๆ“ฟูจิน ไยจึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเพียงนั้น หากไม่เต็มใจ ข้าจึงไม่บังคับเจ้า"ฟูจินย่อกายลงงดงาม"สิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้ว ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองฟูจินเกิดมาก็ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่สุขสบายเหมือนองค์หญิงเรื่องใดที่เป็นหน้าที่พึงกระทำเพื่อตอบแทนคุณ”เจิ้งเหมยโอบกอดฟูจินอย่างอ่อนโยน“ข้าไม่เคยคิดว่าเป็นบุญคุณที่มีเจ้าเป็น ดังลูกสาวคังฟูจินหากมีสิ่งใดที่เจ้า หนักใจ บอกกับข้ามาเถิด” ลูบหลังไหล่ให้ ฟูจินสะอื้นเบาๆ เจิ้งเหมยผลักร่างของฟูจินถอยห่างสบตาค้นหาความจริงในดวงตาสีโศกยามเย็นย่ำจินเฉิงเจินเร่งฝีเท้ามายังตำหนักชิงหนิงกงเหลือบแลหาฟูจินแต่ไม่พบนาง“เสด็จแม่”เจิ้งเหมยเงยหน้าขึ้นจากการเย็บถุงหอม“มาแล้วหรือให้ใครตามตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะมาถึง ไม่เห็นว่าการพบแม่สำคัญหรือไร คงต้องพูดเรื่องกา
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจิ้งเหมยอมยิ้ม ไท่จือมองฟูจินด้วยสายตาเจ็บซ้ำ“ฟูจินอายุน้อยกว่าเจ้า นางยังเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ไท่จือลูกเองก็น่าจะเข้าใจ ตอนนี้เองไท่จือก็ไม่ได้มีผู้ใดในใจมิใช่หรือ อย่างนั้นหากได้พบองค์หญิงปี่เหยาเจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้” ไท่จือแม้จะขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง นึกน้อยใจฟูจินที่ไม่ช่วยเขาแล้วยังเข้าข้างเจิ้งเหมยที่เป็นมารดาอีก“ ให้เสด็จแม่รู้ไว้ด้วยเถิดว่าลูกไม่เคยจะเต็มใจที่จะแต่งไท่จือเฟยตามที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เห็นสมควร ลูกต้องการที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง และเลือกเองเพียงลำพังลูกพูดเพียงแค่นี้ ลูกทูลลา” ขยับตัวลุกขึ้น เหลือบมองฟูจิน สิ่งที่ฟูจินเห็นในนั้นคือแววน้อยใจ ที่ทำเอาฟูจินโศกสลดไม่แพ้กันเจิ้งเหมยส่ายหน้าช้าๆ"ยังทำตัวเหมือนองค์ชายน้อยไม่เปลี่ยน"ฟูจินแสร้งขบขันทางเดินทอดยาว ฟูจินตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่เศร้าหมองหาสาเหตุไม่ได้ เดินเรื่อยไปตามทาง ดวงอาทิตย์อัสดงไปแล้วภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่บริเวณนี้กับเฉิงเจิน เสียงหัวเราสอดประสาน พลันร่างอ้วนป้อมของฟูจินก็ล้มลงไปกองกับพื้น"บอกแล้วอย่างไรอย่าวิ่งตาม เห็นไหมบา
มิอาจพูดว่ารักฟูจิน จัดการหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบเรียบร้อย ฮองเฮานั่งอยู่บนแท่นนั่งอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าใกล้“ฟูจินนวดให้ไหมเพคะ”เจิ้งเหมยในวัยกลางคนทว่าใบหน้ากลับงดงามอ่อนกว่าวัย ยิ้มน้อยๆ“ไม่มีครั้งไหนที่ข้าจะปฏิเสธมีเจ้าเพียงผู้เดียวฟูจินที่นวดได้ถูกใจข้าเหลือเกิน”ฟูจินยิ้มหวาน ออดอ้อนซบหน้าลงบนตักกว้าง“ฮองเฮาเมตตาฟูจิน จนฟูจิน ไม่เคยโหยหาความรักจากมารดาทั้งๆ ที่ ไม่เคยมีมารดากับเขา”เจิ้งเหมยลูบศีรษะเบาเบาจะไม่เมตตาได้อย่างไรก็ในเมื่อคังซื่อฮั่น หอบเอาห่อผ้าที่มีทารกน้อยมา ยื่นส่งให้ตรงหน้าจินเฉิงอู่พร้อมกับ พูดเพียงสั้นๆว่าดูแลเขาแทนข้าด้วย ใบหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อดวงตากลมใส ที่ยัดนิ้วโป้งเข้าไปดูดด้วยความหิว แก้มป่องใสดวงตาพิสุทธิ์ใครกันจะไม่หลงใหลนาง องค์ชายน้อยชะโงกหน้ามอง ฟูจินด้วยแววตาสงนฉนเท่ห์“ท่านแม่ น้องข้าใช่หรือไม่”เจิ้งเหมยยิ้มกอดองค์ชายไว้ในอ้อมแขน“ นางเป็นน้องสาวของเจ้า”จินเฉิงอู่ตอบขึ้นเบาๆ คังซื่อฮั่นเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันมามอง ด้วยอะไรเจิ้งเหมยรู้ดี เขาตัดใจกับทารกน้อยคนนี้ไม่ได้ หากหันกลับมามอง เห็นทีต้องอุ้มนางกลับไปเร่ร่อนเช่นเดียวกับเขา“เฉิ
จินเฉิงเจิน ในวัย18ปีใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของ จินเฉิงอู่และเจิ้งเหมย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทว่าอ่อนโยน ริมฝีปากสีชมพูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ปาน ยืนมองทุ่งหญ้าเขียวขจีงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ของจินเฉิงอู่กับตำแหน่งไท่จือที่จินเฉิงเจินจะถูกแต่งตั้งในวันนี้สายตาคมทอดมองไปไกล เรื่องราวที่ผ่านมามากมายให้ระลึกถึง ในโลกนี้จะมีใครรักและภักดีต่อกันได้เท่าพ่อกับแม่ของเขากันอีก จินเฉิงอู่ไม่ยอมมีสนมนางใน แม้จะมีเขาเป็นโอรสเพียงคนเดียว ก็ไม่เคยร่ำร้องอยากจะมีหญิงอื่นเพิ่มพูน เช่นไรเขาถึงจะรักใครสักคนให้ได้เท่ากับที่จินเฉิงอู่รักเสด็จแม่เจิ้งเหมยของเขา ใบหญ้าสีเขียวขจีลู่ลมน่ามอง เสื้อคลุมถูกถอดออกคลุมให้ฟูจินรวบผมยาวสลวยสอดเสื้อคลุมเข้าไปใต้ไรผม ใบหน้างดงามดวงตาเศร้าสร้อยไม่ต่างจากสายตา ของคังซื่อฮั่น ดวงหน้าผุดผาดริมฝีปากบางใสน่าสัมผัสจนคนมองต้องเผลอขบเม้มฝีปากตัวเอง“ไม่ต้องแล้ว ฟูจินไม่ได้หนาวขนาดนั้นอากาศเย็นสบายดี”เลิกคิ้วสูงยิ้มบางๆ“เจ้ายังเป็นน้องเล็กของข้าอยู่ เมื่อใดที่แต่งออกไปจึงค่อยมาแข็งข้อกับข้า”กระชับเสื้อคลุมให้อย่างอ่อนโยน“ไปเถอะสายมากแล้วใกล้ได้เวลา
ใบหน้าเรียบเฉยทว่าใจกลับสั่นไหว คังซื่อฮั่นแปลกใจว่าตัวเขาเป็นอะไรไปกันแน่ ในเมื่อกับเจิ้งเหมยมีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องใกล้ชิดได้ห่วงใยและคอยปกป้อง แต่กลับรู้สึกเป็นสุขเมื่อเจิ้งเหมยมีรอยยิ้มและดีใจเมื่อเจิ้งเหมยมีความสุขซึ่งเขาคิดว่ามันคือความรัก แล้วแบบนี้เล่าคืออะไรกันทำไมรู้สึกว่าไม่อาจห้ามใจ กับความซุกซนของอี้หลิน“พอใจหรือยัง”อี้หลิน เงื้อมือตั้งจะจะฟาดลงบนใบหน้าของคังซื่อฮั่นแก้เขิน คังซื่อฮั่นใช้ความไวคว้าข้อมือไว้ยิ้มยียวน“วันพรุ่งนี้ข้าจะรับบัญชาฝ่าบาทรั้งอยู่ที่นี่แล้วก็ตกลงใจที่จะรับเจ้าเป็นภรรยาตามที่เจ้าต้องการ” อี้หลิน ไม่กล้าสบตาก้มหน้ามองแผงอกกว้าง“ใครจะแต่งกับท่านกัน”“อ้าวเจ้าพูดเองว่าฝ่าบาทประทานสมรส ห้ามข้าเฉยชาใส่เจ้าแล้วยัง ...มาลวนลามข้าก่อน พอข้าเอาคืนกลับทำท่าทีไม่พอใจเสียอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”จมูกรั้นเชิดหยิ่ง“ข้าก็ไม่เห็นจะง้อท่านเลยไม่แต่งก็ได้”ก้าวขากำลังจะออกจากห้องไปคังซื่อฮั่นรวบเอวบางจากด้านหลัง ฉวยโอกาสกอดไว้แน่น“ไม่ทันแล้ว หากเจ้ารู้จักข้าดี ก็จะรู้ว่าคนอย่างคังซื่อฮั่นยึดมั่นคำสัจเพียงใดพูดคำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยนใจ เ
เมื่อมาถึงห้องพัก คังซื่อฮั่นเริ่มคิดหาคำพูดที่จะพูดคุยกับอี้หลิน“เจ้าชื่อแซ่อะไรข้าลืมไปเสียหมดแล้ว”“ท่านคังท่าน ช่างเป็นบุรุษที่หลงลืมง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ หากท่านจะมีความจำสักนิดก็จะรู้ว่า อี้หลินเคยพบท่านมาก่อน”“อี้หลิน”อี้หลินพยักหน้า“เคยพบกันที่แห่งใด”ใบหน้าฉงนสนเท่ห์“จนกว่าท่านคังจะจำได้ อี้หลินจึงจะบอกว่าเราพบกันตอนไหน”คังซื่อฮั่นถอนใจ“ไม่ถาม แล้วก็ไม่ต้องการคำตอบแล้ว”คนพูดน้อยเผอเรอหลงลืมไปว่าตัวเอง ไม่ชอบเซ้าซี้ใครพอนึกได้ก็เปลี่ยนท่าทีทันทีเช่นกัน อี้หลินเบ้ปากคนอะไรไม่ชอบ ที่จะเล่นสนุกกับผู้ใด นานแค่ไหนแล้วที่คังซื่อฮั่นปลีกตัวออกไปอยู่เพียงลำพัง“ก็ได้ ถึงท่านคังไม่อยากรู้แต่อี้หลินก็จะบอก”“ว่ามา”ใบหน้าเฉยชา หยิบน่องไก่ในจานมาพิศดูความทรงจำลอยวนเข้ามาในความคิด น่องไก่ที่ยื่นส่งให้เจิ้งเหมยในวันนั้น เหลียงซานป๋อกับเขาพากันกัดแทะลำตัวไก่เสียหมด ไว้แกล้มสุราจนเริ่มมีความกล้าในภารกิจครั้งนั้น ก็ในเมื่อคนที่ต้องนำน่องไก่ไปให้เจิ้งเหมยเป็นเขาตามความเห็นของจินเฉิงอู่และเหลียงซานป๋อ คังซื่อฮั่นเผลอยิ้มให้น่องไก่อวบ“ยิ้มทำไม”“ ไม่ใช่ ธุระอะไรของเจ้า”อี้หลินหน้าเง้า“เ
พลันแสงสว่างข้างกายกลับมืดมิด เมื่ออี้หลินเดินถือถาดขนมในมือเข้ามาทุกสิ่งมืดมิดลงทันที่มีเพียงรอบกายของอี้หลินเท่านั้นที่สว่างเรืองรอง คังซื่อฮั่นอ้าปากค้าง ดวงตาพร่ามัว"คังซื่อฮั่น"เสียงเรียกจากจินเฉิงอู่ที่อยู่ข้างกายกลับเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล และเหมือนกับเสียงนั้นเอ่ยออกมาเชื่องช้าด้วยเวลาในขณะนั้นถูกหยุดหรือถูงดึงให้ช้าลงไป"อี้หลินถวายพระพร ฝ่าบาทฮองเฮา องค์ชายน้อย คารวะท่านเหลียงซานป๋อ และท่าน.."หันไปทางคังซื่อฮั่น"คังซื่อฮั่น"เอ่ยปากเบาๆ จนเกือบกลายเป็นกระซิบ แต่ตายังจ้องมองที่อี้หลินตาไม่กะพริบ จินเฉิงอู่เจิ้งเหมยกับเหลียงซานป๋อปิดปากหัวเราะพร้อมกันจินเฉิงเจิน ฟูจินหันมองหน้ากันแบบงงๆ ว่าคนทั้งหมดกำลังหัวเราะอะไรคังซื่อฮั่น"อี้หลิน เจ้านำทางท่านคังไปที่พำนักและช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านคังด้วย"เจิ้งเหมยออกคำสั่งอี้หลินย่อตัวทำความเคารพ"เชิญท่านคังตามข้ามา"คังซื่อฮั่นเดินตามไปอย่างงงๆ เจิ้งเหมยรับเอาฟูจินมาอุ้มไว้จินเฉิงเจินกับฟูจินวิ่งลงจากอ้อมแขนหยิบขนมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย“เห็นไหม องค์ชายอี้หลินนางทำขนมได้ถูกใจเราสองคนที่สุด”ปากเล็กเคี้ยวขนมไม่หยุด องค์ชายน้อยย
อิงฝานเดินจากไปยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปาก ความเจ็บแค้นทั้งหมดสูญสลายไปหมดอโหสิกรรมให้โยวเสวียน ชาติหน้าอย่าได้พบกันอีกเลย คนอย่างโยวเสวียน หากยังมีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่มีสิ้นสุดตราบใดที่นางยังหายใจนางก็จะทำให้ คนอื่นต้องสูญเสียชีวิตอีกกี่คนกันเล่าดอกเหมยงดงามสองข้างทางกลับสีชมพูแดงร่วงหล่นลงบนทางเดินทอดยาววกวน องค์ชายน้อยจินเฉิงเจิน วิ่งไล่จับแมลงปอที่บินวนไปมา เสียงหัวเราะสนุกสนาน ดังไปทั่วบริเวณ เหล่าขันทีและนางกำนัล วิ่งตามด้วยกลัวจะหกล้มหกลุกแต่เรี่ยวแรงมากมายวิ่งจนทั่ววังหลวงที่กว้างขวาง“องค์ชาย รอฟูจินด้วย”เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งตาม“ตามข้ามา ฟูจิน”เสียงเล็กๆใสใสกวักมือให้ตามไป แต่ฟูจินหกล้มหัวเข่ากระแทกเลือดไหลซึม“คุณหนูฟูจิน จะวิ่งทำไมคะ”นางกำนัลรีบวิ่งมาอุ้ม จินเฉิงเจินวิ่งลับตาไปยังคงตามจับแมลงปอตัวสวย“องค์ชายใจร้าย”ฟูจินตัดพ้อปาดคราบน้ำตานางกำนัลให้ฟูจินขี่หลัง เจิ้งเหมยเดินมารับเอาคุณหนูฟูจินตัวอ้วนป้อม มากอดแนบอกลูบหลังไหล่ให้ ยกเขาเล็กขึ้นมาเป่าที่แผลเบาๆ“ฮองเฮา องค์ชายไม่รอฟูจิน”มืออ้วนป้อมกอดรอบคอซบหน้าลงบนไหล่อุ่น เจิ้งเหมยยิ้มอ่อนโยน“ปล่อย