แต่มูสเค้กอะไรนั่นเขายังกินไม่พอเลยรอยยิ้มฮ่องเต้หายไปทันที หลังจากหาข้ออ้างมาตำหนิตงฟางหลีอย่างรุนแรงหนึ่งยกไปแล้ว ก็โบกมือไล่พวกเขาสองสามีภรรยาออกไปตงฟางหลีสีหน้าสับสนเมื่อครู่เสด็จพ่อยังหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังพลางเรียกฉินเหยี่ยนเย่ว์มา จู่ ๆ พลันเปลี่ยนสีหน้ามาตำหนิเขาหนึ่งยก และยังไล่พวกเขาออกไ
“พี่เจ็ด ท่านสิ้นเปลืองอาหารเช่นนี้ได้อย่างไร?” ตงฟางอิงไม่พอใจมากตงฟางหลีจึงหัวเราะเสียงเย็นชา “เจ้าล้างมือหรือยัง?”ตงฟางอิงห่อเหี่ยวลงทันควัน พลางพูดเสียงเบา “ท่านบรรพบุรุษลู่จิ้นมิใช่พูดบ่อย ๆ หรือ ว่ากินไม่สะอาดก็จะไม่ป่วย พี่เจ็ดท่านเพียงแค่อิจฉาที่ข้าป้อนอาหารให้พี่สะใภ้เจ็ดต่างหาก ไม่แปลกใจ
พระสนมเหยาเห็นว่าตงฟางอิงกำลังเปลี่ยนเรื่องไปไกล ก็วางเฮยตั้นแปะบนหน้าเจ้าสิบ บังเอิญกับที่อุ้งเท้าของเฮยตั้นอุดปากของเจ้าสิบพอดี“เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว พูดให้น้อยลงหน่อย” นางพูด“เจ้าเจ็ดเจ้าเองก็รู้อยู่แล้ว ว่าพี่ใหญ่ของเจ้ามีเชื้อสายของเป่ยลู่ มีฐานะที่น่าอึดอัด พี่รองของเจ้าก็พิการไม่สนเรื่อง
“เจ้าเจ็ด รีบเข้ามาเถอะ” พระสนมเหยาถอนหายใจ “ต่อไป พวกเราคงต้องเชิญกระสอบออกโรงแล้ว ยาสลบก็ได้”ตงฟางหลีเดินเข้าห้องมาด้วยใบหน้าทะมึนฉินเหยี่ยนเย่ว์รีบโถมตัวเข้าอ้อมแขนของเขา ท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำเสียงอ่อนหวานเจือกลิ่นหอมหวาน “สุนัขจิ้งจอก อย่าไปนะ”“ไม่ไป” ตงฟางหลีตบไหล่ของนาง “ข้าจะอยู่ข้างกายเ
ทว่าวางมือพระสนมเหยาไว้บนแก้มซ้ายของนาง และวางมือของตงฟางหลีไว้บนแก้มขวาของนาง“พวกท่าน จับมือ คืนดีกัน”หลังจากนางพูดสองสามพยางค์นี้ออกมา ก็ส่งยิ้มเจิดจ้าพระสนมเหยาชะงักไปครู่หนึ่งมิใช่ว่านางไม่เคยเห็นรอยยิ้มของฉินเหยี่ยนเย่ว์ทว่า ไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่เป็นดวงดาวที่สว่างเจิดจ้าและใสบริสุทธิ์จนเห็น
ในวันที่สอง ท้องฟ้ายังมิสาง ก็มีผู้คนในวังเดินไปขวักไขว่แล้วมีเสียงพูดคุยที่กดให้เบาลงอยู่เป็นช่วง ๆในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา เช่น เสียงคำรามของสัตว์ดุร้าย สุนัขเห่าหมาป่าหอน แมวต่อสู้กัน และเสียงไก่ขัน เป็นต้นฉินเหยี่ยนเย่ว์มิอาจทานทนการถูกรบกวนได้ไหวนางลืมตาขึ้นช้า ๆ ครั้นเ
พระสนมเหยากลัวว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์อยู่แต่ในโถงใหญ่แล้วเบื่อ จึงพานางไปเดินเล่นรอบบริเวณหลังจากเดินทะลุผ่านตำหนักไท่เวยแล้วเดินต่อไป มีสวนภูเขาจำลองและป่าดอกเหมยและเป็นสถานที่ที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์รักษาอาการปวดหัวให้ตงฟางหลีในครั้งก่อนฉินเหยี่ยนเย่ว์ดูเหมือนจะจำได้เล็กน้อย มองป่าดอกเหมยราวเมฆาจากระยะไกล
พระสนมเหยาได้ยินน้ำเสียงโกรธเคืองท่าทีกระด้างกระเดื่องของเจ้าอ้วนน้อยพลันยิ้มเย้ยหยันนางพับแขนเสื้อขึ้นอย่างเงียบ ๆตลอดหลายปีมานี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแก่ผู้อื่น นางจึงใช้ชีวิตสันโดษ และไม่สนใจเรื่องทางโลกคิดไม่ถึงว่าจะโดนเด็กเกเรคนหนึ่งปีนเกลียว!“ให้? ให้ตบบ้องหูของเจ้าสักสองสามฉากได้หรือไม่?”
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได