“เรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกครั้งข้าก็จักสอนเจ้า” ลู่จิ้นดีอกดีใจราวกับเด็ก ๆ“ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็ม จับชีพจร หรือแม้กระทั่งผ่าตัด ล้วนจำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์จำนวนมาก มิใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว “ศิษย์พี่ ข้าจะค่อย ๆ เรียนรู้เจ้าค่ะ”ลู่จิ้นดีอกดีใจยิ่งนัก พลันเริ่มพูดคุยไม่หยุดว่า
ลู่จิ้นได้ยินว่ามีสุรา ดวงตาทั้งสองข้างก็เป็นประกายตงฟางหลีรู้ว่า ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำลังหาทางลงให้เขา คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก ก่อนจะให้คนยกสุราดีเข้ามา“เจ้าเจ็ด เจ้านี่ช่างรู้ความเสียจริง” หลังจากลู่จิ้นได้กลิ่นสุราหอม ๆ แล้วก็เอ่ยปากชมยกใหญ่ “ศิษย์น้อง ข้าดื่มสุราเสร็จแล้วค่อยไปอยู่กับเจ้าก็แล้วกั
“ลองหยดเลือดลงตรงนี้สักหยดสิเจ้าคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชี้ไปยังจุด ๆ หนึ่งลู่จิ้นหยดเลือดลงไปหนึ่งหยดด้วยท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ก่อนที่ผลจะแสดงออกมาว่าเป็นกรุ๊ปเลือด Bเขายกใบตรวจหาหมู่เลือดขึ้น แล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “นี่ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว นี่มันทำได้อย่างไร? รีบสอนข้าเร็วเข้า”“ทำไม่
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรลู่ซิวจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ “พระชายา ท่านอย่ามองว่าท่านบรรพบุรุษเย่อหยิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วเขาเก่งกาจมาก หนังสือแพทย์ที่เผยแพร่ไปทั่วหล้านั้น มีจำนวนมากที่ท่านบรรพบุรุษเป็นคนเขียนขึ้นมาเอง แต่ละเล่มล้วนเป็นสมบัติของแคว้นด้วย”“สิบปีก่อน ท่านบรรพบุรุ
“เอ๋?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์บิดเอวของเขาตงฟางหลีรู้สึกเจ็บ จึงคว้ามือของนางมาวางไว้ที่หัวใจ “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าหากเพียงแค่ดูลายมือกับเท้าล่ะก็ การเรียกพี่รองแล้วก็น้องสิบมาก็มิใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด”“โอ้ ในใจรู้สึกผิดก็เลยเปลี่ยนนิสัยเลยหรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้าหยอก“มั่นใจเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่
เมื่อรู้ซึ้งถึงการมีอยู่ขององครักษ์จื่ออวี้นั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกหนักใจยิ่งนักเดิมทีนางคิดไปเองว่าฮ่องเต้จักส่งคนมาคอยคุ้มครองนาง สอดส่องนาง ผู้ใดจักไปคิดเล่า ว่าพระองค์จักส่งยอดฝีมือเช่นนี้มา“หากเจ้าเกิดพบเจอเหตุการณ์อันตรายขึ้นมา เช่นนี้ก็สามารถเรียกองครักษ์จื่ออวี้ออกมาได้” ตงฟางหลีเอ่ยปลอบ
“หากเจ้าเป็นอันดับสอง ผู้ใดเป็นผู้จัดอันดับนี้กัน แล้วใช้เกณฑ์อันใดเป็นตัวตัดสิน?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์นึกสนใจขึ้นมาบ้างความบันเทิงในยุคโบราณนั้น ดูจะน่าสนุกกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้เสียอีก“เป็นหอหมิงเย่ว์พ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงกล่าว “อันดับจักถูกจัดขึ้นปีละครั้ง ทว่า ท่านอ๋องรั้งอยู่อันดับหนึ่งเป็นเวลาสามปีติ
“กระหม่อมสัมผัสได้นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีไม่เดือดไม่ร้อน “ตามพวกเรามานานแล้ว” “เจ้ารู้?”“ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากรวมคนขับรถม้าแล้วมีทั้งหมดสี่คนพ่ะย่ะค่ะ บนรถม้ามีสตรีนั่งอยู่สามคน รูปร่างผอมหนึ่งคนอ้วนหนึ่งคนเป็นสตรีวัยกลางคน ยังมีสตรีอีกหนึ่งคน เกรงว่าน่าจะเป็นคุณหนูกระมัง”“แม้แต่
“นางสิสมควรตาย ไม่ใช่ข้า พวกท่านจับคนผิดแล้ว”ฉินเสวี่ยเย่ว์ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้อีกแล้ว ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจเท่านั้นเลือดสาดกระจายเต็มพื้น ย้อมทั้งห้องกลายเป็นสีแดงฉานนางล้มจมกองโลหิต ยืดคอไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนเสียชีวิตยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กระทั่งตายนางก็ยังไม่เข้าใจ เ
ปวดหัว!ปวดหัวหนักมาก!ปวดหัวจนจะตายอยู่แล้ว!ความเจ็บปวดที่น่าหวาดกลัวและไม่อาจควบคุมได้มาเยือนกะทันหันเช่นเดียวกับทหารเรือนพันม้าเรือนหมื่น พุ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็วและดุเดือดมากจนไม่ทันได้โต้ตอบเลย“อ๊าก ทำไมกัน? หัวข้าปวดหัวเหลือเกิน”“เหตุใดถึงเป็นข้า?”“อ๊าก ปวด ปวดมากเลย”“ท่านน้า ช่วยข้าด้
“เสวี่ยเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องกังวลอีก เพราะเกรงว่าเจ้าอาจจะไม่มีวันได้พบกับฉินเหยี่ยนเย่ว์อีกแล้วล่ะ” หมิ่นจูกล่าว “ข้าไม่สบาย เจ้ากินอาหารให้อิ่มท้องเถอะ”ฉินเสวี่ยเย่ว์ไม่วางใจนางทุบประตูอย่างแรง “ท่านน้า ท่านน้า ท่านทำอีกครั้งเถอะ ถ้าฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่ตายอีกเจ็ดแปดครั้งข้าก็ไม่พอใจหรอกนะ”หมิ่นจูหล
หลังจากที่หมิ่นจูดื่มชาครบสามแก้วรวด ก็หยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญออกมาจากด้านในแขนเสื้อนางเห็นสัญลักษณ์การทำนายจากเหรียญ ดวงตาหรี่ลงเดินเตร่ร่ำไห้เป็นสายโลหิต ทรายเหลืองเต็มนภา และพลังชีวิตทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นในชั้นดินลึก——เป็นคำทำนายที่ไม่ดีอย่างยิ่งยวดหมิ่นจูจ้องมองสัญลักษณ์นี้อยู่นานแม้ว่าเป
“ข้าอยากให้นางตาย”“อ๊าก ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไปตายซะ”ดวงตาทั้งสองข้างของนางเป็นสีแดงโลหิต ใบหน้าดุร้าย มองบุคลิกที่มีเสน่ห์ในอดีตไม่ออกเลยสักนิดหมิ่นจูจ้องมองฉินเสวี่ยเย่ว์ที่โฉมหน้าเปลี่ยนไป พลางส่ายหัวเล็กน้อยฉินเสวี่ยเย่ว์ผู้นี้ ราวกับถูกแกะสลักจากแม่พิมพ์เดียวกันกับหมิ่นอวี้ไร้วิสัยทัศน์เช่นเดียว
เขตชานเมืองเมืองเหวินจิงในจวนหลังใหญ่อันเงียบสงบ มีลานเรือนที่ลึกมาก ๆ อยู่เมื่อข้ามทะเลสาบเทียมซึ่งมีใบบัวเหี่ยวเฉากระจายไปทั่ว รวมถึงป่าไผ่ สามารถเห็นศาลาสีแดงเล็กที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นหลิวได้รำไรในศาลาเล็ก ๆฉินเสวี่ยเย่ว์ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง และแทบจะสติฟั่นเฟือนอยู่รอมร่อคว้าตุ๊กตาที่ทำจากผ้าขา
จีอู๋เยียนท่าทีเคร่งขรึมเขายืนอยู่ตรงนั้น เหลือบตาหงส์ขึ้นเล็กน้อย ราวกับรอให้นางพูดต่อไปฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดจบแล้ว และกำลังรอคำตอบของเขา “ท่านเข้าใจใช่หรือไม่?”“หมดแล้ว?” จีอู๋เยียนถามหลังจากรอสักพัก“หมดแล้ว”“แค่นั้นหรือ?” จีอู๋เยียนมองนางราวกับมองคนโง่เขลา “ท่านคงมิได้กำลังเล่นตลกอยู่กระมัง?”เ
จีอู๋เยียนเหลือบมองลู่จิ้นที่ร้องเอะอะไม่หยุดทว่าไม่ได้สนใจเลยสักนิดเขามองฉินเหยี่ยนเย่ว์ด้วยสีหน้าเย็นชา ไอสังหารเยียบเย็น “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ ความอดทนของข้ามีจำกัด แนะนำท่านอย่าได้ผลัดวันอีก”ลู่จิ้นถูกเมิน ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเป็นสีทะมึน“จอมปีศาจ เจ้าหาเรื่องอยู่ใช่หรือไม่?”“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนที่ใช้วิธีการโหดร้ายเช่นนี้ทำร้ายเจ้าคือฉินเสวี่ยเย่ว์?” ตงฟางหลีถามคนที่เกลียดยัยหนูเข้ากระดูกไม่ได้มีมากมาย และฉินเสวี่ยเย่ว์ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นจุดหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือฉินเสวี่ยเย่ว์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหมิ่นจูที่ผิดแผกคนนั้นและในการสืบสวนของเขา หมิ่นจูเองก็มีควา