“ลองหยดเลือดลงตรงนี้สักหยดสิเจ้าคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชี้ไปยังจุด ๆ หนึ่งลู่จิ้นหยดเลือดลงไปหนึ่งหยดด้วยท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ก่อนที่ผลจะแสดงออกมาว่าเป็นกรุ๊ปเลือด Bเขายกใบตรวจหาหมู่เลือดขึ้น แล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “นี่ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว นี่มันทำได้อย่างไร? รีบสอนข้าเร็วเข้า”“ทำไม่
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรลู่ซิวจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ “พระชายา ท่านอย่ามองว่าท่านบรรพบุรุษเย่อหยิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วเขาเก่งกาจมาก หนังสือแพทย์ที่เผยแพร่ไปทั่วหล้านั้น มีจำนวนมากที่ท่านบรรพบุรุษเป็นคนเขียนขึ้นมาเอง แต่ละเล่มล้วนเป็นสมบัติของแคว้นด้วย”“สิบปีก่อน ท่านบรรพบุรุ
“เอ๋?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์บิดเอวของเขาตงฟางหลีรู้สึกเจ็บ จึงคว้ามือของนางมาวางไว้ที่หัวใจ “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าหากเพียงแค่ดูลายมือกับเท้าล่ะก็ การเรียกพี่รองแล้วก็น้องสิบมาก็มิใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด”“โอ้ ในใจรู้สึกผิดก็เลยเปลี่ยนนิสัยเลยหรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้าหยอก“มั่นใจเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่
เมื่อรู้ซึ้งถึงการมีอยู่ขององครักษ์จื่ออวี้นั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกหนักใจยิ่งนักเดิมทีนางคิดไปเองว่าฮ่องเต้จักส่งคนมาคอยคุ้มครองนาง สอดส่องนาง ผู้ใดจักไปคิดเล่า ว่าพระองค์จักส่งยอดฝีมือเช่นนี้มา“หากเจ้าเกิดพบเจอเหตุการณ์อันตรายขึ้นมา เช่นนี้ก็สามารถเรียกองครักษ์จื่ออวี้ออกมาได้” ตงฟางหลีเอ่ยปลอบ
“หากเจ้าเป็นอันดับสอง ผู้ใดเป็นผู้จัดอันดับนี้กัน แล้วใช้เกณฑ์อันใดเป็นตัวตัดสิน?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์นึกสนใจขึ้นมาบ้างความบันเทิงในยุคโบราณนั้น ดูจะน่าสนุกกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้เสียอีก“เป็นหอหมิงเย่ว์พ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงกล่าว “อันดับจักถูกจัดขึ้นปีละครั้ง ทว่า ท่านอ๋องรั้งอยู่อันดับหนึ่งเป็นเวลาสามปีติ
“กระหม่อมสัมผัสได้นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีไม่เดือดไม่ร้อน “ตามพวกเรามานานแล้ว” “เจ้ารู้?”“ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากรวมคนขับรถม้าแล้วมีทั้งหมดสี่คนพ่ะย่ะค่ะ บนรถม้ามีสตรีนั่งอยู่สามคน รูปร่างผอมหนึ่งคนอ้วนหนึ่งคนเป็นสตรีวัยกลางคน ยังมีสตรีอีกหนึ่งคน เกรงว่าน่าจะเป็นคุณหนูกระมัง”“แม้แต่
เนื่องจากหอหมิงเย่ว์เป็นหอคอยเจดีย์ทรงชั้น ๆ ยิ่งสูงมากเท่าใด พื้นที่ยิ่งเล็กลงเท่านั้น อีกทั้งสินค้ายิ่งมีความประณีตมากขึ้นไปอีกฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงเดินวนไปรอบๆ พร้อมทั้งสะดุดตาเข้ากับสร้อยคอพลอยรัตนชาติสีมูลนกการเวกขึ้นมาพลอยเม็ดเล็ก ๆ ที่ถูกแกะสลักภาพทิวทัศน์เอาไว้ ใต้แสงจันทราที่ส่องสว่าง สตรีเด
“เจ้าพูดถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เป็นเจ้าที่ได้หยิบไปก่อนจริง ๆ ทว่า หากว่ากันตามจริงแล้ว ในเมื่อสินค้าเป็นของหอหมิงเย่ว์ หากยังมิได้จ่ายเงินสินค้าอย่างไรก็ต้องเป็นของร้านค้าอยู่ดี ผู้ใดจ่ายเงินก่อนย่อมเป็นผู้นั้นที่ได้ไป”“ทุกท่านว่าแบบนี้จักเหมาะสมกว่าหรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได