บุตรชายคนรองของตระกูลนามว่าเยี่ยนจิ้นหลิง วัยยี่สิบสองปี เขามีลักษณะแตกต่างจากบิดาและพี่ชายจนน่าตกใจ หากเยี่ยนหยางจงมีลักษณะของยอดนักรบ เยี่ยนจิ้นหลิงก็คงเรียกได้ว่ามีลักษณะของยอดบัณฑิต ร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยอาภรณ์แพรไหมสีขาว จุดเด่นสะดุดตาคือผมเงินเป็นเงางามปล่อยสยายไปด้านหลัง รูปโฉมสง่างาม ท่วงท่ากริยาสุภาพ นัยน์ตาดอกท้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกบางอย่าง เขางดงามราวเทพเซียน อาวุธประจำกายมิใช่ทวนหนักแปดสิบชั่ง หากแต่คือมันสมอง
เยี่ยนจิ้นหลิงรั้งตำแหน่งกุนซือของกองทัพตระกูลเยี่ยน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก ด้วยความงดงามและดูลึกลับ บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเขาทั้งสิ้น ไม่มีใครตำหนิเรื่องผมสีเงินที่ดูแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป กลับมองว่าเขาเป็นเทพเซียนมาจุติ ทุกครั้งที่กุนซือหนุ่มเข้าเมือง มักจะพบเห็นคุณหนูใจกล้าพากันมาดักรอพบหน้า หากอายเสียหน่อยก็ให้คนเอาจดหมายมาให้แทน แต่บุรุษผมเงินมักจะเปรยเสมอว่า ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่แต่งฮูหยิน เขาก็ไม่อาจแต่งงานได้ บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเยี่ยนเยว่ฉี เป็นดรุณีวัยแรกแย้มงดงาม กิริยามารยาทงามสง่าตรึงใจผู้พบเห็น ถูกอบรมตามแบบฉบับคุณหนูในห้องหอ เส้นผมสีดำมันเงาดั่งราตรี นัยน์ตาดอกท้อทอประกายหวานหยาดเยิ้มสะกดใจ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เอวคอดกิ่วดังกิ่งหลิว นิ้วมือเรียวงดงามดุจลำเทียน ที่ควรอวบอิ่มก็อวบอิ่ม ที่ควรบอบบางก็บอบบาง มีเสน่ห์ยั่วยวนบุรุษให้คลั่งตายได้ เยี่ยนหยางเจวี๋ยค่อนข้างหวงบุตรสาวเป็นอย่างมาก ทั้งที่มีคนมากมายส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ ท่านแม่ทัพก็ยังไม่ยอมยกบุตรสาวให้ผู้ใด ทำให้มีข่าวลือว่าที่ท่านแม่ทัพอบรมบุตรสาวเป็นพิเศษก็เพื่อจะส่งเข้าไปคัดเลือกเป็นพระสนมของฮ่องเต้ห้องทรงอักษร วังหลวง
ฮ่องเต้มู่เหวินหลงเห็นว่าชายแดนเริ่มสงบสุขถึงแม้จะมีเรื่องบ้างก็เล็กน้อย ใจจึงอยากให้แม่ทัพใหญ่กลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวง ปูนบำเหน็จและให้รางวัลแก่ความเหนื่อยยากของตระกูลเยี่ยน พระองค์รู้สึกเสียดายหากต้องทิ้งตระกูลเยี่ยนไว้ยังเมืองชายแดนตลอดไป อีกทั้งยังต้องการให้โอกาสแม่ทัพคนอื่น ๆ ได้แสดงฝีไม้ลายมือเสียบ้าง เพราะถ้าพระองค์ปล่อยไว้ไม่สนใจ อาจจะมีคนยื่นฎีกากล่าวโทษตระกูลเยี่ยนสะสมกำลังอีก ความอิจฉาริษยาของขุนนางเป็นเรื่องที่เขาจะประมาทมิได้ ฝีไม้ลายมือรวมไปถึงความภักดีของตระกูลเยี่ยนทำให้ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย พระองค์จึงมีดำริแต่งตั้งตำแหน่งราชองครักษ์ และกองกำลังรักษาเมืองหลวงให้ ถึงแม้ตอนนี้ศึกภายนอกดีขึ้นแล้ว แต่ฮ่องเต้กลับรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำ ศึกภายในมีโอกาสจะเกิดได้ทุกเมื่อ หากรั้งตระกูลเยี่ยนไว้ใกล้ตัวก็เป็นหลักประกันได้ชั้นหนึ่งว่าพระองค์ และเหล่าราชนิกุลทั้งหลายจะนอนหลับได้สนิท แต่เมื่อทรงพระราชทานกองกำลังให้เป็นจำนวนมาก ซ้ำยังรักษาการณ์อยู่ใกล้ชิดติดเมืองหลวง ความวิตกกังวลก็พลันเกิดขึ้นในพระทัย ยามนี้ตระกูลเยี่ยนจงรักภักดีไม่ต้องสงสัย แต่อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เมื่อมีอำนาจและกองกำลังก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีหลายฝ่ายพยายามผูกสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ หากเป็นผู้ภักดีก็แล้วไป แต่หากเป็นพวกกังฉินย่อมไม่เป็นผลดีกับราชบัลลังก์ ฮ่องเต้มู่เหวินหลงจึงยังไม่อาจปล่อยวางพระทัยลงได้สนิท “เรามิได้สงสัยความภักดีของแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ไม่อาจปล่อยวางได้เช่นกัน อัครเสนาบดี เจ้ามีวิธีใดที่จะช่วยให้ตระกูลเยี่ยนภัคดีต่อเราโดยไม่สั่นคลอนบ้างหรือไม่” “ทูลฝ่าบาท เพียงมอบรางวัลกับตำแหน่งให้อาจยังไม่พอ ถ้าหากต้องการกำลังและความมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะไม่เป็นอื่น พระองค์ต้องสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากกว่านี้อีกขั้นพ่ะย่ะค่ะ” ถางซือเซิน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกราบทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “ความหมายของเจ้า คือจะให้เรารับบุตรีของเยี่ยนหยางเจวี๋ยมาเป็นพระสนมอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้มู่เหวินหลงตรัสอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่วังหลังของข้านั้นมีสนมชั้นกุ้ย ชั้นเฟย ครบถ้วนอยู่แล้ว จะให้เป็นสนมเล็ก ๆ ก็เกรงว่าจะทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยเข้าใจว่าเราไม่ให้เกียรติเขาน่ะสิ ไม่มีวิธีอื่นหรืออย่างไร เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะยกองค์หญิงให้ลูกชายของเขา เพียงแต่องค์หญิงน้อยของข้าอายุมากสุดก็เพิ่งสิบสี่ชันษาเท่านั้น ต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะสามารถออกเรือนได้” ฮ่องเต้มู่เหวินหลงคิดหาทางเลือกอื่นในการสานสัมพันธ์เพราะไม่อยากรับพระสนมเพิ่มอีกแล้ว จำนวนป้ายหัวเขียวของเขาเต็มถาด ครั้นจะมีความสุขกับฮองเฮาที่รักเพียงผู้เดียวก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ทำให้พระพิรุณตกถ้วนทั่ว หากจะให้เพิ่มมาอีกก็รู้สึกไม่เป็นสุขอย่างยิ่ง “หามิได้ ให้พระองค์พระราชทานสมรสแก่ฉินอ๋องกับบุตรสาวท่านแม่ทัพต่างหาก ด้วยฐานะนี้ท่านแม่ทัพย่อมไม่มีอะไรไม่พอใจหรือขัดข้อง เพราะท่านอ๋องเป็นบุรุษผู้เพียบพร้อม ผู้มากความสามารถอย่างหาจับตัวได้ยากคนหนึ่งของแว่นแคว้น สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ด้วยอุปนิสัยของท่านอ๋องแล้ว หากได้เกี่ยวดองกันก็ไม่ยากที่จะตรวจสอบและควบคุมตระกูลเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ” “แต่เมื่อจบงานชมดอกไม้เมื่อปีที่แล้ว ฉินอ๋องมาขอให้เราหยุดพระราชทานสาวงามให้อีก โดยให้เหตุผลว่าอยากจะเลือกพระชายาเอกด้วยตนเอง เราดันรับปากพระอนุชาไปเสียแล้ว หากปีนี้ยังทำเช่นเดิมอีก มิเท่ากับว่าเราผิดคำพูดหรือ” “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาส่องประกายวาบ “แค่ทำให้ท่านอ๋องมาขอพระราชทานสมรสด้วยตนเองก็หมดปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ พ่ะย่ะค่ะ” “ดี...ข้าชอบความคิดเจ้า” ฮ่องเต้มู่เหวินหลงย้ำว่าดีอีกถึงสามครั้ง พร้อมทรงพระสรวลดังกึกก้อง เขาแทบจะรอดูสภาพน้องชายจอมเย่อหยิ่งมาร้องขอให้เขาพระราชทานสมรสแทบไม่ไหว คิดแล้วก็เบิกบานพระทัยยิ่งนัก ‘ฉินอ๋อง ข้าจะเลือกชายาเอกให้ท่านเอง จะทำให้ท่านปฏิเสธมิได้ จนต้องร้องขอสมรสพระราชทาน’ ถางซือเซินมาดมั่นไว้ในใจ ส่วนในหัวก็วาดแผนการ เขาเดินออกจากวังหลวงพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยมเมืองหลวงแคว้นหานทั้งเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ทั้งอาคารบ้านเรือนหรือก็ใหญ่โตสวยงาม มีถนนศิลาดำทอดยาวทำให้การเดินทางในเมืองเป็นไปอย่างสะดวกสบายเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมืองหลวงจึงแบ่งออกเป็นหลายเขต ทั้งเขตการค้า เขตรื่นเริง เขตที่อยู่อาศัยของขุนนาง เขตพำนักของเหล่าราชนิกุล และสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นวังหลวงอันใหญ่โตแห่งแคว้น ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็เจอแต่ผู้คนแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นคนจากแคว้นอื่น ๆ ที่เข้ามาลงทุนทำการค้า หรือท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่างดงามกว่าแคว้นใดในดินแดนใกล้เคียงที่นี่เป็นแหล่งรวมสิ่งต่าง ๆ ทั้งในและนอกแคว้น ทำให้บรรยากาศการซื้อขายสินค้าเป็นไปอย่างคึกคัก หากต้องการสิ่งใดเพียงไปหายังย่านการค้าก็จะเจออย่างแน่นอน ทั้งแพรพรรณ ขนสัตว์ เครื่องประดับ รวมไปถึงสมุนไพร ไม่เว้นแม้แต่สัตว์หายากจากต่างแคว้น แต่ถ้าต้องการสั่งทำเครื่องประดับก็เพียงแวะไปยังร้านค้าเก่าแก่ของช่างฝีมือแห่งเมืองหลวงเนื่องจากอยู่ภายใต้เงาขององค์ฮ่องเต้ทำให้บรรยากาศสุขสงบไร้เรื่องร้ายรบกวน หรือหากจะเกิดเรื่องก็มิพ้นสายตาของมือปราบแห่งเมืองหลวงไปไ
“...” ถางซือเซินเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนเอง คำพูดเหล่านั้นฟังดูเย็นชาเกินไป“เจ้ากำลังตำหนิข้าอยู่สินะ คงคิดว่าข้าไร้หัวใจ” นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอัครเสนาดีฝ่ายซ้ายอย่างรู้ทัน “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกซือเซิน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พระชายารองทั้งสามต้องการความโปรดปรานก็เพื่อให้ข้าสนับสนุนครอบครัวของพวกนาง เห็นหรือไม่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น”“ท่านอ๋องเพียงยังไม่พบสตรีที่พึงใจอย่างแท้จริงก็เท่านั้นเอง”“ความรักคืออะไรซือเซิน มันคงมีเพียงในโคลงกลอนอันเพ้อฝันเท่านั้น”เมื่อก่อนนั้นบทประพันธ์ต่าง ๆ ชวนให้อ๋องหนุ่มหวังว่าจะได้สัมผัสกับรักแท้ พอนานเข้า ก็รับรู้ได้ว่าหน้าที่ของตนเองสวนทางกับเรื่องในหนังสือ หญิงสาวมากมายที่รายล้อมล้วนเอาใจเขาเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างเสมอ ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้จะไม่ให้รู้สึกด้านชาได้อย่างไรในโลกของความเป็นจริง ด้วยฐานันดรศักดิ์ของเขา ย่อมมีสตรีอยากถวายตัวให้ลิ้มลองเริ่มตั้งแต่ยังไม่ออกจากวังหลวงมาอยู่จวนส่วนตัว บรรดานางกำนัลทั้งหลายที่อยากยกฐานะ รวมไปถึงบรรดาขุนนางต่าง ๆ ก็อยากจะยกบุตรสาวให้เพื่อผลประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์กับเชื้อพระวง
เมื่อย้อนนึกถึงวันวานในวัยเยาว์ของตนเองกับผู้ที่เป็นอัครเสนาบดี ก็เริ่มจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดเรื่องรับภรรยาในอนาคต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กจึงรับปากด้วยความยินดี ซ้ำยังให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวที่สหายเลือกให้อย่างแน่นอน“น่าตายนัก!” มู่เลี่ยงหรงสบถลอดไรฟัน กำหมัดแน่น หลับตาลงลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสหายอย่างเจ็บแค้น เขารู้ดีว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว และหลุมนี้ตนดันเป็นคนขุดเอาไว้เองจนเกือบลืมสิ้นเมื่อเห็นอ๋องหนุ่มหน้าซีดกล่าวอะไรไม่ออกอีก ถางซือเซินผู้ใจกล้ากล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าฉายแววยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ “ผู้เป็นอ๋องกล่าวแล้วทองพันชั่งก็ซื้อมิได้ ข้าจะหาพระชายาให้ท่านเอง”เมื่อเห็นว่าตกเป็นรองสหาย แต่ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบ จะให้ยอมง่าย ๆ ก็คงไม่ได้การ ด้วยตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นได้ สตรีนางนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่คู่ควร เขาต้องเห็นดีเห็นงามด้วยถึงจะถูก“ซือเซินอย่าเพิ่งได้ใจไป ข้าสัญญากับเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้าเชียวนะ มีเรื่องเจ้าควรรู้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านไม่เคยนึกแปลกใจเลยหรือ ข้ามีพระชายารองอยู่ถึงสามนางแต่ยังไม่มีทายาทเสี
กองทัพตระกูลเยี่ยนยาตรามาถึงเมืองหลวงแล้วฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งเยี่ยนหยางเจวี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษานคร คุมกำลังพิทักษ์เมืองหลวงหนึ่งแสนนาย พร้อมเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นไคกั๋วกง[1]ตระกูลได้สืบทอดตำแหน่งสามชั่วคนโดยไม่ลดบรรดาศักดิ์ ได้รับปูนบำเหน็จเป็นเงินทอง แพรพรรณชั้นดี และจวนหลังใหม่ในเขตที่พำนักขุนนางส่วนเมืองชายแดนหานจี ฮ่องเต้มู่เหวินหลงได้ส่งแม่ทัพหนุ่มไฟแรงนามหนานกงอี้ไปประจำแทน ทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายร่ำไห้น้ำตานองด้วยความเสียดาย พวกนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับบุรุษผู้หล่อเหลาอีกนานแต่ไม่ทันไรก็พากันแช่มชื่นดุจบุปผาต้องฝนกันอีกครา เมื่อสตรีทั้งหลายได้เห็นรองแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยนหยางจง แล้วไหนจะกุนซือผมสีเงินรูปงามนามเยี่ยนจิ้นหลิงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอีกคนคุณชายตระกูลเยี่ยนทั้งสองบังคับอาชาให้เดินไปตามถนนศิลาที่ทอดยาว นำขบวนกองทัพอันเกรียงไกรมุ่งตรงไปยังวังหลวง บรรดาคุณหนูต่างจับจองห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมและหอสุราทั้งสองฟากฝั่งเพื่อชมขบวนทัพ เมื่อได้เห็นบุรุษทั้งสองก็พากันใจสั่นหวิว บ้างก็หน้าแดงเพราะขวยอาย แทบจะพากันสวดอ้อนวอนสิ่งศักด
ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นาง
กระโปรงปักลายดอกโบตั๋นพลิ้วไหวไปตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกกิริยางดงามอ่อนช้อยดังเทพธิดาจันทราสมกับชื่อของนางอย่างแท้จริงแม้ตามธรรมเนียมสตรีไม่ควรออกมาอวดโฉมให้บุรุษมากมายขนาดนี้พบเห็นก็ตาม แต่ตระกูลเยี่ยนให้บุตรสาวฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่เป็นประจำ ทำให้บางครั้งทหารผู้โชคดีจะได้พบคุณหนูเล็กที่ลานฝึกยุทธทหารองครักษ์ทั้งหลายเมื่อเห็นบุตรสาวผู้งามเลิศล้ำของท่านแม่ทัพใหญ่พาร่างอรชรเดินเข้ามา ต่างก็แอบชำเลืองมองอย่างอดมิได้ยามนางใช้นิ้วงามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผม จนทำให้แขนเสื้อกว้างไหลลงจนแลเห็นแขนขาวเรียวเล็ก เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเขาลืมหายใจ แต่ละคนต่างตะลึงงันจนร่างกายแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน แต่ถึงกระนั้นทหารทั้งหลายต่างไม่กล้าทำกิริยารุ่มร่ามใดมากไปกว่านี้ด้วยรู้ฐานะของตนเป็นอย่างดีเยี่ยนหยางจงปรายสายตาตามเหล่าบุรุษที่กำลังใจลอย จึงพบกับตัวต้นเหตุที่มาแทรกแซงการฝึก รองแม่ทัพหนุ่มกระแอมดัง ๆ หนึ่งทีเพื่อเรียกสติของผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา“เก็บลูกตาของเจ้าไว้มองภรรยาในอนาคตจะดีกว่า มีสมาธิกันหน่อย มิเช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปชายแดน” รองแม่ทัพหนุ่มสะบัดแส้หนังลงกับพื้น เสียงเส้นสายสีดำห
ปลายเหมันตฤดูอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ดอกเหมยงดงามหลากสีในอุทยานหลวงบานสะพรั่ง แต่ยังคงเห็นน้ำแข็งจับค้างบนกิ่งก้านเปล่งประกายระยิบระยับช่วงนี้ของปีวังหลวงจะมักจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาเยือน ฮ่องเต้จะใช้โอกาสนี้ทรงมอบรางวัลแด่ขุนนางที่มีความดีความชอบ ส่วนขุนนางคนใดมีบุตรสาวโฉมงามแรกรุ่น ก็ล้วนพากันมาแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์ด้วยหวังว่าพวกนางจะถูกตาต้องใจฮ่องเต้ แล้วได้รับโอกาสแต่งตั้งเป็นพระสนม ในภายภาคหน้าหากนางโชคดีได้รับความโปรดปรานจากโอรสสวรรค์จนให้กำเนิดองค์ชาย ตระกูลของพวกเขาย่อมจะได้รับความมั่งคั่งและมั่นคงไปตลอดชีวิตแต่หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าฮ่องเต้มู่เหวินหลงทรงคิดอะไรอยู่ นอกจากจะไม่รับพระสนมเพิ่มแล้วกลับพระราชทานสมรสให้หนุ่มสาวไปหลายคู่ ทั้งขุนนาง ทายาทตระกูลใหญ่ กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นส่วนเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับเกียรตินี้สองปีซ้อนคงไม่พ้นฉินอ๋อง ที่ได้ชายารองโฉมงามถึงสามนางเฉิงจื่อหรู บุตรสาวเสนาบดีกรมพระคลัง ลู่เหมยหลงและลู่เหมยหลิน บุตรสาวฝาแฝดของเจ้ากรมอาญาอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำร้ายจิตใจบรรดาคุณชายทั้งหลายอย่างมาก เพราะโฉมง
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้
ได้ยินคำของฉินอ๋อง เยี่ยนเยว่ฉีคิดว่าตนต้องถูกประหารแน่ นางจึงตัดสินใจโผเข้าไปกอดขาชายหน่มหวังให้เขาคลายโทสะลงก่อน มิเช่นนั้นท่านพ่อคงเดือดร้อนไปด้วยมู่เลี่ยงหรงเบิกนัยน์ตาด้วยความตกใจ สตรีผู้นี้จะเล่นเล่ห์อะไรอีก“หม่อมฉันเพียงตกใจกลัวซูจิ้งเป็นอันตราย ท่านอ๋องอย่าเกลียดเยว่ฉีนะเพคะ”“ปล่อยเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” มือแข็งแรงดันไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว เขาออกแรงไม่มาก เพียงแค่อยากรักษาระยะห่าง ด้วยไม่อาจเดาใจสตรีที่กำลังเปลี่ยนท่าที แต่ความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มลายหายไปอย่างประหลาด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะสามารถตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้เลย‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนเยว่ฉี หากเจ้าไม่ยอมปล่อยมือเสียตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่รามือจากเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’“ไม่เพคะ ท่านอ๋องจะไม่เมตตาเยว่ฉีจริง ๆ หรือ” นางช้อนนัยน์ตาหวานซึ้งขึ้นสบกับเขาแล้วกัดริมฝีปากภาพตรงหน้าทำให้ชาติบุรุษถึงกับหายใจไม่ออก เห็นนางเศร้าสร้อยจิตใจก็อ่อนวูบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางให้นางได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้น“ปล่อย...เปิ่นหวางจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว พอกันที” ขาขยับถอยออกเล็กน้อย แต่มือนุ่มนิ่มนั้นยึดชายชุดคลุมส
“ฮือ... ปล่อยนะ ถ้าหม่อมฉันไร้ยางอายแล้วมากอดทำไมกัน ถ้าหม่อมฉันเหมือนสตรีที่อยากปีนขึ้นเตียงท่านพวกนั้น...แล้วจะมาจูบทำไม ในเมื่อเหยียดหยามกันขนาดนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่เมินหม่อมฉันไปเสียเลย”เห็นนางตัดพ้อร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เลี่ยงหรงก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีนางนี้ช่างบอบบางยิ่งนัก ขนาดร้องไห้ก็ยังงดงามราวดอกสาลี่ที่ต้องฝน แล้วผู้ใดเล่าเมื่อได้เห็นภาพนี้จะทนใจแข็งอยู่ได้อีกชายหนุ่มรวบมือเรียวบางที่กำลังทุบอกเขาเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโน้มคอลงประทับจูบบนเปลือกตาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกแมลงปอ ใช้ริมฝีปากดูดซับน้ำตาของนางเพื่อปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นลากไล่ลงมาบนแก้มนวลมู่เลี่ยงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจร้อนเริ่มกระชั้นถี่ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดอันมหาศาล ท่านอ๋องตัดสินใจครอบครองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางอีกครั้ง เหยียนเยว่ฉีต่อต้านโดยการเม้มปากเอาไว้แน่น พยายามครองสติของตนไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการล่อลวงอันแสนวาบหวามนี้ เขายังคงคิดว่านางมีใจเพียงแต่ขวยอายอยู่เท่านั้น“อืม...เด็กดี อย่าปากแข็งอีกเลย จะเอียงอายไปไย เจ้าไม่ได้ชอบเราแม้สักนิดเลยหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบชิดริม
ครั้นนึกถึงยามพบกันที่ใต้ต้นหลิว บุตรสาวท่านกั๋วกงก็ไม่มีท่าทีอยากจะกระโจนสู่อ้อมอกของเขาเสียหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเยี่ยนเยว่ฉีอาจจะเขินอายเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย หรือไม่นางอาจจะประทับใจบทเพลงรักนกยวนยางกระมังเพราะเมื่อครู่เขาเองก็พยายามส่งกระแสความรู้สึกอันท่วมท้นไปถึงนาง ‘นางชอบข้างั้นรึ’เขาคิดเข้าข้างตัวเอง ยิ่งหวนนึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่นางส่งให้ที่ใต้ต้นหลิวจึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วนหากนางพึงใจในตัวเขาเช่นกัน การแต่งงานย่อมเกิดจากความเต็มใจ เท่ากับไม่ต้องบังคับขู่เข็นใครทั้งสิ้น รอยยิ้มอย่างหาได้ยากจึงปรากฏบนใบหน้าของฉินอ๋อง“เสี่ยวเยว่...เจ้าชอบเพลงรักของเรามากหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบถามนางพร้อมเรียกขานด้วยชื่อ แอบหวังว่านางจะมีใจให้ดั่งที่เขาคิด“ทะ...ท่านอ๋องเล่นได้ดีจนหม่อมฉันตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจับขลุ่ยพลิ้วพรายครั้งแรกจะเป่าเป็นเพลงที่...ที่…” เยี่ยนเยว่ฉีนิ่งเงียบ นางไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าพอได้ฟังเพลงของเขาก็เกิดความรู้สึกหวามไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนปล่อยตัวปล่อยใจให้ท่านอ๋องเชยชิมริมฝีปากและต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตัวโตอย่างเช่นในยามนี้นางไม
ครั้นมู่เลี่ยงหรงสังเกตเห็นสตรีตรงหน้าเกิดอาการผิดปกติเขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยทันที ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างบางสู่อ้อมแขนได้ทันท่วงทีเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหญิงสาวถึงได้หมดเรี่ยวแรง จึงได้แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้อีกมือหนึ่งลูบแก้มนวลอย่างห่วงใยร่างงามนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอ่อนระทวยพิงอกแกร่ง ใบหน้านางแดงเรื่อจนถึงใบหู เสียงหายใจหอบกระชั้นดังชัดเจน นัยน์ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าครอบครองผ่านไปครู่หนึ่งนางยังคงเหมือนคนไร้สติสิ้นเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงตวัดแขนอุ้มร่างขึ้นแนบกาย เขาพาหญิงสาวไปยังตั่งหินแล้วนั่งลง ส่งผลให้ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งอยู่บนตักแกร่ง มู่เลี่ยงหรงจดจ้องโฉมสะคราญในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา กิริยาช่างยั่วยวนชวนให้เขาตกตะลึง ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกว่าคอนั้นแห้งผาก‘นางกำลังเชิญชวนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ’เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยินดีอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีพลันสลายไปจนสิ้น ในที่สุดเขาจรดริมฝีปากแนบปากอันอวบอิ่มลิ้นร้อนตวัดไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา จากนั
เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวนเสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วยดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหวมู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัวยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะหญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ
“กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”“นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้มู่เลี่ยงหรงวางใจคลายโทสะ ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับมาสมานฉันท์ดุจเดิมอีกครั้ง“อ่อ เรายังมีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ จงส่งจดหมายไปให้เยี่ยนเยว่ฉี บอกกับนางว่า หากอยากได้ขลุ่ยหยกคืน จงไปที่อุทยานตะวันออก”“แต่ว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”“ก่อนที่นางจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ”“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซือเซินจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเองในกระโจมจัดงานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่แผนการทั้งหลายเป็นไปตามที่ต้องการแต่นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นอกจาก
เลี่ยงหรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงโดยเร็วที่สุด เขาต้องการพบอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาถึง พอขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่นำทางในงานเห็นพระอนุชาก็รีบกุลีกุจอเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังที่นั่งในกระโจมทันทีด้วยบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง[1] ที่นั่งของมู่เลี่ยงหรงจึงถูกจัดให้อยู่ลำดับแรกในหมู่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยพระอนุชาคนโปรดเป็นอย่างยิ่งเริ่มตั้งแต่ มู่เลี่ยงหรงอายุสิบสองชันษาก็แสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เริ่มอุทิศแรงกายแรงใจแบ่งเบาราชกิจ อ๋องน้อยมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมากจนเป็นที่รู้กันถึงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพียงไม่นานผลงานก็ประจักษ์ไร้ข้อกังขา บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างยกย่องเชิดชูอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก ท่านอ๋องน้อยเติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจ ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจึงแต่งตั้งมู่เลี่ยงหรงเป็นฉินอ๋อง พร้อมให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพระองค์อยู่มิได้ขาด ส่วนหน้าที่หลักคือการตรวจสอบเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักนับได้ว่าอยู่ใต้ผู้หนึ่ง แต่อยู่เหนือคนนับพันด้วยบุคลิกจริงจังเคร่งขรึม กอปรกับควา
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออกท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นา
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้