เมื่อย้อนนึกถึงวันวานในวัยเยาว์ของตนเองกับผู้ที่เป็นอัครเสนาบดี ก็เริ่มจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดเรื่องรับภรรยาในอนาคต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กจึงรับปากด้วยความยินดี ซ้ำยังให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวที่สหายเลือกให้อย่างแน่นอน
“น่าตายนัก!” มู่เลี่ยงหรงสบถลอดไรฟัน กำหมัดแน่น หลับตาลงลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสหายอย่างเจ็บแค้น เขารู้ดีว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว และหลุมนี้ตนดันเป็นคนขุดเอาไว้เองจนเกือบลืมสิ้น
เมื่อเห็นอ๋องหนุ่มหน้าซีดกล่าวอะไรไม่ออกอีก ถางซือเซินผู้ใจกล้ากล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าฉายแววยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ “ผู้เป็นอ๋องกล่าวแล้วทองพันชั่งก็ซื้อมิได้ ข้าจะหาพระชายาให้ท่านเอง”
เมื่อเห็นว่าตกเป็นรองสหาย แต่ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบ จะให้ยอมง่าย ๆ ก็คงไม่ได้การ ด้วยตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นได้ สตรีนางนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่คู่ควร เขาต้องเห็นดีเห็นงามด้วยถึงจะถูก
“ซือเซินอย่าเพิ่งได้ใจไป ข้าสัญญากับเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้าเชียวนะ มีเรื่องเจ้าควรรู้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านไม่เคยนึกแปลกใจเลยหรือ ข้ามีพระชายารองอยู่ถึงสามนางแต่ยังไม่มีทายาทเสียที”
“...” ถางซือเซินไม่กล้าตอบ หากพูดว่ามู่เลี่ยงหรงไร้น้ำยา เขาจะต้องถูกกระบี่เสียบเข้าหัวใจเป็นแน่แท้
“ข้าตั้งใจจะมีทายาทกับหวางเฟยเท่านั้น” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเข้ม พลางลูบไล้ตราหยกสลักลายพยัคฆ์สีขาวอันล้ำค่าควรเมือง “ข้าต้องรู้ก่อนว่านางเป็นใครกันแน่ หากสตรีผู้นี้ไม่คู่ควร ข้าย่อมปฏิเสธคนที่เจ้าเลือกได้ แต่ไม่ใช่จะไม่รักษาคำพูด หากครานี้ไม่ผ่านเจ้าก็ไปคัดเลือกมาใหม่ เช่นนี้จึงจะยุติธรรมกับเราทั้งสองฝ่าย อัครเสนาบดีคงเห็นด้วยกับที่ข้าเสนอกระมัง”
ถางซือเซินหลุบสายตาลง รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย มู่เลี่ยงหรงไม่ใช่หมูให้เขากลืนง่าย ๆ แต่บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่เป็นสตรีในแบบที่ท่านอ๋องชอบอย่างแน่นอน
‘ลองเสี่ยงดูก่อนก็แล้วกัน หากยังไม่สำเร็จค่อยไปวางแผนใหม่อีกครั้งกับคนผู้นั้น’
“นามของนางคือเยี่ยนเยว่ฉี บุตรีท่านแม่ทัพใหญ่รักษานครคนใหม่ มีเสียงเล่าลือกล่าวขานว่านางงดงามราวเทพธิดา กิริยามารยาทหรือก็ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี”
“แค่บุตรสาวขุนนาง ไฉนเจ้าไม่หาท่านหญิงให้ข้าเล่า” มู่เลี่ยงหรงหรี่ตา ดวงตาเหยี่ยวจดจ้องใบหน้าสหายประหนึ่งต้องการจับผิด เห็นทีเรื่องนี้ต้องมีสายสนกลใน
‘ซือเซินเอ๋ย ข้าก็รู้ใจเจ้าเช่นกัน’
“หากท่านอ๋องอยากสมรสกับท่านหญิง ซือเซินก็เห็นมีเหมาะสมอยู่ผู้หนึ่ง” อัครเสนาบดียิ้มเย็นแล้วเอ่ยชื่อสตรีผู้นั้นอย่างกล้าหาญ “ท่าน-หญิง-กุ้ย-อิน”
“ซือเซิน! บ่อลับที่ท้ายจวนของข้ายังสามารถใส่บัณฑิตไม่กลัวตายลงไปได้อีกหลายคน” มู่เลี่ยงหรงคิ้วกระตุก นี่สหายล้อเขาเล่นใช่หรือไม่ ใครจะอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้น เขายอมยกเฉิงจื่อหรูพระชายารองคนโปรดขึ้นเป็นหวางเฟยยังดีเสียกว่า
“ท่านอ๋อง ซือเซินขอกล่าวอะไรสักหน่อย”
“อืม...ว่ามา แต่คิดให้ดีก่อนพูดนะ ข้าเองก็ยังไม่อยากหาผู้อื่นมาเดินหมากเป็นเพื่อนแทนเจ้า” ฉินอ๋องทำเป็นพูดข่มขวัญ แต่แท้จริงกลับแอบหัวเราะอยู่ในใจ
“ท่านอ๋องชอบท่านหญิงคนใดเป็นพิเศษกัน ให้ไล่ชื่อไปทุกตระกูลท่านก็ปฏิเสธอยู่ดี หรือจะค้านสิ่งที่ซือเซินพูด” อัครเสนาบดียังคงไม่ยอมแพ้ มู่เลี่ยงหรงเรื่องมากขนาดไหนทำไมเขาจะไม่รู้
“ก็จริง แต่สตรีที่เติบโตในเมืองชายแดนจะมีอะไรให้ข้าตื่นเต้นกัน คนลือว่างดงามแล้วอย่างไร นางอาจจะดูหน้าตาดีสำหรับชาวชนบทเท่านั้นก็ได้”
“ซือเซินหวังว่าท่านอ๋องจะนำเรื่องนี้ไปไตร่ตรอง หากท่านไม่พึงใจก็ไม่มีอะไรเสียหาย กระหม่อมจะไปคัดสรรสาวงามมาให้ใหม่” อัครเสนาบดีกล่าวเสียงเรียบ “แต่ถ้าหากท่านอ๋องต้องตาต้องใจนางแล้วล่ะก็ จงไปขอพระราชทานสมรสด้วยตนเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ…ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจ” มู่เลี่ยงหรงจ้องหน้าสหาย ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีจะถอดใจไม่อยากตื๊อเขาอีกแล้ว
‘ไม่สนุกเลยซือเซิน วันนี้ทำไมเจ้าไม่เถียงข้าให้มาก ๆ หน่อยเล่า’
“มิได้” ถางซือเซินพูดเสียงเบา แล้วก้มลงมองกระดานหมากตรงหน้าอีกคราหนึ่ง
“ก็ได้...ก็ได้ ข้าจะไตร่ตรองเรื่องนี้ อย่างน้อยจะหาทางไปพบหน้านางก่อนเวลาสักหน่อย หากบุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่งดงามต้องตาต้องใจ ข้าจะแต่งนางเป็นหวางเฟย เท่านี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”
“ขอบพระทัย...” ถางซือเซินรับคำเสียงเฉื่อย
“เจ้าเป็นบุรุษไฉนทำนิสัยสตรีใส่ข้าเล่า” มู่เลี่ยงหรงเห็นถางซือเซินทำท่าเหมือนแง่งอน จึงอดคิดถึงถางซือเซียนมิได้ สองพี่น้องชอบทำหน้าแบบนี้เวลาไม่ได้ดั่งใจ
ถางซือเซินไม่พูดไม่จาอะไรอีกทั้งสิ้น บัณฑิตหนุ่มแห่งราชสำนักเพียงขยับนิ้ววางตัวหมากลงบนกระดานที่ตนบอกว่ายอมแพ้ไปแล้วหนึ่งตัว จากนั้นคนเหลี่ยมจัดจึงส่งยิ้มให้ผู้เป็นอ๋อง พร้อมกล่าวสั้น ๆ
“รุกฆาต”
“เจ้ามันช่าง…น่าตายนัก!”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าของอัครเสนาบดีในที่สุด
การเดินหมากจบลงเพียงเท่านี้ แต่มู่เลี่ยงหรงยังคงติดใจอยู่ หากไม่มีสายสนกลในสหายคงไม่ออกปากเป็นแน่ พระเชษฐาคงมีแผนการแต่ไม่อยากบอกกับเขาโดยตรง
‘หวังว่าจะไม่ใช่แผนชายงาม หรือข้าต้องแต่งงานการเมืองอีกแล้ว’
มู่เลี่ยงหรงเหมือนพอจะรู้ชะตากรรม แต่หากเขาไม่เอ่ยปาก ฮ่องเต้ก็มิอาจพระราชทานสมรสได้ ด้วยเหตุนี้กระมังพระเชษฐาจึงส่งถางซือเซินมาจัดการเรื่องนี้
มู่เลี่ยงหรงนั่งไตร่ตรอง พลางเคาะนิ้วเรียวบนตั่งเป็นจังหวะ
‘ข้าจะเล่นด้วยก็แล้วกัน ท่าทางตระกูลเยี่ยนคงมีอะไรน่าสนอกสนใจกว่าที่เขาคิด เป็นเขยท่านแม่ทัพใหญ่รักษานครอีกสักตำแหน่งคงไม่เป็นไร แต่จะให้ข้าอ้อนวอนขอพระราชทานสมรสง่าย ๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ’
ถางซือเซินมองกิริยานี้ก็ลอบยิ้มในใจ แต่กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ท่านอ๋องกำลังวางแผนเรื่องตระกูลเยี่ยนแล้วเป็นแน่ ชายผู้นี้หากบังคับโดยตรงย่อมไม่มีทางยินดี เช่นนี้มีแต่ต้องใช้เล่ห์กล ซึ่งเรื่องนี้ได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว จะเหลือแค่เพียงผู้สูงศักดิ์จะพร้อมใจกระโดดลงหลุมพรางที่เขาเพียรขุดเอาไว้เท่านั้น
ต่างคนก็ต่างคิดแผนอยู่ในใจ จนตะวันใกล้จะลับฟ้า อัครเสนาบดีจึงกล่าวลาแล้วรีบออกจากจวนฉินอ๋องทันที
กองทัพตระกูลเยี่ยนยาตรามาถึงเมืองหลวงแล้วฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งเยี่ยนหยางเจวี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษานคร คุมกำลังพิทักษ์เมืองหลวงหนึ่งแสนนาย พร้อมเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นไคกั๋วกง[1]ตระกูลได้สืบทอดตำแหน่งสามชั่วคนโดยไม่ลดบรรดาศักดิ์ ได้รับปูนบำเหน็จเป็นเงินทอง แพรพรรณชั้นดี และจวนหลังใหม่ในเขตที่พำนักขุนนางส่วนเมืองชายแดนหานจี ฮ่องเต้มู่เหวินหลงได้ส่งแม่ทัพหนุ่มไฟแรงนามหนานกงอี้ไปประจำแทน ทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายร่ำไห้น้ำตานองด้วยความเสียดาย พวกนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับบุรุษผู้หล่อเหลาอีกนานแต่ไม่ทันไรก็พากันแช่มชื่นดุจบุปผาต้องฝนกันอีกครา เมื่อสตรีทั้งหลายได้เห็นรองแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยนหยางจง แล้วไหนจะกุนซือผมสีเงินรูปงามนามเยี่ยนจิ้นหลิงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอีกคนคุณชายตระกูลเยี่ยนทั้งสองบังคับอาชาให้เดินไปตามถนนศิลาที่ทอดยาว นำขบวนกองทัพอันเกรียงไกรมุ่งตรงไปยังวังหลวง บรรดาคุณหนูต่างจับจองห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมและหอสุราทั้งสองฟากฝั่งเพื่อชมขบวนทัพ เมื่อได้เห็นบุรุษทั้งสองก็พากันใจสั่นหวิว บ้างก็หน้าแดงเพราะขวยอาย แทบจะพากันสวดอ้อนวอนสิ่งศักด
ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นาง
กระโปรงปักลายดอกโบตั๋นพลิ้วไหวไปตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกกิริยางดงามอ่อนช้อยดังเทพธิดาจันทราสมกับชื่อของนางอย่างแท้จริงแม้ตามธรรมเนียมสตรีไม่ควรออกมาอวดโฉมให้บุรุษมากมายขนาดนี้พบเห็นก็ตาม แต่ตระกูลเยี่ยนให้บุตรสาวฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่เป็นประจำ ทำให้บางครั้งทหารผู้โชคดีจะได้พบคุณหนูเล็กที่ลานฝึกยุทธทหารองครักษ์ทั้งหลายเมื่อเห็นบุตรสาวผู้งามเลิศล้ำของท่านแม่ทัพใหญ่พาร่างอรชรเดินเข้ามา ต่างก็แอบชำเลืองมองอย่างอดมิได้ยามนางใช้นิ้วงามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผม จนทำให้แขนเสื้อกว้างไหลลงจนแลเห็นแขนขาวเรียวเล็ก เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเขาลืมหายใจ แต่ละคนต่างตะลึงงันจนร่างกายแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน แต่ถึงกระนั้นทหารทั้งหลายต่างไม่กล้าทำกิริยารุ่มร่ามใดมากไปกว่านี้ด้วยรู้ฐานะของตนเป็นอย่างดีเยี่ยนหยางจงปรายสายตาตามเหล่าบุรุษที่กำลังใจลอย จึงพบกับตัวต้นเหตุที่มาแทรกแซงการฝึก รองแม่ทัพหนุ่มกระแอมดัง ๆ หนึ่งทีเพื่อเรียกสติของผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา“เก็บลูกตาของเจ้าไว้มองภรรยาในอนาคตจะดีกว่า มีสมาธิกันหน่อย มิเช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปชายแดน” รองแม่ทัพหนุ่มสะบัดแส้หนังลงกับพื้น เสียงเส้นสายสีดำห
ปลายเหมันตฤดูอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ดอกเหมยงดงามหลากสีในอุทยานหลวงบานสะพรั่ง แต่ยังคงเห็นน้ำแข็งจับค้างบนกิ่งก้านเปล่งประกายระยิบระยับช่วงนี้ของปีวังหลวงจะมักจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาเยือน ฮ่องเต้จะใช้โอกาสนี้ทรงมอบรางวัลแด่ขุนนางที่มีความดีความชอบ ส่วนขุนนางคนใดมีบุตรสาวโฉมงามแรกรุ่น ก็ล้วนพากันมาแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์ด้วยหวังว่าพวกนางจะถูกตาต้องใจฮ่องเต้ แล้วได้รับโอกาสแต่งตั้งเป็นพระสนม ในภายภาคหน้าหากนางโชคดีได้รับความโปรดปรานจากโอรสสวรรค์จนให้กำเนิดองค์ชาย ตระกูลของพวกเขาย่อมจะได้รับความมั่งคั่งและมั่นคงไปตลอดชีวิตแต่หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าฮ่องเต้มู่เหวินหลงทรงคิดอะไรอยู่ นอกจากจะไม่รับพระสนมเพิ่มแล้วกลับพระราชทานสมรสให้หนุ่มสาวไปหลายคู่ ทั้งขุนนาง ทายาทตระกูลใหญ่ กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นส่วนเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับเกียรตินี้สองปีซ้อนคงไม่พ้นฉินอ๋อง ที่ได้ชายารองโฉมงามถึงสามนางเฉิงจื่อหรู บุตรสาวเสนาบดีกรมพระคลัง ลู่เหมยหลงและลู่เหมยหลิน บุตรสาวฝาแฝดของเจ้ากรมอาญาอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำร้ายจิตใจบรรดาคุณชายทั้งหลายอย่างมาก เพราะโฉมง
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออกท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นา
เลี่ยงหรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงโดยเร็วที่สุด เขาต้องการพบอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาถึง พอขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่นำทางในงานเห็นพระอนุชาก็รีบกุลีกุจอเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังที่นั่งในกระโจมทันทีด้วยบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง[1] ที่นั่งของมู่เลี่ยงหรงจึงถูกจัดให้อยู่ลำดับแรกในหมู่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยพระอนุชาคนโปรดเป็นอย่างยิ่งเริ่มตั้งแต่ มู่เลี่ยงหรงอายุสิบสองชันษาก็แสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เริ่มอุทิศแรงกายแรงใจแบ่งเบาราชกิจ อ๋องน้อยมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมากจนเป็นที่รู้กันถึงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพียงไม่นานผลงานก็ประจักษ์ไร้ข้อกังขา บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างยกย่องเชิดชูอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก ท่านอ๋องน้อยเติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจ ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจึงแต่งตั้งมู่เลี่ยงหรงเป็นฉินอ๋อง พร้อมให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพระองค์อยู่มิได้ขาด ส่วนหน้าที่หลักคือการตรวจสอบเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักนับได้ว่าอยู่ใต้ผู้หนึ่ง แต่อยู่เหนือคนนับพันด้วยบุคลิกจริงจังเคร่งขรึม กอปรกับควา
“กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”“นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้มู่เลี่ยงหรงวางใจคลายโทสะ ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับมาสมานฉันท์ดุจเดิมอีกครั้ง“อ่อ เรายังมีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ จงส่งจดหมายไปให้เยี่ยนเยว่ฉี บอกกับนางว่า หากอยากได้ขลุ่ยหยกคืน จงไปที่อุทยานตะวันออก”“แต่ว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”“ก่อนที่นางจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ”“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซือเซินจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเองในกระโจมจัดงานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่แผนการทั้งหลายเป็นไปตามที่ต้องการแต่นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นอกจาก
ได้ยินคำของฉินอ๋อง เยี่ยนเยว่ฉีคิดว่าตนต้องถูกประหารแน่ นางจึงตัดสินใจโผเข้าไปกอดขาชายหน่มหวังให้เขาคลายโทสะลงก่อน มิเช่นนั้นท่านพ่อคงเดือดร้อนไปด้วยมู่เลี่ยงหรงเบิกนัยน์ตาด้วยความตกใจ สตรีผู้นี้จะเล่นเล่ห์อะไรอีก“หม่อมฉันเพียงตกใจกลัวซูจิ้งเป็นอันตราย ท่านอ๋องอย่าเกลียดเยว่ฉีนะเพคะ”“ปล่อยเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้” มือแข็งแรงดันไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว เขาออกแรงไม่มาก เพียงแค่อยากรักษาระยะห่าง ด้วยไม่อาจเดาใจสตรีที่กำลังเปลี่ยนท่าที แต่ความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นเมื่อครู่กลับค่อย ๆ มลายหายไปอย่างประหลาด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะสามารถตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้เลย‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนเยว่ฉี หากเจ้าไม่ยอมปล่อยมือเสียตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่รามือจากเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’“ไม่เพคะ ท่านอ๋องจะไม่เมตตาเยว่ฉีจริง ๆ หรือ” นางช้อนนัยน์ตาหวานซึ้งขึ้นสบกับเขาแล้วกัดริมฝีปากภาพตรงหน้าทำให้ชาติบุรุษถึงกับหายใจไม่ออก เห็นนางเศร้าสร้อยจิตใจก็อ่อนวูบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางให้นางได้ล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวที่กำลังก่อตัวขึ้น“ปล่อย...เปิ่นหวางจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว พอกันที” ขาขยับถอยออกเล็กน้อย แต่มือนุ่มนิ่มนั้นยึดชายชุดคลุมส
“ฮือ... ปล่อยนะ ถ้าหม่อมฉันไร้ยางอายแล้วมากอดทำไมกัน ถ้าหม่อมฉันเหมือนสตรีที่อยากปีนขึ้นเตียงท่านพวกนั้น...แล้วจะมาจูบทำไม ในเมื่อเหยียดหยามกันขนาดนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่เมินหม่อมฉันไปเสียเลย”เห็นนางตัดพ้อร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เลี่ยงหรงก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีนางนี้ช่างบอบบางยิ่งนัก ขนาดร้องไห้ก็ยังงดงามราวดอกสาลี่ที่ต้องฝน แล้วผู้ใดเล่าเมื่อได้เห็นภาพนี้จะทนใจแข็งอยู่ได้อีกชายหนุ่มรวบมือเรียวบางที่กำลังทุบอกเขาเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโน้มคอลงประทับจูบบนเปลือกตาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกแมลงปอ ใช้ริมฝีปากดูดซับน้ำตาของนางเพื่อปลอบประโลม จมูกโด่งรั้นลากไล่ลงมาบนแก้มนวลมู่เลี่ยงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจร้อนเริ่มกระชั้นถี่ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดอันมหาศาล ท่านอ๋องตัดสินใจครอบครองริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางอีกครั้ง เหยียนเยว่ฉีต่อต้านโดยการเม้มปากเอาไว้แน่น พยายามครองสติของตนไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปกับการล่อลวงอันแสนวาบหวามนี้ เขายังคงคิดว่านางมีใจเพียงแต่ขวยอายอยู่เท่านั้น“อืม...เด็กดี อย่าปากแข็งอีกเลย จะเอียงอายไปไย เจ้าไม่ได้ชอบเราแม้สักนิดเลยหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบชิดริม
ครั้นนึกถึงยามพบกันที่ใต้ต้นหลิว บุตรสาวท่านกั๋วกงก็ไม่มีท่าทีอยากจะกระโจนสู่อ้อมอกของเขาเสียหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเยี่ยนเยว่ฉีอาจจะเขินอายเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย หรือไม่นางอาจจะประทับใจบทเพลงรักนกยวนยางกระมังเพราะเมื่อครู่เขาเองก็พยายามส่งกระแสความรู้สึกอันท่วมท้นไปถึงนาง ‘นางชอบข้างั้นรึ’เขาคิดเข้าข้างตัวเอง ยิ่งหวนนึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่นางส่งให้ที่ใต้ต้นหลิวจึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วนหากนางพึงใจในตัวเขาเช่นกัน การแต่งงานย่อมเกิดจากความเต็มใจ เท่ากับไม่ต้องบังคับขู่เข็นใครทั้งสิ้น รอยยิ้มอย่างหาได้ยากจึงปรากฏบนใบหน้าของฉินอ๋อง“เสี่ยวเยว่...เจ้าชอบเพลงรักของเรามากหรือ” มู่เลี่ยงหรงกระซิบถามนางพร้อมเรียกขานด้วยชื่อ แอบหวังว่านางจะมีใจให้ดั่งที่เขาคิด“ทะ...ท่านอ๋องเล่นได้ดีจนหม่อมฉันตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งจับขลุ่ยพลิ้วพรายครั้งแรกจะเป่าเป็นเพลงที่...ที่…” เยี่ยนเยว่ฉีนิ่งเงียบ นางไม่กล้าบอกชายหนุ่มว่าพอได้ฟังเพลงของเขาก็เกิดความรู้สึกหวามไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนปล่อยตัวปล่อยใจให้ท่านอ๋องเชยชิมริมฝีปากและต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตัวโตอย่างเช่นในยามนี้นางไม
ครั้นมู่เลี่ยงหรงสังเกตเห็นสตรีตรงหน้าเกิดอาการผิดปกติเขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยทันที ร่างสูงปราดเข้าไปรับร่างบางสู่อ้อมแขนได้ทันท่วงทีเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหญิงสาวถึงได้หมดเรี่ยวแรง จึงได้แต่ประคองนางไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้อีกมือหนึ่งลูบแก้มนวลอย่างห่วงใยร่างงามนุ่มนิ่มหอมกรุ่นอ่อนระทวยพิงอกแกร่ง ใบหน้านางแดงเรื่อจนถึงใบหู เสียงหายใจหอบกระชั้นดังชัดเจน นัยน์ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อยราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าครอบครองผ่านไปครู่หนึ่งนางยังคงเหมือนคนไร้สติสิ้นเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงตวัดแขนอุ้มร่างขึ้นแนบกาย เขาพาหญิงสาวไปยังตั่งหินแล้วนั่งลง ส่งผลให้ยามนี้เยี่ยนเยว่ฉีนั่งอยู่บนตักแกร่ง มู่เลี่ยงหรงจดจ้องโฉมสะคราญในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา กิริยาช่างยั่วยวนชวนให้เขาตกตะลึง ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกว่าคอนั้นแห้งผาก‘นางกำลังเชิญชวนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ’เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยินดีอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีพลันสลายไปจนสิ้น ในที่สุดเขาจรดริมฝีปากแนบปากอันอวบอิ่มลิ้นร้อนตวัดไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบอย่างแผ่วเบา จากนั
เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวนเสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วยดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหวมู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัวยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะหญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ
“กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”“นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้มู่เลี่ยงหรงวางใจคลายโทสะ ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับมาสมานฉันท์ดุจเดิมอีกครั้ง“อ่อ เรายังมีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ จงส่งจดหมายไปให้เยี่ยนเยว่ฉี บอกกับนางว่า หากอยากได้ขลุ่ยหยกคืน จงไปที่อุทยานตะวันออก”“แต่ว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”“ก่อนที่นางจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ”“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซือเซินจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเองในกระโจมจัดงานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่แผนการทั้งหลายเป็นไปตามที่ต้องการแต่นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นอกจาก
เลี่ยงหรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงโดยเร็วที่สุด เขาต้องการพบอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาถึง พอขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่นำทางในงานเห็นพระอนุชาก็รีบกุลีกุจอเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังที่นั่งในกระโจมทันทีด้วยบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง[1] ที่นั่งของมู่เลี่ยงหรงจึงถูกจัดให้อยู่ลำดับแรกในหมู่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยพระอนุชาคนโปรดเป็นอย่างยิ่งเริ่มตั้งแต่ มู่เลี่ยงหรงอายุสิบสองชันษาก็แสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เริ่มอุทิศแรงกายแรงใจแบ่งเบาราชกิจ อ๋องน้อยมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมากจนเป็นที่รู้กันถึงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพียงไม่นานผลงานก็ประจักษ์ไร้ข้อกังขา บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างยกย่องเชิดชูอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก ท่านอ๋องน้อยเติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจ ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจึงแต่งตั้งมู่เลี่ยงหรงเป็นฉินอ๋อง พร้อมให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพระองค์อยู่มิได้ขาด ส่วนหน้าที่หลักคือการตรวจสอบเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักนับได้ว่าอยู่ใต้ผู้หนึ่ง แต่อยู่เหนือคนนับพันด้วยบุคลิกจริงจังเคร่งขรึม กอปรกับควา
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออกท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นา
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้