หลิงเชียนอี้เห็นนางจะป้อนนม ย่อมไม่สะดวกอยู่ในห้อง หมุนกายก็ออกไปแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่มองอวิ๋นอิงแม้แต่แวบเดียว ราวกับว่าไม่เคยรู้จักอวิ๋นอิงอวิ๋นอิงยืนอยู่ที่ข้างๆ ก้มหน้าต่ำ มองไม่เห็นการแสดงออกบนใบหน้า แต่ว่าสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน นางเงียบกว่าเมื่อก่อนเยอะมากนางกลายเป็นคนเงียบขรึม กลายเป็นคนไม่ชอบพูดแล้วเมื่อเยว่เอ๋อร์สังเกตเห็น นางถามเสียงเบาๆ“อวิ๋นอิง เจ้าไม่ลองถามท่านโหวน้อยหน่อยหรือ? ท่านโหวน้อยกำลังจะแต่งงานกับคุณหนูกู้แล้วนะ หรือเจ้าเต็มใจยอมแพ้ทั้งเช่นนี้?”อวิ๋นอิงก้มหน้า ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพียงแค่กล่าวเสียงเบา“ข้าไปดูน้ำแกงที่ห้องครัว”กล่าวจบก็ไปแล้วเยว่เอ๋อร์กระทืบเท้าแต่ละคนราวกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำตัวลับๆ ล่อๆ?บนเตียงภายใต้การสอนของแม่นม ฉู่เชียนหลีใช้ท่าที่ถูกต้อง ลองป้อนนมครั้งแรกแต่น้องสาวยังร้องไห้อยู่ร้องไปร้องมา ก็อาเจียนน้ำนมแล้ว“พระชายา นางกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ หลังจากที่เด็กกินอิ่ม เขย่าโดนเล็กน้อยก็อาเจียนน้ำนม เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว“อุแว้…”น้องสาวกินอิ่มแล้ว ยังคงร้องไห้“ฉี่ใส่กางเกงแล้ว?”“ไม่ฉี่เจ้าค่ะ
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา อ๋องหลีทำงานดีมาก สร้างผลงานมากมาย บารมีสูงส่งในหมู่ราษฎร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาให้กำเนิดพระนัดดาองค์โต ทำให้ราชวงศ์มีผู้สืบทอดเฉพาะเรื่องพระนัดดาองค์โต ก็เพียงพอที่จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทบนตำหนัก เกือบสองในสามของขุนนางคุกเข่า สนับสนุนอ๋องหลีเฟิงเจิ้งหลีที่ยืนอยู่หน้าเหล่าขุนนางประสานมือ กล่าวอย่างถ่อมตน“หม่อมฉันอายุน้อย ยังขาดวุฒิภาวะ ยากจะรับภารกิจอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ใต้เท้าทุกท่านแค่เสนอความคิดเห็น เสด็จพ่อไม่ต้องใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ”เขาปฏิเสธอย่างไม่เย่อหยิ่งและใจเย็น ท่าทางที่รู้จักรุกและถอยอย่างมีชั้นเชิง ทำให้ขุนนางหลายคนมองด้วยสายตาที่พึงพอใจเวลาย่ามใจ ไม่เย่อหยิ่งเวลาผิดพลาด ไม่ท้อแท้มีแต่คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จึงจะสามารถเป็นผู้นำของพวกเขา นำพาแคว้งตงหลิงก้าวสู่จุดที่สูงกว่าฮ่องเต้ที่อยู่ข้างบนสุดมือของฮ่องเต้วางอยู่บนที่วางแขน ใช้นิ้วเคาะไปพลาง ปิดปากแน่น มองเฟิงเจิ้งหลีด้วยสายตาที่ซับซ้อนทุกคนรู้ว่าอ๋องหลีเป็นคนจิตใจดีมีเพียงเขาที่รู้ว่า อ๋องหลีไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็น เขาดูเป็นคนอ่อนโยนไร้พิษสง แต่ในความเป็นจริง ทุกย่างก้าวของเขา
ไม่นาน เฟิงเจิ้งหลีก็อุ้มผ้าห่อทารกเล็กๆ เดินเข้ามายังไม่ทันหยุดเดิน ฮ่องเต้ก็เดินพรวดเข้าไป เอื้อมสองมือออกไปอย่างแทบรอไม่ไหว “รีบเอามาให้เราดูหน่อย!”อุ้มไว้ในอ้อมแขน ได้กลิ่นหอมของนมเขากำลังนอนหลับใบหน้าน้อยๆ ที่จ้ำม่ำ กลมมนน่ารัก ดูเปล่งปลั่ง ผิวขาวนุ่มละมุนบอบบาง เรียบเนียนดุจผ้าไหม ขนตายาวโค้งงอ อวัยวะสัมผัสทั้งห้าประณีตมาก มือน้อยๆ สองข้างกำแน่น นอนหลับสนิทฮ่องเต้มองอย่างตื่นเต้น“เต๋อฝู เจ้ามาดู คิ้วของเด็กคนนี้ เหมือนเรามาก!”เต๋อฝู “...”นี่เป็นลูกของอ๋องหลี ควรจะเหมือนอ๋องหลีไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเหมือนท่านไปได้?เมื่อเดินเข้าไปดูโอ้!เหมือนจะไม่ค่อยเหมือนอ๋องหลีจริงด้วย และไม่เหมือนพระชายาอ๋องหลีมากนัก โครงหน้าเล็กๆ นั่น คล้ายฮ่องเต้สามส่วน“ดูปากน้อยๆ ที่ห่อยื่นออกมาของเขาสิ เหตุใดเราจึงรู้สึกว่า เหมือนเฟิงเย่เสวียนตอนโกรธสมัยเด็กเลย?”“...” เต๋อฝูกำหมัด ปิดปาก “แค่กๆ!”กระแอมสองทีเป็นการเตือนพ่อของเด็กอยู่ที่นี่ ฮ่องเต้กลับบอกว่าเด็กเหมือนผู้ชายคนอื่น นี่ไม่ใช่กำลังเหยียบย่ำทำให้อ๋องหลีอับอายหรือ?ฮ่องเต้นึกขึ้นได้ รีบหุบปากทันที“หลีเอ๋อร์อย่าเก็บเอ
จวนอ๋องเฉินพูดถึงก็แปลก พระชายาคลอดลูกสองคน พี่สาวเรียบร้อยมาก กินอิ่มก็นอน ตื่นมาก็กิน มีสดใสชีวิตชีวา ดูแลง่ายมาก ส่วนน้องสาวเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงทั้งร่าง ร้องไห้ตั้งแต่เช้ายันเย็น กลางคืนก็ยังร้อง ทำเอาฉู่เชียนหลีไม่ได้นอนทั้งคืนเดิมทีร่างกายก็อ่อนเพลียอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งอ่อนเพลียแล้ว สีหน้าก็ดูไม่ดีนักเยว่เอ๋อร์เห็นดังนี้ กล่าวอย่างปวดใจ“พระชายา หรือไม่อุ้มนางไปให้แม่นมดูแลเถอะ เมื่อคืนท่านแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ระวังเป็นโรคหลังคลอดบุตรนะเจ้าคะ”ฉู่เชียนหลีปวดใจลูก จะมีเวลามาสนใจตัวเองได้อย่างไร?อุ้มมาทั้งคืน แขนเมื่อยหมดแล้ว แต่น้องสาวมักจะหลับไม่สนิท นอนสักพัก ร้องไห้สักพัก นอนสักพัก ร้องไห้อีกสักพักเป็นช่วงๆ เป็นเช่นนี้ทั้งกลางวันกลางคืนเยว่เอ๋อร์ อวิ๋นอิง ถงเฟย และคนอื่นผลัดกันดูแล แต่ก็กล่อมนางไม่อยู่ถงเฟยจนปัญญาแล้วจริงๆ“เป็นเพราะตอนที่อยู่ในท้อง มักจะถูกพี่สาวรังแก ดังนั้นนางจึงดูดสารอาหารได้ไม่ดี จึงดูแลยากเช่นนี้?”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว มีการคาดเดาที่ไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่งในสมอง“พระชายา ความคิดของเด็กทารกนั้นเรียบง่าย มีแต่ตอนหิวจึงจะร้องไห้ แต่คุณหนูรองร้องไห้ห
“อีกทั้ง โรคที่รักษาไม่หายจะมีได้อย่างไร? ขอแค่ใช้ยาถูก ใช้วิธีที่ถูกต้อง ใช้ยาให้ถูกกับอาการ ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ผ่านไม่ได้เจ้าค่ะ อีกอย่างทักษะการแพทย์ของพระชายาเก่งกาจเช่นนี้ ท่านต้องมั่นใจในตัวเองสิ ถ้าหากแม้แต่ท่านก็คิดเช่นนั้น ก็เท่ากับคุณหนูรองป่วยระยะสุดท้าย ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาหรือ?” อวิ๋นอิงกล่าวคำพูดของนางเตือนสติฉู่เชียนหลีกะทันหันใช่แล้ว!น้องสาวโชคร้ายมามากแล้ว เอาแต่ร้องไห้กับโทษตัวเอง ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ต้องหาทางเยียวยา จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องแม้น้องสาวเป็นโรคหัวใจโดยกำเนิด ขอแค่กินยาระยะยาว และดูแลสุขภาพให้ดี ตราบใดที่ไม่ถูกกระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรง โดยทั่วไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันขอแค่ระวังให้มากๆ นางยังสามารถเป็นเหมือนคนทั่วไปเอาแต่เสียใจ จนลืมเรื่องสำคัญไปเลยฉู่เชียนหลีนั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย รีบเช็ดน้ำตาทั้งสองข้างออก วางน้องสาวที่กว่าจะนอนหลับลงในอ้อมแขนเยว่เอ๋อร์“เยว่เอ๋อร์ เจ้าอุ้มนางไปนอนก่อน ระวังหน่อยนะ พยายามวางนางให้เบาที่สุด อย่าทำให้นางตกใจ”“เจ้าค่ะ”เยว่เอ๋อร์อุ้มอย่างระมัดระวัง ไปวางลงอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้“อวิ๋นอิง
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำพูดนี้ ก็คงตกใจจนสะดุ้ง แต่ตอนนี้นางเคยชินกับความคิดที่ผิดเพี้ยนของเฟิงเจิ้งหลีแล้วไม่มีเรื่องอะไรที่เฟิงเจิ้งหลีทำไม่ลง“เจ้ายังฝันอยู่กระมัง? แม้เจ้าได้ให้กำเนิดพระนัดดาองค์โต ฝ่าบาทกลับไม่แต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แสดงว่าเขาไม่ชอบเจ้า ประกอบกับเฟิงเย่เสวียนกำลังกลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าคิดว่ามีลูกชายแล้วทุกอย่างก็จบหรือ?”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างเย็นชาช่วงที่เฟิงเย่เสวียนออกรบ เรื่องสกปรกที่เขาทำลับหลังเหล่านั้น เฟิงเย่เสวียนจะไม่รู้หรือ?ด้วยนิสัยของเฟิงเย่เสวียน ระหว่างพวกเขาสองคน ไม่ตายไม่เลิก“เฟิงเจิ้งหลี นี่เป็นเรื่องที่เจ้าก่อขึ้น นอกจากตาย ไม่มีวิธีอื่นที่จะหยุดเรื่องนี้ ไม่ว่าระหว่างพวกเจ้าจะจบลงอย่างไร ชนะก็ดี แพ้ก็ดี หัวใจของข้าล้วนอยู่กับจวนอ๋องเฉิน”“ใครก็ได้ ส่งแขก”หมุนกายกลับอย่างเย็นชา ปิดประตู ตัดขาดการมองเห็นปัง…มีลมเย็นพัดเข้าไปปะทะหน้าเฟิงเจิ้งหลีเย็นเล็กน้อยเฟิงเจิ้งหลีหลุบตา ลูบปลายจมูกที่เย็นเฉียบเบาๆไม่ว่าเป็นหรือตาย หัวใจของนางก็จะไม่เปลี่ยน?นางช่างไร้ความรู้สึกกับเขาจริงๆ หรือกล่าวอีกนัยก็คือไม่
นางอยากป้อน กลับถูกต่อต้านรุนแรงยิ่งขึ้น กลับกับมันทำให้รู้สึกเด็กอยู่ในอ้อมแขนของนาง เหมือนกำลังมีเข็มทิ่มแทงเขาเมื่อหมอมอเห็น จึงรีบกล่าว“พระชายา ท่านเพิ่งดูแลเด็กครั้งแรก ยังไม่มีประสบการณ์ อาจเพราะนายน้อยรู้สึกอึดอัด จึงร้องไห้หนักเช่นนี้ หรือไม่ให้บ่าวอุ้มไปให้แม่นมป้อนก่อน ท่านเรียนรู้อีกสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยป้อนนายน้อย”ฉู่เจียวเจียวเอาเด็กคนนี้ไม่อยู่จริงๆ ได้แต่ส่งให้หมอมอ“ก็ดี”“รอเขากินอิ่ม นอนหลับแล้ว ค่อยอุ้มมาให้ข้า”“เจ้าค่ะ” หมอมออุ้มเด็กถอยออกไปแล้วภายในห้อง เหลือเพียงสองคนทันทีบรรยากาศเงียบสงัดหลายวินาทีหลังจากผ่านไปเจ็ดแปดวินาที ฉู่เจียวเจียวจึงจะรู้ตัวว่าตนยังเปลือยหน้าอกอยู่ อีกทั้งภายใต้การจ้องมองของเฟิงเจิ้งหลี หน้าแดงเหมือนกุ้งที่ถูกต้มจนสุก รีบดึงเสื้อลงแต่เสื้อผ้าเป็นของก่อนคลอด สองวันนี้เริ่มมีน้ำนม บวมมาก และใหญ่กว่าเดิม จึงค่อนข้างคับดึงอยู่สองสามทีไม่เหมือนปิด กลับเหมือนการยั่วยวนมากกว่าฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้ามา“ข้าเอง”มือซ้ายของเฟิงเจิ้งหลีกดไหล่นาง มือขวาจับมุมหนึ่งของเสื้อ ยกขึ้นเล็กน้อย ขยายพื้นที่ แล้วดึงลงมา สวมได้อย่าง
ณ จวนอ๋องเฉิน แคว้นตงหลิง “สารเลว!” “โอ๊ย!”เสียงตวาดแผดขึ้น ร่างผอมบางร่างหนึ่งถูกถีบจนกระเด็นเข้าชนกับเสาที่ผนัง ก่อนกระแทกกับพื้นอย่างแรง ปิ่นเงินร่วงลง เส้นผมสีดำกระจายลงบนพื้นเจ็บ...เจ็บจัง...เธอเพิ่งเสร็จสิ้นการผ่าตัดใหญ่ที่นานถึงสามสิบแปดชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก พอออกมาจากห้องผ่าตัดก็หมดสติล้มลงกับพื้น แต่ทำไมตัวเธอถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ?จากนั้น ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งก็เบียดเข้ามาในหัวสมองและฉายให้เห็นอย่างรวดเร็ว ฉู่เชียนหลี คุณหนูสี่ผู้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ใบหน้าอัปลักษณ์ไร้ซึ่งความงาม นางแต่งเข้าจวนเฉินอ๋องเมื่อสามเดือนก่อน ไม่เคยได้รับความชื่นและต้องอยู่ลำพังในห้องว่างเปล่าเรื่อยมาวันนี้อ๋องเฉินรับอนุภรรยา นางถูกเรียกให้มาปรนนิบัติอนุภรรยา แต่เพราะพลั้งเผลอปัดน้ำชาหกไปลวกถูกอีกฝ่าย จึงถูกอ๋องเฉินถีบจนตายในคราวเดียว!เป็นผู้ชายที่โหดจริงๆ!แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ทำใจอยู่อย่างสงบเสียฉู่เชียนหลีรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ฝืนทนความเจ็บปวด เงยหน้าขึ้นมาห้องหอที่ประดับตกแต่งด้วยสีแดงแห่งงานมงคล ชายหญิงในชุดแต่งงานคู่หนึ่งอย