ขนของมันดำเช่นนั้น น่าจะชื่อเจ้าดำกระมัง?แต่นางเรียกอยู่หลายครั้ง ในป่าไม่มีการตอบสนองฉู่เชียนหลีครุ่นคิด ลองเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ “เจ้าล่ำ”ก็ยังไม่มีการตอบสนอง“เจ้าสูง? พี่ใหญ่? เจ้าขายาว? เจ้าขนยาว? เจ้าขนดำ? เจ้าน่าเกรงขาม? เจ้าฉลาด…”ฟู่…ไม่รู้ว่าเป็นชื่อใดที่เรียกถูก มีเสียงการเคลื่อนไหวดังออกมาจากในป่า เห็นเพียงภายในป่าที่มืดสลัว ดวงตาสีเขียวเข้มคู่หนึ่งราวกับดวงไฟผีพุ่งเข้ามาใกล้กะทันหันลมเย็นปะทะหน้าวินาทีต่อมา เงาสีดำร่างใหญ่ที่เลือนลานปรากฏตรงหน้าฉู่เชียนหลีคือมัน!แต่ว่า…ขนของมันยุ่งเหยิง บนตัวยังมีลูกกระชับติดเต็มไปหมด ทำให้ขนที่เงางามของมันติดกันเป็นก้อนๆ ท่าทางที่ตกอับของมันก็เหมือนชนชั้นสูงที่สภาพทางการเงินตกต่ำ ไม่ต้องพูดถึงว่าสะบักสะบอมแค่ไหนพอมันเห็นนางก็เหมือนกับน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย หมอบอยู่บนพื้น ใช้หัวถูขาของนาง ราวกับกำลังออดอ้อนฉู่เชียนหลีถึงกับตะลึงงันแล้ว“เจ้าใช่หมาป่าเทพแห่งเขาคุนหลุนที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาจริงหรือ?!”แต่ไม่ใช่สุนัขดำตัวน้อยที่กระดิกหาง?หมาป่ารบเหวี่ยงหางใหญ่ที่ขนฟูทีหนึ่ง หัวพลางถูรองเท้านาง กลิ้งอยู่บนพื้นหนึ่งรอบ บ
“เจ้าดำน้อย พวกเราไปกันเถอะ”ฉู่เชียนหลีลูบหูที่มีขนปุกปุยของมัน “เจ้าจะเข้าเมืองไม่ได้นะ ถ้าองค์รัชทายาทพบเข้า จะต้องจับตัวเจ้ากลับไปแน่ ข้าจะต้องคิดหาวิธีจัดการเจ้าอย่างรัดกุมก่อน เจ้ารอข้าคิดก่อนนะ”หนึ่งคนหนึ่งหมาป่ากำลังก้าวเดินผู้หญิงเดินนำหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย กำลังลูบคาง เดินพลางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้หมาป่าดำกำลังสาวอุ้งเท้า เดินตามอยู่ด้านหลังช้า ๆภายใต้แสงจันทร์ที่มืดสลัว บนทางอันเงียบเหงาสองสายที่เดินอยู่แลดูกลมเกลียดเป็นพิเศษ ทำให้ความมืดยามราตรียิ่งสงบมากขึ้นทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น“โอ๊ย ไอ้…!”ฉู่เชียนหลีเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นชายหนุ่มกระโดดสูงสามฉื่อ กอดต้นไม้เอาไว้ด้วยความตกใจ “นี่ไม่ใช่จวี้เฟิงฮ่าวของท่านลุงรัชทายาทหรอกหรือ?!”หลิงเชียนอี้คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่กลับบ้าน ยังต้องเจอสัตว์ป่าดุร้ายอีก ตกใจจนขวัญเสียได้ยินมาว่า ท่านลุงรัชทายาทจะต้องป้อนเนื้อสดให้มันวันละยี่สิบชั่ง มีครั้งหนึ่งที่มันกินไม่อิ่มจึงกัดคนรับใช้ที่เลี้ยงดูจนตาย แล้วกลืนลงท้องไปเลย...หลิงเชียนอี้ตกใจจนปีนต้นไม้ ถึงสังเกตเห็นถึงฉู่เชียนหลีที่อยู่ข้างตัวหมาป่าดำยังไม่ได้ถามนางว
ฉู่เชียนหลีครุ่นคิด ในเมื่อท่านโหวน้อยช่วยเหลือนาง เช่นนั้นการที่นางจะช่วยเขาขอภาพวาดภาพหนึ่งก็เป็นเรื่องสมควรหมาป่าตัวนี้มีสายเลือดที่ค่อนข้างหายาก ต่อไปอาจจะสามารถช่วยชีวิตนางในช่วงเวลาคับขันได้ และนางช่วยรองแม่ทัพเจียง นางขอภาพวาดภาพหนึ่งกับอ๋องเฉินเพื่อเป็นรางวัล คงไม่เกินไปหรอกกระมัง?หลังจากครุ่นคิด บรรลุความร่วมมือ“ถ้าเป็นไปตามคาด ท่านก็มารับได้ในพลบค่ำวันพรุ่งนี้เถอะ”“ดี เด็ดขาดจริง ๆ!”วันรุ่งขึ้นหลังจากฉู่เชียนหลีตื่นนอน ในระหว่างกำลังกินอาหารเช้าก็ครุ่นคิดถึงเรื่องภาพวาดนั้น ในเมื่อแขวนอยู่ที่ห้องหนังสือ เช่นนั้นนางก็จะไปที่ห้องหนังสือรีบร้อนกินข้าว เช็ดปาก ยกขนมที่กินไม่หมดที่อยู่บนโต๊ะจานนั้น เดินมาที่เรือนหานเฟิง“พระชายานี่คือ...”หานเฟิงเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ตอนที่นายท่านทำงาน หากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่ชอบให้ผู้ใดมารบกวนฉู่เชียนหลีมองไปยังประตูห้องหนังสือที่ปิดเอาไว้ ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยน“ท่านอ๋องกำลังยุ่งหรือ? ข้าทำขนมเองกับมือจำนวนหนึ่ง อยากจะเอามาให้ท่านอ๋องลองชิมน่ะ”หานเฟิงชะงักไปเล็กน้อยนายท่านไม่เคยเบนความสนใจเพราะเรื่องแบบนี้มาก่
ขนมในมือหมดความหอมไปทันทีเฟิงเย่เสวียนวางกลับที่เดิม แล้วหยิบฎีกาขึ้นมาใหม่ “ข้ามีงานยุ่ง มีธุระอะไรค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้”“งั้นขนมนี่...”“วางเอาไว้”เมื่อพูดจบ ก็หลุบตาลงอ่านฎีกาฉู่เชียนหลีกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ อยากจะพูดถึงเรื่องของหมาป่ากับเขา แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเขากับองค์รัชทายาท หากทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันขึ้นมา นางจะปัดความรับผิดชอบได้ยากเมื่อคิดดูแล้ว ไม่พูดดีกว่ากวาดตามองภาพแขวนที่ราคาสูง ความเป็นมายิ่งใหญ่ที่อยู่บนฉากบังลมรูปนั้น ก็เลียริมฝีปากก่อนจะเอ่ย“ท่านอ๋อง อันที่จริงข้ามาเพื่อที่จะสอบถามอาการของรองแม่ทัพเจียงสักหน่อย”“อันที่จริงอาการของรองแม่ทัพเจียงสาหัสมาก จะต้องจับตาดูตลอดเวลา ทันทีที่ใช้ยาไม่ถูกต้องหรือว่าเกิดเรื่องผิดพลาดตรงไหน มือของเขาอาจจะพิการได้ และมีแต่ข้าที่มียา”ว่าแล้วนางก็ล้วงยาปฏิชีวนะออกมาจากในแขนเสื้อนิ้วที่ถูกตัดสามารถต่อกลับไปใหม่ได้ ต้องการเวลาในการเติบโตใหม่ การฉีดยาปฏิชีวนะสามารถเพิ่มอัตราการอยู่รอดของนิ้วที่ขาดได้เฟิงเย่เสวียนกวาดสายตามองวัตถุที่อยู่ในมือของนางนางมักจะหยิบสิ่งของที่เขาไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็น
เห็นแก่ภาพวาดบนนั้น หลังจากฉู่เชียนหลีสังเกตแผนที่อย่างจริงจังก็เอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง ยอดเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย สูงเสียเสียดฟ้า เกรงว่าจะเป็นสถานการณ์หนึ่งคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่าน อยากจะขึ้นยอดเขา ไม่ลองกำจัดสิ่งกีดขวางออกทีละอย่างดูก่อน แล้วค่อยขึ้นยอดเขาก็ยังไม่สาย”“อ้อ?”ชายหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อยเขายังไม่ทันบอกว่าความลึกลับบนภูเขาลูกนี้ นางกลับมองออกเสียแล้วไม่เลวจึงซักถามต่อ “ตามความเห็นของพระชายา จะใช้วิธีใดถึงจะปีนไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ โดยเกิดการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด?”ฉู่เชียนหลีลูบคาง ตกอยู่ในความคิดยอดเขานี้สูงชัน ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นหน้าผา น่ากลัวว่าจะมีทางขึ้นเขาเพียงสายเดียว ทั้งยังอันตรายมาก ทั้งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีคนคอยขัดขวางการขึ้นเขาอีกด้วย ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มพูนถ้าอยากจะให้มีการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด...หลังจากพึมพำเสียงต่ำเล็กน้อย จู่ ๆ ก็เกิดความคิดสวนทาง“ในเมื่อมีคนคอยขัดขวาง เหตุใดขึงไม่ให้เขาเป็นฝ่ายลงมา ยกเลิกการป้องกันก่อนล่ะ?”นางชี้ไปที่ยอดเขา “เพียงแค่ใช้วิธีการบีบบังคับให้พวกเขาลงมา พวกเขาก็จะพ่ายแพ้ นอกเสียจากว่าภูเขา
ในเวลานี้ด้านนอกจวนอ๋องเฉิน ด้านหลังกำแพงเรือน มีสองสามร่างกำลัง ชะโงกหัวเยี่ยม ๆ มอง ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ “ระวังหน่อย ๆ อย่าให้ถูกจับได้”บรรดาองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของจวนอ๋อง “...”คุณชายทุกท่าน เชิญพวกท่านทำต่อไป พวกข้าตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเป็นหลิงเชียนอี้รวมทั้งสหายที่ไม่เอาการเอางานทั้งสามคนตู้หนิงเป็นบุตรชายตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของเจียงหนาน นิสัยหุนหันพลันแล่นตรงไปตรงมา “ใช้ได้นี่ เหล่าหลิง เจ้าเอาผลงานภาพวาดชิ้นเอกของหวังอันมาได้จริง ๆ งั้นหรือ? ข้าได้ยินมาว่าอ๋องเฉินเก็บรักษาภาพวาดนี้เอาไว้อย่างทะนุถนอม หวงแหนมาก”บิดาของซูมู่เป็นไท่ฟู่[footnoteRef:1] ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง เขาจึงเงียบขรึมและอ่อนโยนกว่าเล็กน้อย [1: อาจารย์ของรัชทายาท] “ท่านโหวน้อย เหตุใดท่านถึงสนใจในตัวของฉู่เชียนหลี ข้าได้ยินมาว่านางไม่ได้รับความโปรดปรานของอ๋องเฉิน...”เริ่นอันหรานเงียบขรึมที่สุด สุขุมที่สุด แล้วก็ชำนาญในเรื่องการชั่งน้ำหนักและวิเคราะห์มากที่สุด“อย่าได้ดูถูกสตรี”โดยเฉพาะสตรีที่อายุน้อย และมีความคิดสตรีอยากจะเปลี่ยนฐานะตนเองง่ายกว่าบุรุษมากนักบนใบหน้าข
ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเอ่ยถึงอ๋องเฉิน ทุกคนล้วนเคารพยำเกรง เคารพนับถือ ประจบประแจง มีเพียงแค่ฉู่เชียนหลี มีเพียงนางที่กล้าพูดความในใจออกมาหลิงเชียนอี้รู้สึกว่าฉู่เชียนหลีได้กระตุ้นความเป็นหัวอกเดียวกันของเขา รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันที ตื้นตันใจจนไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากความตื้นตันใจผ่านไป จึงดึงมือของฉู่เชียนหลี “จะต้องให้ท่านน้าเฉินที่รังแกท่านชดใช้!”“ถูกต้อง ข้าไม่ยอมก้มหัวให้หรอก”“ฉู่เชียนหลี ข้าสนับสนุนท่าน!”ทั้งสองคนรู้สึกเช่นเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน เสียดายที่รู้จักกันช้าไปดังนั้น ทั้งสองคนจึงเหมือนกับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาสิบกว่าปี เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กลับไปที่เรือนซอมซ่อ ศึกษาค้นคว้าหนทางที่จะนำภาพวาดนั้นมาให้ได้ฉู่เชียนหลีไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านถึงต้องอยากได้ภาพนั้น?”หลิงเชียนอี้ตกใจทันที อะไรบางอย่างแวบผ่านดวงตาด้วยความรวดเร็ว เอ่ยขึ้น“ฉู่เชียนหลีท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ท่านน้าของข้ามีความชอบพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสะสมวัตถุโบราณ อย่างเช่นพวกกระบี่โบราณ ของเล่นโบราณเหล่านั้น สิ่งของที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน รวมทั้งภาพวาดที่มีความเป็นมาล้ำค่า ผลงานภาพวาดชิ้นเอกของหว
กรอบภาพวาดนี้ราวกับถูกยึดอยู่บนฉากบังลม ทั้งยังมีตัวเกี่ยวลับ จะหยิบลงมาเลยไม่ได้ฉู่เชียนหลีมือหนึ่งยกกรอบภาพ อีกมือหนึ่งยื่นเข้าไปในช่องว่างระหว่างกรอบภาพกับฉากบังลม คลำหาตำแหน่งของตัวเกี่ยวลับอย่างละเอียดนางคลำหาอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่ทันสังเกตเห็นว่าหลิงเชียนอี้ได้กระโดดออกทางหน้าต่างไปแล้ว ก็มีเงาดำที่สูงส่งเงาหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาด้านหลังของนาง...คลำถูกดหาทันใดนั้น ปลายนิ้วก็สัมผัสถึงตำแหน่งที่นูนออกมาเล็กน้อยแห่งหนึ่ง ออกแรงกดเล็กน้อย ได้ยินเสียง‘แกรก’ทีหนึ่ง กรอบภาพก็คลายออก“ข้าเอาลงมาได้แล้ว!” ฉู่เชียนหลีกอดกรอบภาพเอาไว้ หันหลังกลับไปด้วยความดีใจ “หลิง...”เสียงพูดหยุดกึกรอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อไปทันทีเห็นเฟิงเย่เสวียนในชุดสีดำยืนอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง กำลังสำรวจนางด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ท่าทางที่ดูสงบ ราวกับว่าได้มาถึงตรงนี้นานแล้ว แล้วก็มองไปยังห้องหนังสือ ที่ไม่มีเงาของหลิงเชียนอี้ตั้งนานแล้วทันใดนั้นฉู่เชียนหลีที่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็กระทืบเท้าอย่างโมโหไอ้เลว!หลิงเชียนอี้ นายมันไอ้คนไม่มีคุณธรรม ทรยศฉัน!“พระชายากำลังทำ
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่