อีกด้านหนึ่งตอนที่เฟิงเย่เสวียนอยู่ต่อหน้าอ๋องหลี ทั้งนิสัยดี ทั้งใจกว้าง และเป็นมิตร ไม่มีอะไรที่ตำหนิได้เลย แต่พอลับหลังก็กลายเป็นอีกคน เขาลากฉู่เชียนหลีไปด้านข้าง“เดินตลาด พวกเจ้าสองคนเดินตลาดอะไร? เขามีพระชายาไม่ใช่หรือ? ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงคราวของเจ้ากระมัง?”เขาไม่พอใจแล้วเขานับนิ้ว นึกย้อนอย่างละเอียด แต่งงานมานานเช่นนี้แล้ว นางไม่เคยมาเดินตลาดกับเขาแม้แต่ครั้งเดียวนางกลับมอบครั้งแรกให้อ๋องหลี!หน้าบึ้ง โกรธฉู่เชียนหลีรีบหยุดฝีเท้า ลูบศีรษะของเขา พลางรีบปลอบใจ“หรือท่านไม่เห็นฉู่เจียวเจียวไม่ได้รับความโปรดปราน? ตอนอยู่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ นางกับแม่นางรังแกข้า ยังจงใจปิดบังตัวตนของข้าไม่ยอมบอก และถึงขั้นวางยาพิษทำลายโฉมของข้านานถึงสิบห้าปี”“เปลี่ยนเป็นท่าน ท่านสามารถกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้ได้หรือ?”เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะหากอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ชักกระบี่ฆ่าไปนานแล้ว แต่เขาไม่ฆ่าผู้หญิง“เจ้าอยากทำอย่างไรกับพวกนาง? บอกข้า ข้าส่งไปนางไปขุดเหมืองที่ภาคตะวันตก”คิกๆ!ขุดเหมือง!ภาคตะวันตกอยู่ไกลเช่นนั้น สองแม่ลูกคู่นี้มีกลอุบาย ส่งพวกนางไป ไม่แน่พวกนางอาจจ
“ทำไมถึงมีคนเป็นลม!”“เกิดอะไรขึ้น?”“เสื้อผ้าเขาขาดเช่นนี้ ต้นขาก็โผล่ออกมาแล้ว คงจะไม่ใช่อันธพาลกระมัง…”ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ตรงท้ายถนน พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ฉู่เชียนหลีรู้สึกถึงความผิดปกติ ยกเท้าเบียดเข้าไปในฝูงชน ก็มองเห็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งล้มอยู่บนพื้น เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมยุ่งเหยิง สีหน้าอิดโรย ปากแห้งผาก เป็นลมไปแล้ว“หลบหน่อย!”นางปัดคนทั้งสองข้างออก ก้าวเท้ายาวเดินไปข้างๆ ชายวัยกลางคน ตรวจชีพจรเขาผิวหนังร้อนมาก!จับชีพจรครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลงทันทีนี่เหมือนจะเป็น…“รีบอพยพคนออกไป!”ชายวัยกลางคนคนนี้ร้อนไปทั้งตัว สติเลอะเลือน และยังพบไวรัสชนิดหนึ่งที่เหมือนโรคกลัวน้ำ[footnoteRef:1] ไวรัสชนิดนี้ติดต่อกันได้ เมื่อร้อนถึงระดับหนึ่ง อาจถึงตายได้ [1: โรคกลัวน้ำ หรือโรคพิษสุนัขบ้า] แต่ตกลงเป็นโรคกลัวน้ำหรือไม่ ยังต้องตรวจสอบดูก่อนทว่า เสียงของนางถูกฝูงชนที่มุงดูกลบ ทุกคนเอาแต่มุงอยู่ ไม่สนใจคำพูดของนางเลยสักนิดเฟิงเย่เสวียนเดินเข้าไป กวาดมองชาวบ้านที่ไม่กลัวเรื่องบานปลายแวบหนึ่ง เขาตะโกนเสียงทุ้มต่ำ“จวนอ๋องเฉินทำงาน รีบถอยออกไป ร
เฟิงเย่เสวียนไปประชุมแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินข้าวเสร็จ ก็มาที่โรงหมอไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่สบายใจทั้งคืน เรื่องแรกที่สั่งจางเฟยหลังจากมาถึงโรงหมอก็คือ “พาพี่น้องสองสามคนไปซื้ออ้ายเฉ่า[footnoteRef:1] ยิ่งซื้อเยอะยิ่งดี” [1: อ้ายเฉ่า โกฐจุฬาจีน] จางเฟยไม่เข้าใจอ้ายเฉ่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค เพียงแต่ขายดีในช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างเท่านั้น ปกติไม่มีคนซื้อ โดยทั่วไปแล้ว ของที่เก็บไว้ในคลังของโรงหมอก็มีน้อยมากเช่นกัน“คุณหนู ท่านบอกว่ายิ่งเยอะยิ่งดี คือเท่าไร?”“หลายร้อยชั่งกระมัง”“?!”จางเฟยเบิกตากว้างโดยตรง “ทำไมถึงซื้อเยอะขนาดนี้?”หลายร้อยชั่ง! บ้าไปแล้วหรือ? นี่หากซื้อมา ขายยี่สิบปีก็ไม่หมด เงินไม่ได้ตกลงมาจากบนท้องฟ้า หากล้วนนำเงินไปซื้ออ้ายเฉา ขาดทุนหมดกระเป๋าแน่“จางเฟง คุณหนูมีเหตุผลของนาง ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปเถอะ” จิ่งอี๋ดึงลิ้นชักออก นำตั๋วเงินปึกหนึ่งวางบนมือเขาจางขาเป๋ใช้สองมือจับไม้เท้า ค้ำอยู่บนพื้น มองดูผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน ดวงตาที่ขุ่นมัวหรี่ลง หนวดที่อยู่บนริมฝีปากกระตุก พึมพำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่“อ้ายเฉ่าล้างพิษ ฆ่าเชื้อโรค ปริมาณมากเช่นนี้ เกรงว่าเกิดเรื่อง
นอกเมืองหลวง มีวัดที่ตั้งตระหง่านมานานกว่าสองร้อยปีแห่งหนึ่ง——วัดเทียนหลิงลือกันว่าเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน พระมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้นถูกศัตรูตามล่า หลบหนีมาถึงสถานที่แห่งนี้ และได้ให้กำเนิดฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้น ในคืนที่ให้กำเนิด ฟ้าร้องดังสนั่น ลมพายุโหมกระหน่ำ และยิ่งมีมังกรยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏตัวในท้องฟ้ายามค่ำคืนต่อมา เด็กที่ได้เกิดมาคนนี้เติบโตขึ้น สยบความวุ่นวายที่เกิดจากสงคราม รวมใจราษฎร บุกเบิกราชวงศ์แห่งตงหลิงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน วัดเทียนหลิงมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับการยกย่องเป็นวัดหลวงมาโดยตลอด และยิ่งได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจจากเหล่าราษฎร ธูปเทียนไม่เคยขาด มีผู้ศรัทธาทั่วทั้งแคว้นตงหลิง และยิ่งมีคนเดินทางไกลพันลี้ เพียงเพื่อมาจุดธูปขอพรที่วัดเทียนหลิงนอกเมือง ภูเขาทอดยาว ด้านทิศตะวันออก บนภูเขาที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด วัดเทียนหลิงตั้งอยู่บนไหล่เขาเดินเท้ามุ่งหน้าตลอดทาง มีชาวบ้านที่มาจุดธูปเยอะมากขอความรัก ขอบุตร ขอความสงบสุข…บรรดาชาวบ้านแบกตะกร้า นำธูปเทียนเครื่องสักการะ ปีนขึ้นไปยังภูเขาสูงที่มีบันไดสองพันกว่าขั้นด้วยความคาดหวังบรรดาสองพ
“เงินทองเป็นของนอกกาย ตอนเกิดไม่ได้นำติดตัวมา ตอนตายก็นำติดตัวไปไม่ได้”“ท่านมีหรือ?”“ทุกคนล้วนเกิดมาตัวเปล่า เงินไม่สำคัญ”“แล้วท่านมีหรือ?”“เงินทองเป็นของสามัญ เป็นของตาย”“แล้วท่านมีหรือ?”“...”นี่ตั้งใจหาเรื่องเขา?เฟิงเย่เสวียนหรี่ตา มองดูฉู่เชียนหลีที่หัวเราะฮ่าๆ ตบก้นดูถูกเขา มีประกายลึกที่อันตรายแลบอยู่ในแววตาของเขาจู่ๆ ก็สับขาเข้าไป“ว้าย!”ฉู่เชียนหลีร้องเสียงดัง สับขาก็วิ่งทันที“หยุดอยู่ตรงนั้น!”คิดจะหนี?พลันร่างกายเฟิงเย่เสวียนสั่นไหว ดีดตัวออกไปเหมือนเสือชีตาห์ ไล่ตามไปถึงข้างล่างฉู่เชียนหลีในพริบตา ดึงคอเสื้อหลังนางไว้ฉู่เชียนหลีหมุนกาย กระโดดขึ้นก็ถีบเขาจนล้มก้นจ้ำเบ้าเคร้ง…จุดที่ไม่ไกลนัก เสียงของหนักตกพื้นดังขึ้นอย่างชัดเจนทั้งสองหยุดหยอกล้อและหันไปมองพร้อมกัน ห่างออกไปห้าหกเมตร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเซียวจือฮว่า?! กะละมังน้ำตกพื้น นางยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่มีน้ำตานองมองมาทางนี้ ร่างกายที่บอบบางโอนเอน เห็นแล้วทำให้คนปวดใจนักริษยา…นางกับอ๋องเฉินเติบโตมาพร้อมกัน ไม่เคยเห็นอ๋องเฉินหยอกล้อกับใครอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ตอนที่เขาตามใจฉู่เชียน
เฟิงเย่เสวียนก้าวออกไปข้างหน้า คุกเข่าหนึ่งข้าง ถือเท้าขวาที่บวมแดงของนางเบาๆ ปวดใจจนคิ้วขมวดเป็นปมเขาสูญเสียเสด็จแม่ตั้งแต่เด็ก ตระกูลเซียวถูกฆ่ายกครัว นอกจากฮ่องเต้ เขาก็มีถงเฟยคนเดียวที่เป็นญาติสนิทเขามีญาติแค่คนเดียว จะไม่เฝ้าปกป้องให้ดีได้อย่างไร?หากถงเฟยเป็นอะไร ต่อให้ผมร่วงแค่เส้นเดียว เขาก็รู้!“เท้าแพลงได้อย่างไร?” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์จนถึงขีดสุดหมอมอแก่ที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนคุกเข่าลงพื้น โขกศีรษะอย่างตระหนกตกใจ “อ๋องเฉิน บ่าวมีความผิด บ่าวไม่ได้ประคองถงเฟยให้ดี…”“พอแล้ว พอแล้ว ลูกแม่ ข้าก็แค่ไม่ระวังเท้าแพลง พักสองวันก็หายแล้ว ดูเจ้าสิ ทำเหมือนข้าจะตายแล้ว” ถงเฟยโบกมือ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“เสด็จแม่!”พูดอะไรเช่นนี้!อยู่เย็นเป็นสุขดีๆ พูดอะไรตายไม่ตาย!ฉู่เชียนหลียืนอยู่ข้างๆ ได้กลิ่นของยาดอง มองดูข้อเท้าถงเฟย แดงก่ำ น่าจะบิดโดนกระดูก“เสร็จแม่ ข้าจะดูให้ท่านนะ” นางก้าวเข้าไปกรณีบิดโดนกระดูก นวดยาดองต้องนวดให้ถูกจุดชีพจร ยาดองจึงจะได้ผลไม่เช่นนั้น ต่อให้นวดนานแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์นางเลิกแขนเสื้อขึ้น ก็จะนั่งยองลง“ข้านวดให้เสด็จแม่แล้ว” เซียวจือฮว่าก้าวออ
นางรีบไล่ตาม “เสด็จแม่ ข้าอยากกลับจวนอ๋องเฉิน ข้า…”ถงเฟยหันกลับมา “ข้ารู้ ข้าก็ขอความเห็นใจแทนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?”เมื่อครู่นางพูดไปตั้งเยอะเซียวจือฮว่าชะงักครู่หนึ่ง เม้มปากกล่าว “แต่ท่านอ๋องไม่ได้ตอบตกลง…”“นั่นเป็นเรื่องของท่านอ๋อง เกี่ยวอะไรกับข้า? หรือข้าไม่ได้พูดแทนเจ้า? ไม่ได้ขอความเห็นใจแทนเจ้า? ข้าชอบเจ้ามากจริงๆ นะฮว่าเอ๋อร์ ข้ามองดูเจ้าเติบโตมากับตาตัวเอง จะไม่รักเจ้าได้อย่างไร?” ถงเฟยขยี้ศีรษะนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนเซียวจือฮว่าพูดไม่ออกโดยตรง “นี่…”ถงเฟยเหมือนช่วยนางพูด แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วย?นางสัมผัสได้ แต่ก็เหมือนสัมผัสไม่ได้?มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…“พอแล้ว เด็กๆ ไม่ต้องสนใจคนแก่อย่างข้าแล้ว ให้ข้าอาบแสงแห่งความรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่ของพุทธองค์เงียบๆ สักพักเถอะ!”ถงเฟยพูดจบ ก็ไปทันที หากไม่ใช่เพราะเจ็บขาเดินเร็วไม่ได้ นางแทบอยากติดปีกบินจริงๆช่วงครึ่งชีวิตแรก เพื่อเลี้ยงดูอ๋องเฉินจนเติบใหญ่ ต่อสู้ในวังไม่หยุดไม่ง่ายเลยที่อ๋องเฉินจะเติบใหญ่ นางก็สามารถพักผ่อนสักพักแล้ว แต่แล้วก็เปลี่ยนจากต่อสู้ในวังมาเป็นต่อสู้ในจวนแทนขอร้องอย่ามาหานางเลยกราบขอ
ดึงตั๋วเงินกลับมาไม่ทัน ได้แต่มองดูเงินก้อนโตหนึ่งร้อยตำลึง ไหลเข้าไปในรูเล็กๆ ของหีบบุญ…ไหลเข้าไปแล้ว…เข้าไปแล้ว…“สักวันบ้านนี้จะถูกท่านผลาญจนหมด” ฉู่เชียนหลีถอนหายใจ“ยิ่งบริจาคเยอะ ยิ่งศรัทธา ความปรารถนาก็จะเป็นจริงเร็วเช่นกัน” เขายิ้มบางทีนางอาจจะไม่รู้ เขาเป็นคนสร้างวัดเทียนหลิงขึ้นมาใหม่เมื่อแปดปีก่อน ฝนตกหนักติดต่อกันห้าวัน ทำให้ภูเขาด้านหลังถล่ม ก้อนหิน ต้นไม้ ดินโคลนที่ถล่มลงมาฝังวัดไปกว่าครึ่ง เขาเป็นคนออกเงินและพาคนมาสร้างใหม่พุทธองค์อยู่เบื้องบน ความปรารถนาหนึ่งครรภ์ลูกสองของเขาต้องเป็นจริงแน่นอน“ท่านขอพรอะไร?” ฉู่เชียนหลีถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น“เจ้าอยากรู้?”“อยาก”เขาเปิดริมฝีปาก “ไม่บอกเจ้า”“...”กวนนาง?พลันถลนตา ก็จะให้เขากินมะเหงกเฟิงเย่เสวียนสับขาก็ไปอย่างมีไหวพริบ ฉู่เชียนหลีเลิกแขนเสื้อขึ้นไล่ตาม หยิกเอวเขาไปหนึ่งทีคนอื่นเป็นคู่รักกัน ความรักหวานชื่นส่วนคู่รักของนาง ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกับลูกทรพี วันๆ คิดแต่จะต่อต้านนาง!“อามิตตาพุทธ โยมทั้งสองท่านอย่าเล่น อย่าเล่น ชู่ๆๆ!”เวลานี่เอง พระสูงวัยคิ้วขาวผมขาวรูปหนึ่งเดินเข้ามาอย่างยิ้มแ