เฟิงเย่เสวียนถูกตีแล้วตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์มาก่อน หาได้ยาก มีชีวิตอยู่มายี่สิบสองปีเต็ม เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้หญิงตี อีกทั้งยังต่อหน้าผู้คนมากมายอีกด้วยหน้า ข้างในของเขา ราวกับถูกกดอยู่บนพื้น แล้วถูกถูอย่างรุนแรงสุดยอดเลย!กบฏแล้ว!“ฉู่เชียนหลี!”ชายหนุ่มกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ร่างกายพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกธนู กระโจนตัวขึ้นไป เตะจนประตูลอยกระเด็น!ปัง…ประตูสองบานล้มลงบนพื้น กำแพงสั่นสะเทือนจนฝุ่นฟุ้งกระจายทันทีที่ฉู่เชียนหลีนั่งลงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ รีบยกก้น กระโดดหน้าต่างหนี“หยุดเดี๋ยวนี้!”ชายหนุ่มวิ่งตามไป พลิกโต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำ ถ้วยชาแตกกระจายพุ่งตัวไปถึงหน้าต่าง เห็นร่างของหญิงสาวกระโดดกำแพง ว่องไวราวกับแมวเขาหรี่ตา ยกฝ่ามือข้างขวาขึ้น ขับเคลื่อนกำลังภายในที่แข็งแกร่งรวมกันที่กลางฝ่ามือ แล้วโจมตีออกไปโครมคราม!เรือนข้างเป็นเรือนที่กันดาร ที่ทรุดโทรมที่สุดหลังหนึ่งของจวนอ๋อง กำแพงก็ผุพัง ถูกน้ำฝนหยดจนเปียก ทันทีที่กำลังภายในโจมตี ก็พังทลายลงมาทันทีไม่ไกลนัก หญิงสาววิ่งอย่างรวดเร็วชายหนุ่มพุ่งตัวตามไปบรรดาคนใช้ยืนอยู่กับที่ จ้องมองเร
อีกอย่างทางจวนอ๋องเฉินทางนี้เรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาทะเลาะกันตื่นตระหนกกันไปทั่วทั้งจวนอ๋องเฉิน...แต่บรรดาคนรับใช้ไม่กล้าพูดมาก ทำหน้าที่ของตนเอง ราวกับว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และไม่เห็นอะไรทั้งนั้นหัวสมองของหานเฟิงกลับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มตอนเช้ายังล่าสัตว์กันอย่างสนุกสนาน เหตุใดตอนกลางคืนถึงได้ทะเลาะกันแบบนี้?ตอนกลางวัน ทั้งสองคนดีกันตอนกลางคืน อยู่ร่วมกันไม่ได้หานเฟิงคิดไม่ตกจริง ๆ จนผมร่วงกำใหญ่ จำต้องถามเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง เขาถอนหายใจ“แม่นางเยว่เอ๋อร์ ในใจของผู้หญิงอย่างพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”ทันทีที่เยว่เอ๋อร์ได้ยินประโยคนี้ ก็ถลึงตาทันที“ความหมายของเจ้าคือ นี่เป็นความผิดของพระชายา?!”ทันใดนั้นหายนะครั้งใหญ่ก็มาเยือนหานเฟิงตกใจจนลุกขึ้นยืน รีบโบกมือ “ไม่ได้หมายความเช่นนี้!”“ท่านถามมาเช่นนี้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้? ยังจะหมายความอะไรได้อีก?” เยว่เอ๋อร์โมโหแล้ว “ท่านอ๋องรังแกพระชายาแบบนั้น ยังไล่พระชายาออกนอกจวนอีก ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คนทั่วทั้งจวนเห็นกันหมดแล้ว แต่เจ้ากลับพูดว่าเป็นความผิดของพระชายา!”“เฮอะ พระชายาพูดไว้ไม่ผิดจริ
ท่าทางแทะน่องไก่ของฉู่เชียนหลีหยุดชะงักเล็กน้อยยังไม่ตาย?แต่เฟิงเย่เสวียนพูดอยู่ชัด ๆ ว่า...หานเฟิงเห็นพระชายากับนายท่านทะเลาะกันรุนแรง หลังจากทราบสาเหตุ ก็มาหาพระชายาเป็นอันดับแรก มาอธิบายแทนนายท่านอันที่จริงนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเขากล่าว “ตอนนี้ แม่ลูกคู่นั้นได้ไปไกลจากเมืองหลวงแล้ว จะไม่กลับมาอีกตลอดไป ท่านอ๋องไม่เพียงไม่ได้ทำร้ายพวกเขา ยังให้เงินจำนวนมากพอกับฮูหยินท่านนั้น อยู่ได้อย่างไรกังวลไปครึ่งค่อนชีวิต”ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไปเฟิงเย่เสวียนไม่เคยบอกนางมาก่อน...“ท่านคงจะประหลาดใจมาก เหตุใดนายท่านถึงจะลงมือกับผู้หญิงอ่อนแอ และทารกไร้เดียงสาคู่นั้นใช่หรือไม่” หานเฟิงเห็นว่าพระชายารับฟังคำพูดของเขาแล้ว จึงลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงจ้องมองนาง ถามขึ้นประโยคหนึ่ง“หากอีกฝ่ายฆ่าตระกูลทั้งตระกูล ท่านจะวางความแค้นลง ไม่ใส่ใจได้งั้นหรือ ?”ฉู่เชียนหลีอึ้งไป “หมายความว่าอย่างไร...”หานเฟิงถอนหายใจนายท่านเป็นคนพูดไม่เก่ง เรื่องราวมากมายไม่เคยเอ่ยกับคนอื่น แม้ว่าจะเป็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนก็ไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียว“ตระกูลเซียว เซียวกุ้ยเฟย”มารดาของนายท่าน“พระชายาอาจจะ
พูดมาตั้งเยอะตั้งแยะ ก็เพื่ออยากจะให้นางไปขอโทษ?นางไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องขอโทษ?หานเฟิงกล่าว “แม่ลูกคู่นั้นไม่ตาย ท่านปรักปรำนายท่าน นายท่านเสียใจ ท่านไปขอโทษ ยอมรับผิดละก็ นายท่านต้องยกโทษให้ท่าน”เขากล่าวโน้มน้าวอย่างจริงใจ“ระหว่างสามีภรรยา ไม่มีอุปสรรคใดที่ก้าวผ่านไปไม่ได้”ฉู่เชียนหลี “?”อ่อถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้วจริง ๆ เฟิงเย่เสวียนไม่ได้พูดให้ชัดเจน ทำให้นางเข้าใจผิด ผลปรากฏว่ากลับอยากให้นางขอโทษ? ประสาทหรือไงเพื่อเรื่องของเด็ก เถียงกันไม่กี่ประโยค ก็ขู่จะฆ่านาง ถ้าหากนางยอมแพ้ ชีวิตวันข้างหน้าจะขนาดไหน?ทั้งหมดเป็นเพราะทำให้เขาเคยตัว!ฉู่เชียนหลีทำสีหน้าเย็นชา “หานเฟิง เจ้าไม่เคยมีคนรักมาก่อนใช่หรือไม่?”หานเฟิงงุนงงมีคนรัก?คนรัก?ช้าง?ช้างคู่หนึ่ง?[footnoteRef:1] [1: คำว่าคนรักกับช้าในภาษาจีนพ้องเสียงกัน] ฉู่เชียนหลีโยนตะเกียบ ลุกขึ้น “ในเมื่อเจ้าเป็นชายโสด ก็ไม่ควรสอดเรื่องระหว่างสามีภรรยา เจ้าจะไปรู้อะไร”พูดจบ ก็เดินไปเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ตอนที่รับมือกับผู้หญิง เรื่องที่ไม่ควรทำที่สุดก็คือพูดด้วยเหตุผลก่อนหน้านี้เดิมทียังค่อนข้างสงสารเฟิง
ที่จริงฉู่เชียนหลีมาเพื่อหานางอัน แต่กลับถูกปฏิเสธการต้อนรับนอนแล้ว?กวาดสายตามองความมืดมิดภายในห้อง ไม่มีแสงเทียน ไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อยเฮอะหลบหน้าหลบหน้าได้แค่วันเดียว แต่ไม่สามารถหลบหน้าได้ตลอดไป สิ่งที่ฉันอยากรู้ จะช้าหรือเร็วก็ต้องง้างปากของแกได้อยู่ดี!คืนนี้ฉู่เชียนหลีอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่วันต่อมานางเฝ้าอยู่ที่เรือนของนางอันตลอดหนึ่งวันเต็ม นางอันก็เอาแต่นอนตลอดหนึ่งวันเต็ม บอกว่าเป็นโรคลมหนาวอาการหนัก ไม่สามารถลุกได้ ไม่พบใครทั้งนั้นฉู่เชียนหลีไม่รีบร้อนวันที่สามวันนี้ เป็นวันที่พระชายาอ๋องหลีจะกลับจวน จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่จัดงานเลี้ยงกลับจวน ต้อนรับการกลับมาของทั้งสองคน ทุกคนในจวนไปรอต้อนรับที่ประตู แน่นอนว่าย่อมรวมถึงนางอันนางอันหลบอยู่ในห้อง คิดถึงลูกสาว แต่ก็หวาดกลัวฉู่เชียนหลี กอดผ้าห่มสองจิตสองใจไม่กล้าออกไป“ฮูหยิน คุณหนูใกล้จะถึงจวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว!”หมอมอเฒ่าที่คอยปรนนิบัติถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านต้องหวาดกลัวพระชายาอ๋องเฉินขนาดนี้? เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี ขี้ขลาดตาขาว ไม่มีท่าทีคุกคาม เชื่อฟังท่านมาก ไม่กล้าเถียงส
เสแสร้งยังคงเสแสร้งทำไมระหว่างคนกับคนจะซื่อสัตย์ต่อกันหน่อยไม่ได้หรือ?ฉู่เชียนหลีถอนหายใจ “อันอี๋เหนียง ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าก่อนหน้านี้ เรื่องที่ข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหวังใช่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่ปิดบังท่าน ข้าพอมีความรู้เรื่องการรักษาอยู่บ้าง ในมือมียาพิษขวดหนึ่งอยู่พอดี”“ยาพิษนี้เมื่อดื่มลงไปน่ะ ก็จะทำให้คนแก่เร็วขึ้นสิบเท่า หนึ่งวันเท่ากับแก่ลงสิบวัน หนึ่งปีละก็ ก็เท่ากับว่าแก่ลงสิบปี”นางหยิบไดคลอวอสขวดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อบนขวดของไดคลอวอส ยังพิมพ์ด้วยหัวกะโหลกสีดำอันหนึ่งทันทีที่นางอันเห็นหัวกะโหลกที่น่าตกใจนั่น ก็ถอยหลังไปสองก้าวด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้า...เจ้าจะทำอะไร...”ฉู่เชียนหลียิ้มราวกับคนไม่มีพิษภัย “แน่นอนว่าก็ต้องอยากฟังความจริงนะซิ แต่อันอี๋เหนียงไม่ยอมพูด ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงคิดหาหนทาง ที่ทำให้ท่านยอมอ้าปากนะสิ”นางถือไดคลอวอสเอาไว้ เดินไปหานางอันพร้อมด้วยรอยยิ้ม“เจ้า...”นางอันถอยหลัง “เจ้า...”สีหน้าหวาดกลัว “ข้า...ข้าเป็นแม่ของเจ้า! หากเจ้าไม่เคารพข้า วันพรุ่งนี้เช้า ทั่วทั้งเมืองหลวงจะต้องรู้ถึงชื่อโหดเหี้ยม และอำมหิตของเจ้า!”แม่?นางดูถูกคำนี้เหลือ
เสียงที่ดังก้องกังวานลอยมา ทำให้บรรดาคนใช้ที่อยู่นอกเรือนได้ยินกันหมดไฉนเลยที่ฉู่เชียนหลีจะไม่รู้เจตนาเล็ก ๆ นั่นของนาง ?เจตนาจะทำให้นางแปดเปื้อน แล้วค่อยให้บรรดาคนรับใช้วิพากษ์วิจารณ์ หนึ่งส่งต่อไปเป็นสิบ สิบส่งต่อไปเป็นร้อย ทำลายชื่อเสียงของนางนางเคยแม้กระทั่งประสบกับความตาย ยังกลัวเรื่องนี้?ฉู่เชียนหลียกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา เดินเข้าไปหานางอันอย่างช้า ๆ “นางแต่งงานไปแล้ว ไม่มีทางที่จะอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ได้ตลอดไป เจ้าคิดว่าข้างัดปากท่านไม่ได้หรืออย่างไร? สิบวัน ยี่สิบวัน?”“หนึ่งเดือน?”นางเดินเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ นางอันกลับเห็นว่าลูกสาวอยู่ จึงจับข้อศอกของบุตรสาวเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมา“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรเลยสักนิด เจ้าจะต้องบีบบังคับให้ข้าตายถึงจะพอใจใช่หรือไม่? ถ้าหากเจ้าเกลียดข้ามากละก็ ถ้าเช่นนั้นข้าไปตายเสียดีกว่า”เสแสร้งพูดเสียงดังเสียงแผ่กระจายเมื่อบรรดาคนใช้ได้ยิน ก็แอบตกใจที่แท้ พระชายาอ๋องเฉินเป็นคนที่อิทธิพลแข็งแกร่ง ชอบบีบบังคับคนขนาดนี้...แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดก็ยังจะทำร้าย!ฉู่เชียนหลีฉีกยิ้ม “เช่นนั้นท่านก็ไปตายเสียสิ”“เจ้า!”นา
สองสามีภรรยาประคองฉู่เจียวเจียวขึ้นมาอย่าง ‘อ่อนโยน’ พร้อมทั้งปัดฝุ่นบนตัวให้นางด้วย ‘ความสนิท’ ราวกับครอบครัวเดียวกันฉู่เจียวเจียว “?”เหตุใดใบหน้าของคนถึงเปลี่ยนได้เร็วกว่าการพลิกหน้าหนังสือเสียอีก?อ๋องหลีเดินเข้ามา พอดีนางเบะปาก กำลังจะทำตัวน่าสงสาร แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของชายหนุ่มก็ดังลอยมาพร้อมกันรอยยิ้ม“อ๋องเฉินก็อยู่”เฟิงเย่เสวียนเหลือบตามอง เสียงเรียบเฉย “วันนี้พระชายาอ๋องหลีกลับจวน พระชายาคิดถึงพี่สาว สองพี่น้องสนิทกันตั้งแต่เด็ก ข้าเลยมาด้วยเพื่อร่วมสนุก”เขาพูดประโยคนี้ ฉู่เชียนหลีไม่เชื่อเลยแม้แต่นิดเดียวตอนที่ชายหนุ่มแสดงละคร ก็ไม่มีเรื่องของหญิงสาวแล้วจริง ๆฉู่เจียวเจียวอ้าปาก “ท่านอ๋อง...”“ให้พวกนางสองสาวคุยเรื่องส่วนตัวของผู้หญิงเถอะ ท่านกับข้าไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน วันแต่งงานวันนั้นคนเยอะ ไม่ได้ต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี มิสู้ถือโอกาสในวันนี้ ดื่มด้วยกันเสียหน่อย?” เฟิงเจิ้งหลีเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับลมฉู่เจียวเจียว “ท่าน...”“ได้”เฟิงเย่เสวียนพยักหน้า ก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมกับเฟิงเจิ้งหลีฉู่เจียวเจียวถลึงตา “...”นางยังพูดไม
แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นวันรุ่งขึ้น ตอนเย็น ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักเจาหยางถอนกำลังจริงๆ ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกไปถึงสถานที่นัดหมายกับฉู่เจียวเจียว ขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่ออกจากวังเพื่อไปซื้อวัตถุดิบอาหารด่านตรวจประตูวังทหารรักษาพระองค์จะตรวจสอบ แต่ขันทีที่ขับรถม้ามีสิทธิพิเศษผ่านทาง จึงสามารถออกจากวังหลวงอย่างราบรื่นรถม้าแล่นไปถึงตรอกแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคันรถม้าสองคันแล่นขนานกัน และตอนที่ไม่มีคนสังเกต คนบนรถม้ากระโดดจากรถม้าคันนี้ ไปยังรถม้าคันนั้นเวลานี้ รถม้าแยกทางกันที่ปลายถนนคันหนึ่งแล่นไปทางซ้าย คันหนึ่งแล่นไปทางขวาฉู่เจียวเจียวยืนอยู่บนหอคอยสูง มองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เผยอมุมปากอย่างเย็นชาฉู่เชียนหลี เจ้ารนหาที่ตายเอง!“ลงมือ!”ทหารรักษาพระองค์เคลื่อนไหวทันที!ในเมืองหลวง ผู้คนสัญจรไปมา ใกล้จะปีใหม่แล้ว พ่อค้าขายของปีใหม่เยอะเป็นพิเศษ ถนนทั้งสายทั้งคึกคักทั้งเบียดเสียด“หยุดรถ”รถม้าจอดตรงหน้าตรอกแห่งหนึ่งที่มีคนค่อนข้างน้อย ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกลงจากรถม้า วิ่งเข้าไปในตรอก หาร้านค้าร้านหนึ่งที่ไม่สะดุดตาป้ายหน้าประตูร้า
ฉู่เชียนหลีประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้เฟิงเจิ้งหลีกักตัวนางนานเช่นนี้ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากนางกับจื่อเยี่ย ควบคุมเฟิงเย่เสวียนในวันข้างหน้า ฉู่เจียวเจียวกลับยินดีปล่อยนาง?“ข้าจริงจัง”น้ำเสียงฉู่เจียวเจียวเย็นชา“เจ้าเดินเตร่ไปเตร่มาใต้จมูกข้าทุกวัน มันขัดตาข้า มันกวนใจข้า ชีวิตเจ้าไม่มีความสุข ชีวิตข้าก็ไม่มีความสุข เหตุใดไม่สงเคราะห์กันและกันล่ะ?”นางส่งเขาออกไปนางคืนฝ่าบาทให้เขา“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?” ฉู่เชียนหลีถาม “เมื่อฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ เจ้าจะดับความโกรธของเขาอย่างไร?”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีวิธีของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องเป็นฮองเฮาแล้ว”ส่งฉู่เชียนหลีออกวัง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้นางยังทำได้“ฉู่เชียนหลี เจ้าลองคิดดูดีๆ”“ครึ่งปีมานี้ สถานการณ์สงครามคับขัน เพื่อที่จะช่วยเจ้า เฟิงเย่เสวียนยอมหันกระบี่ใส่ฝ่าบาท ถ้าหากเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเฟิงเย่เสวียน สองกองทัพสงบ เจ้ากับข้าก็จะมีชีวิตที่ดี”“เหตุใดเจ้าต้องจับฝ่าบาทไม่ยอมปล่อย?”ฉู่เจียวเจียววิเคราะห์เสียงเย็นนางทนไม่ไหวกับชีวิตแม่หม้ายเช่นนี้แล้ว มีเพียงฉู่เชียนหลัไ
เพียะ!ก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงมา ฉู่เชียนหลีคว้าข้อมือของนางไว้อย่างแม่นยำ “ดูผู้ชายของตัวเองไม่ดีเอง ไม่ควรทบทวนปัญหาของตัวเองก่อนหรือ?”นางยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ฉู่เจียวเจียว เจ้านี่มันไม่ไหวจริงๆ รู้จักแต่ระบายความโกรธใส่ข้า มัดใจของผู้ชายไม่ได้ ต่อให้ข้าไปแล้ว ก็ยังมีข้าอีกเป็นหมื่นเป็นพัน”สีหน้าฉู่เจียวเจียวน่าเกลียดมาก“ฉู่เชียนหลี!”นางพูดเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้อย่างมั่นใจได้อย่างไร? น่ายกย่องมากเลย?นางยั่วยวนฝ่าบาทโดยที่หน้าไม่แดง ไม่รู้สึกผิด หน้าตายเช่นนี้ได้อย่างไร?ใต้ฟ้า เหตุใดจึงมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้?ฉู่เชียนหลียิ้ม “อีกอย่างนะ เขาเป็นฮ่องเต้ สามตำหนักหกเรือน เจ็ดสิบสองสนม ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? เจ้าในฐานะฮองเฮา จิตใจคับแคบเช่นนี้ได้อย่างไร?”“กรี๊ดๆ!”ฉู่เจียวเจียวโมโหจนกรีดร้อง ยกมืออีกข้างก็เหวี่ยงออกไปทันทีฉู่เชียนหลีเอี้ยวตัวไปด้านข้าง หลบพร้อมกับคว้ามือของนางไว้“ฉู่เชียนหลี เจ้ามันหน้าไม่อาย! เจ้ามันเป็นของเก่าที่เคยหลับนอนกับเฟิงเย่เสวียน มีสิทธิ์อะไรมาเข้าใกล้ฝ่าบาท! ต่อให้ฝ่าบาทมีสามตำหนักหกเรือน นั่นก็ล้วนเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์!”“ใช่สิ ฝ่า
“นม!”เจ้าหนูน้อยโบกมืออย่างจริงจังและดื้อรั้น เหมือนกำลังเป็นปรปักษ์กับนาง ใบหน้าน้อยๆ มุดเข้าไปในอก สองมือก็ดึงทั้งๆ ที่กินอิ่มแล้ว ยังจะมุดเข้าไปในอกนางอีกเมื่อนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ เห็น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“แม่นางฉู่ พระนัดดาองค์โตติดท่านจัง เหมือนท่านจึงจะเป็นแม่แท้ๆ ของเขา…”กล่าวจบ รู้ตัวว่าพลั้งปาก นางตกใจจนหน้าซีด รีบหุบปากทันที มีข่าวลือจากโลกภายนอกเกี่ยวกับตัวตนของพระนัดดาองค์โตราษฎรวิภากษ์วิจารณ์ มารดาบังเกิดเกล้าของพระนัดดาองค์โตคือฉู่เชียนหลี ไม่ใช่ฉู่เจียวเจียว และก็มีคนคิดว่าคือฉู่เจียวเจียวเช่นกัน แต่สำหรับสถานการณ์โดยรวม ทุกคนถกเถียงกันเงียบๆ ในวังก็มีข้อกังขาเช่นกัน คนที่รู้ความจริงก็มีน้อยมากฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ไม่ได้ถือสาการพลั้งปากของนางกำนัล“อีอา…”เจ้าหนูน้อยมุดอยู่ในอ้อมแขนของนางครึ่งค่อนวัน ล้วงป้ายหยกมังกรชิ้นหนึ่งออกมาแกว่งเล่นฉู่เชียนหลีจับมือน้อยๆ ของเขาอย่างหมดหนทาง“ท่านบรรพบุรุษน้อย ของสิ่งนี้เล่นไม่ได้ นี่เป็นของที่ฮ่องเต้มอบให้ข้า”ป้ายหยกมังกร!เมื่อนางกำนัลอีกคนเห็นของสิ่งนี้ เบิกปากกว้างด้วยความตกใจ นี่เป็นของที่
หัวข้อสนทนาการเฉลิมฉลองปีใหม่ได้เปลี่ยนเป็นเรื่องสงคราม สีหน้าเฟิงเจิ้งหลีเคร่งขรึม“เจ้าคุยเล่นไม่เป็น”ฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก เสยผมที่ข้างหูขึ้น“เจ้าไม่คุยกับข้าก็ได้ แต่เหมือนเจ้ามักจะชอบมาหาเรื่องไม่สบอารมณ์ใส่ตัวเองที่ข้า”“...”ก็จริงทุกครั้งที่อยู่กับนาง ตอนมาอารมณ์ดี ตอนกลับยากจะควบคุมอารมณ์เฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองท่าทางที่คิดไม่ดีไม่ร้ายของนาง รู้ว่านางจงใจ ถ้าหากโมโหจริงๆ ก็สมใจนางแล้วเขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าชอบถูกทรมาน”คำตอบนี้พอใจแล้วกระมังฉู่เชียนหลี ‘อืม’ คำหนึ่ง ยิ้มจนคิ้วโก่ง “ถ้าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลาเจ้าผลักพวกเราสองแม่ลูกออกไปก็พอ มีข้ากับจื่อเยี่ยอยู่ เฟิงเย่เสวียนไม่มีทางชนะ”นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงอย่างไรไว้ในแววตา ไม่มีใครสามารถคาดเดา มองไม่ออก เดาไม่ถูกเฟิงเจิ้งหลีเงียบไปครู่หนึ่ง“ข้าไม่มีเจตนาใช้ประโยชน์จากเจ้า”ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปพูดให้ผีฟังเถอะนี่ก็นานมากแล้ว จื่อเยี่ยนอนกลางวันน่าจะตื่นแล้วฉู่เชียนหลีถือตำราแพทย์ หมุนกายเดินลงจากหอคอย มุ่งหน้าไปยังทิศทางขอ
เวลาผ่านไปเร็วมาก วันแล้ววันเล่า พริบตาเดียว ก็กลายเป็นวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวปีนี้หิมะตกแล้วสภาพอากาศมืดครึ้ม มีเกล็ดหิมะตกลงมาจากบนท้องฟ้า บางคนกางร่ม บางคนดึงเสื้อให้กระชับ บางคนซุกมืออยู่ในแขนเสื้อ ต่างคนต่างเดินอย่างเร่งรีบบนหอคอยของประตูวังฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มีตำราแพทย์เล่มหนึ่งกางอยู่บนหัวเข่า เกล็ดหิมะที่เขาบริสุทธิ์ตกลงบนผมของนาง ดวงตาที่หลุบลงนั่น ท่าทางที่ตั้งใจอ่านตำรานั่น ดูสงบเป็นพิเศษเฟิงเจิ้งหลียืนห่างออกไปห้าหกเมตร เฝ้าดูอยู่ไกลๆ ไม่อยากเข้าไปรบกวนนางนางยกมือ รับเกล็ดหิมะสองสามก้อนไม่นานก็ละลายกลายเป็นน้ำบนฝ่ามือเย็นๆเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พริบตาเดียวก็ปีใหม่แล้วนั่งอยู่บนหอคอยทุกวัน เฝ้าดูราษฎรที่เดินผ่านไปมา ฟังพวกเขาสนทนากัน อ่านตำราแพทย์ เลี้ยงลูก แม้ชีวิตสงบ แต่ก็ไม่น่าเบื่อนางให้ความสนใจเรื่องสงครามอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเมืองเทียนสู่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของแคว้นตงหลิง แตะต้องส่งเดช รากฐานเสียหาย ศึกนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ยังไม่เริ่มปะทะกันถอนสายตากลับ มองตำราแพทย์ พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจ ตอนเหลือบม
อวิ๋นอิงหุบปาก หลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไรต่อจิ่งอี้อุ้มเด็กไว้ สายตามองท้องที่นูนเล็กน้อยของนาง หมื่นพันคำพูดติดอยู่ในลำคอ มุมปากเผยอขึ้นอย่างขมขื่นเขาแค่อยากพูดคุยกับนางเป็นห่วงนาง มองดูนาง ต่อให้นางระบายอารมณ์ใส่เขา ในใจของเขาก็ยังรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้าอาศัยเด็ก เขาเข้าใกล้นางอย่างระมัดระวัง“เจ้า…ช่วงนี้กินยาดีๆ หรือไม่? ร่างกายยังดีหรือไม่?”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว ไม่พูด ไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยิน“ลูกทรมานเจ้าหรือไม่?”“อวิ๋นอิง…”จู่ๆ นางก็เดินเข้าไปแย่งเด็กคืนมา หมุนกายกล่าว “ถ้าคุณชายจิ่งไม่มีธุระอะไร ก็รีบไปเถอะ ตอนนี้เหมือนทุกคนจะยุ่งมากกระมัง”นางส่งแขกอย่างห่างเหินนางยังคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามากสีหน้าจิ่งอี้ขมขื่น มองแผ่นหลังที่ผอมบางของนาง “อวิ๋นอิง ขอบคุณมากที่เจ้ายอมเก็บเด็กคนนี้ไว้”เด็กคนนี้คือสะพานเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพวกเขาเขาไม่กล้าคิดเลยว่านางจะยอมคลอดเด็กคนนี้ออกเขารู้ว่าความผิดที่ตัวเองทำไม่สมควรให้อภัย และไม่กล้าขอให้นางให้อภัย หวังเพียงสามารถมองดูนางกับลูกมีความสุข แม้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างก็ยินดี“ขอบคุณมาก…”“ขอบคุณเจ้าจริงๆ…
อวิ๋นอิงเข้าไปในเรือนอีกหลังหนึ่งมีเสียงร้องไห้ของเด็กดังออกมาจากภายในห้อง เว่ยซีนอนอยู่ในเปลโยก เพิ่งกินอิ่ม เรียบร้อยมาก ไม่ร้องไห้ไม่งอแง กำลังเล่นกระดิ่งในมืออย่างมีความสุขกลับกันเป็นลู่ฉินที่ร้องไห้ไม่หยุดเสียวอู่อุ้มนางไว้ ทั้งป้อนนม ทั้งกล่อม ทั้งเดินไปเดินมา ทั้งอุ้ม ทั้งตบ วิธีที่ใช้ได้ก็ใช้จนหมดแล้ว ก็ยังไม่สามารถกล่อมนางหยุดร้องไห้ได้ เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวเมื่อเห็นผู้มา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบกล่าว“พี่อวิ๋นอิง คุณหนูรองร้องไห้ไม่หยุดเลย ข้าไม่รู้จะกล่อมอย่างไรแล้ว ควรทำอย่างไรดี!”“เอามาให้ข้าอุ้ม”อวิ๋นอิงวางถาดลงบนโต๊ะ รับลู่ฉินน้อยมา เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง เริ่มกล่อมเบาๆ“เอายามาให้ข้า”หัวใจของลู่ฉินไม่ปกติตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้คิดว่าเพราะพระชายาตั้งครรภ์ลูกฝาแฝด ลู่ฉินได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ตอนนี้มาคิดดู น่าจะเป็นเพราะตอนที่ฉู่เจียวเจียวตั้งครรภ์ ขาดความสุข อารมณ์ไม่ดี กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ดังนั้นลูกที่เกิดมาจึงไม่แข็งแรงถูกฉู่เจียวเจียวบีบจนเป็นโรคความผิดของผู้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเด็กที่ไม่รู้อะไรเสียวอู่ถือชามยาเข้ามา หลังจากเป่าจนเย็น ก
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช