ซ่า…เงาสีดำสายหนึ่งถือกระบี่คมกระโจนเข้ามาจากหน้าต่าง ดวงตาเย็นชาคู่นั้นแทบรวมเป็นเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่อันเยือกเย็น แทงตรงมาทางผู้ชายพริบตานั้น บรรยากาศดุดันตึงเครียดเฟิงเย่เสวียนดึงผ้าห่มเข้ามาซ่อนฉู่เชียนหลีไว้ จากนั้นเหวี่ยงแขนสะบัดกระบี่อ่อนออกมาหนึ่งเล่ม พลันยกมือโจมตีออกไปปัง!กระบี่สองเล่มปะทะกัน ประกายไฟกระเด็นไปทั่วกำลังภายในที่แกร่งกล้าระเบิดออกมา พัดม่านปลิวว่อน กลิ่นอายเยือกเย็นบนกระบี่สะท้อนเข้าไปในดวงตาผู้ชาย สุขุม เจตนาสังหาร กระหายเลือด ไร้ความปราณีสองตาประสานกัน พลันสนามรบที่ไร้ควันดินปืนปะทุขึ้นร่างเงาสองสายหนึ่งดำหนึ่งทมิฬพัวพันปะทะกันโครมคราม!ฉู่เชียนหลีห่อตัวในผ้าห่ม หลบอยู่บนเตียง เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง มองดูสถานการณ์ข้างนอกอย่างระมัดระวังวรยุทธ์ของทั้งสองแกร่งกล้า การเคลื่อนไหวและทักษะรวดเร็วมาก แทบมองไม่เห็นกระบวนท่าวรยุทธ์ เห็นเพียงกระบี่นั้นฟาดฟันกันชิ้งๆ เงากระบี่แกว่งไปแกว่งมาจนตาลายนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนโบราณต่อสู้กันเชี่ย!ตวัดกำลังภายใน สะเทือนแจกันแตกซัดกำลังภายใน โต๊ะระเบิดเป็นเสี่ยงๆละครทีวีไม่ได้โกหกจริงๆ!ห
เฟิงเย่เสวียน “?”หานเฟิง “?”ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยได้พบได้เห็นฉู่เชียนหลีชำเลืองมองทั้งสองอย่างเย่อหยิ่งแวบหนึ่ง สายตาราวกับมองคนบ้านนอก “ปืน นี่คือปืน”นางในฐานะหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงระดับโลกของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการแพทย์ คนที่อยากทำร้ายนางมีนับไม่ถ้วน นอกจากเชี่ยวชาญทั้งการแพทย์และพิษวิทยา ยังต้องมีความสามารถพอที่จะปกป้องตนเองนางที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ และมีทั้งกำลังและความสามารถ เหตุใดจึงมาเสียทีให้กับเจ้าเด็กน้อยอ๋องเฉินจนได้?“ปืน?” เฟิงเย่เสวียนประหลาดใจสิ่งของเล็กๆ สีดำเช่นนี้ สามารถปล่อยพลังที่รุนแรงเช่นนี้เลยหรือ?รุนแรงยิ่งกว่ากำลังภายในเสียอีก?อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “อะไรคือปืน?”ฉู่เชียนหลีขี้เกียจอธิบาย เป่าปากกระบอกปืนเก้าแปดคาและหมุนกายเดินจากไปตอนผู้ชายคนนี้นอนอยู่บนเตียงท่าทางอ่อนปวกเปียก ที่แท้เสแสร้งทั้งหมดเลย ตอนต่อสู้ฮึกเหิมประดุจมังกรพยัคฆ์ผาดโผน ร่างกายแข็งแรง ทำให้นางต้องปรนนิบัติเปล่าๆ ทั้งคืนกลับเรือนไปนอนอ๋องเฉินอยากตาม “ฉู่…”ฉู่เชียนหลีหันกายกลับมา รูสีดำสนิทชี้มาทางผู้ชาย กล่าวด่าว่าอย่างรำคาญ “อย่ามาพูดไร้สาระ
สีหน้าเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมลง เหตุใดเขาจึงไม่รู้ว่าตนเองหลับไปแค่คืนเดียวก็ ‘ตายแล้ว’?เขาดึงธงสวดวิญญาณที่ขวางหูขวางตาทิ้ง พอก้าวเท้าเดินออกจากเรือนหานเฟิง ก็เห็นนอกเรือนมีร่างเงาเพรียวบางหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหิน มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้ฟ้า น้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม“การจู่โจมของมือสังหารอันตรายสุดขีด ช่วงความเป็นความตายพริบตาเดียว! เขา ยืดอกถือกระบี่กระโจนออกไป!”“เขา ผลักภูเขาพลิกทะเล กล้าหาญไร้เทียมทาน!”“เขา เชี่ยวชาญบุ๋นและบู๊ ไม่กลัวความลำบาก!”สีหน้าหญิงสาวโกรธมาก เนื้อหนังบนใบหน้าสั่น ยิ่งเมื่อพูดถึงจุดสูงสุด น้ำลายถึงกับกระเด็น “สุดท้าย ในที่สุดเขาก็ตายใต้คมกระบี่ของมือสังหาร”“...”สาวใช้สิบกว่าคนที่มาล้อมวง ‘ฟังงิ้ว’ ที่นี่ ในที่สุดเบ้าตาก็แดงก่ำไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกคิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะเกิดเรื่องรุนแรงเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้อาจหาญที่เป็นดั่งเทพสงครามไร้พ่ายในสนามรบ สุดท้ายแล้วกลับต้องมาจบชีวิตให้กับมือสังหารไร้นามคนหนึ่ง“ท่านอ๋อง!”ในที่สุดสาวใช้คนหนึ่งก็อดกลั้นไม่อยู่ ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา“ท่านอ๋องช่างน่าเวทนายิ่ง! ท่านอ๋อง ท่านนอนตาย
เรือนข้างหลังจากฉู่เชียนหลีกลับถึงเรือน กินอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายเสร็จ ก็นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง สังเกต ‘ปาน’ บนใบหน้าเยว่เอ๋อร์กำลังเก็บของที่ระเกะระกะบนโต๊ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังตกใจ ตะลึงงัน ไม่กล้าเชื่อ มองแผ่นหลังของผู้หญิงอย่างไม่เชื่อสายตานิสัยคุณหนูเปลี่ยนไปกะทันหัน กินมากขึ้น นอนหลับสนิท และยังไม่รักท่านอ๋องมากเช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้แต่วิธีการพูด การกระทำ ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงนี่…ยังเป็นคุณของนางจริงหรือ?เงาสะท้อนในกระจกทองเหลือง ฉู่เชียนหลีประสานสายตากับเยว่เอ๋อร์ “มีอะไร?”เยว่เอ๋อร์ลุกลน รีบก้มศีรษะลง “ไม่ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”“รู้สึกว่าข้าแปลกหน้ามากหรือ”คำพูดประโยคเดียวของฉู่เชียนหลี ชี้ให้เห็นสิ่งที่เยว่เอ๋อร์คิดในใจจริงๆนางยิ้มแล้ว “เยว่เอ๋อร์ เจ้ายังเด็ก ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกใบนี้ ไม่มีใครเหมือนเดิมตลอดไป ตอนเจ้าอายุห้าขวบชอบเล่นแมลงปอไม้ไผ่ เมื่อเจ้าอายุสิบห้าจะยังชอบเล่นหรือไม่”นางยังคงเป็นนาง“เห็นหรือไม่” นางชี้ใบหน้าของตนเอง “นี่ไม่ใช่ปาน แต่เป็นพิษ”“อะไรนะ?!” เยว่เอ๋อร์เบิกตากว้างอย่างตะลึงงันพิษ!พิษชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายตั้งแต
เฟิงเย่เสวียนได้เห็น วิญญาณก็แทบขึ้นสวรรค์คาที่ “...”แม้แต่คนแสดงงิ้วที่แสดงอยู่ในโรงละครก็ยังมิได้แต่งตัวเลยเถิดเพียงนี้ เพื่อให้ได้หนังสือหย่า นางถึงกับไม่ห่วงหน้าตาตนแรกเริ่ม คนที่ทำทุกวิถีเพื่อให้ได้แต่งกับเขาคือนางมายามนี้ คนที่พยายามสุดกำลังที่จะไปจากเขาก็คือนางนี่นางเห็นเขาเป็นสิ่งใด?กวักมือก็มา สะบัดมือก็ไปรึ?เขาจ้องนาง ริมฝีปากบางเอ่ยเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “เปลี่ยน”ฉู่เชียนหลี “ไม่เปลี่ยน!”เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงในวัง นางตั้งใจแต่งตัวอย่างพิถีพิถันครึ่งชั่วยาม แล้วจะให้ความตั้งใจทั้งหมดของนางสูญเปล่าได้อย่างไรกัน?แผนการของนางเป็นเช่นนี้นางเข้าวังไปกับเขา เมื่อขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งมวลที่มาร่วมงานได้เห็นก็จะพากันด่าทออ๋องเฉินลับหลังว่าดวงตาไร้แวว อ๋องเฉินน่าสงสารนัก เหตุใดอ๋องเฉินจึงอดทนอย่างกับสีทนได้ถึงเพียงนี้!จากนั้น พออ๋องเฉิน 'สีทนได้' โมโห ก็จะมอบหนังสือหย่าให้นาง!ได้ยินเสียงในใจนาง มุมหน้าผากของเฟิงเย่เสวียนเต้นตุบๆสีทนได้?เขาสะกดความอยากเข้าไปบีบคอสตรีผู้นี้ให้ตายเอาไว้ แล้วจับนางโยนขึ้นรถม้า ดึงสองหนวดยาวๆ บนหัวนางออกมาเช็ดปากนางแรงๆ ให้ชาดแดงบนปากนางห
คุณหนูมีตระกูลที่ถูกเบียดออกไปกวาดสายตาไปมองฉู่เชียนหลี พร้อมแววเย็นเฉียบอันแสนไม่พอใจฉายอยู่ในดวงตา 'ไม่รู้จักถ่ายปัสสาวะมาส่องสารรูปของตนเสียบ้าง หน้าตาเช่นนี้ยังกล้าออกมาให้ขายหน้าประชาชีอีก?' ฮึ!นางยกมุมปากขึ้น หากยามเอ่ยปากน้ำเสียงกลับอ่อนหวานนัก“พระชายาอ๋องเฉิน เมื่อครู่ข้าเพียงบังเอิญสะดุดล้ม ท่านผลักข้าเสียเจ็บนักนะเจ้าคะ...”นางยกมือขึ้นกุมข้างไหล่เบาๆ พร้อมส่งสายตาห่อเหี่ยวแสนน่าสงสารว่าตนถูกรังแกฉู่เชียนหลีมิได้เห็นผู้ใดอยู่สายตา กลับเข้าไปคล้องแขนของเฟิงเย่เสวียน เอ่ยคำทั้งน้ำเสียงที่ต้องการป่าวประกาศศักดิ์และสิทธิ์ที่ตนมี“ไม่ใช่แต่เจ้า ไม่ว่าสตรีใดที่ไม่ใช่ข้ามาเข้าใกล้เขาก็ล้วนไม่ได้ทั้งสิ้น! พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!” น้ำเสียงอวดดียิ่งเมื่อทุกคนได้ยินความนี้ ตอนแรกกลับนิ่งอึ้งไป แล้วจากนั้นก็พากันหัวเราะจนหุบปากไม่ลงสวรรค์!ราวกับพวกเขาได้ยินเรื่องตลกที่น่าขบขันที่สุดในใต้หล้า!พระชายาอ๋องเฉินที่ไม่เป็นที่รักกลับกล้าอวดดีถึงเพียงนี้?สตรีผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?ตามความเข้าใจที่พวกเขามีต่อตัวอ๋องเฉิน อีกไม่ถึงสามวินาที อ๋องเฉินจะต้องผลักฉู่
ระหว่างที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างครื้นเครง นอกห้องโถงก็มีเสียงประกาศอันนุ่มนวลขันทีดังเข้ามา“ฮ่องเต้เสด็จ! องค์รัชทายาทมาถึงแล้ว...”ทุกคนหยุดพูดในทันใด พากันลุกขึ้นยืน ฉู่เชียนหลีช้อนตาขึ้นมองไปตามสายตาทุกคนพรมแดงปูยาวออกไปจนถึงนอกโถง ที่สุดปลายทางนั้นร่างในชุดเหลืองอร่ามเดินไพล่หลังเข้ามา ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันราวสี่สิบพระชันษา เกล้าผมเรียบทุกกระเบียดนิ้ว อาภรณ์จัดการจนไม่มีแม้รอยยับย่นสักน้อย เชิดหัวขึ้นน้อยๆ ดวงตาจับจ้องเบื้องหน้า บนพระวรกายถูกห่อหุ้มด้วยความสูงศักดิ์มาแต่กำเนิดผู้ที่ตามหลังเขามาคือชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีผู้หนึ่งสวมชุดผาว[footnoteRef:1]สีน้ำตาลลายหม่างเปี่ยมสง่าราศี [1: ชุดผาว คือ เสื้อคลุมยาวทั้งตัวแขนยาว] เขาก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน โอรสองค์โตของฮ่องเต้นามเฟิงเจิ้งอวี้ ฮ่องเต้นำองค์รัชทายาทเข้ามายังโถงใหญ่ ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกคน เมื่อเดินไปถึงที่นั่งหลักซึ่งอยู่สูงสุดแล้ว ทุกคนก็ถวายบังคมเสร็จสิ้นพิธีนั่งลงฮ่องเต้เริ่มเอ่ยปาก “เมื่อสองเดือนก่อน พวกซยงหนูคอยรุกรานชายแดนไม่หยุดหย่อน เหล่าราษฎรที่ชายแดนต้องมีความเป็นอยู่ยากลำ
ทุกคนมองนางแล้วพากันหัวเราะสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้แต่งกายน่าเกลียดนักหนา สีสันฉูดฉาดราวกับผีเสื้อยักษ์กลางพุ่มดอกไม้ ยิ่งเมื่ออยู่กับใบหน้าที่มีปาน ยิ่งอัปลักษณ์เสียจนเทพและมนุษย์ยังชิงชังนางกลับเอาความกล้าที่ใดมาเอ่ยวาจา?ฮ่องเต้หันมามองด้วยสีหน้าไม่รู้ว่าควรร้องไห้ดีหรือว่าควรจะหัวเราะดี อีหลักอีเหลื่อ“พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าแต่งตัวเรียบหน่อยเถิด”สีสันฉูดฉาดเช่นนี้ เหมาะกับงานไว้อาลัยเสียมากกว่า“ฝ่าบาท หม่อมฉันแต่งตัวเรียบไม่ได้เพคะ!” ฉู่เชียนหลีเอามือกุมที่หน้าอก “อ๋องเฉินรักใคร่หม่อมฉันแต่ผู้เดียวและยังเลือกเสื้อผ้าให้หม่อมฉันด้วยตนเอง แต่เสื้อผ้านี้ก็น่าเกลียดนัก ไม่ทราบเช่นกันว่าครั้งอ๋องเฉินเข้าทำศึกถูกทำร้ายจนตาบอดเสียแล้วหรือไม่”เฮ้อ!นางถอนใจหนักๆ หนหนึ่งนี่เป็นคำด่าชัดๆ ทำเอาสีหน้าของเฟิงเย่เสวียนดำทะมึนลงทันใด แต่ความสนใจของทุกคนกลับไปอยู่ที่อีกประเด็นหนึ่งสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้หรือจะเป็นที่รัก?ฝันกลางวันกระมัง?รัชทายาทแย้มยิ้ม “การแต่งกายของพระชายาอ๋องเฉินในวันนี้ เหมาะกับการเต้นระบำยิ่งนัก ดูทีว่าคงตั้งใจมาเต้นระบำให้อ๋องเฉินในงานฉลองชัยชนะครานี้สักเพลงกระมัง?
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่
กล่าวจบ เขาหมุนกาย นั่งขัดสมาธิลงบนกระดานไม้ที่เย็นเยียบ หันหลังให้นางฉู่เชียนหลีมองไม่เห็นสีหน้าของเขา และไม่แน่ใจคำพูดนี้ของหมายความว่าอย่างไร ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็จากไปแล้วออกจากคุกหลวง ข้างนอกท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น“ส่งพระชายาอ๋องหลีไปอยู่ตำหนักเจาหยางชั่วคราว ปรนนิบัติให้ดี ห้ามละเลยเด็ดขาด” นางสั่งให้องครักษ์ลับคนหนึ่งคุ้มกันส่ง ในความเป็นจริงก็สั่งให้คนจับตาดูฉู่เจียวเจียวด้วยหลังไปแล้วท้องฟ้า ละอองฝนโปรยปรายลงมาเมื่อเงยหน้าก็ปะทะลม ละอองฝนตกใส่ใบหน้า หนาวจนรู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อย ใบไม้เหี่ยวหลุดจากกิ่งก้าน ล่องลอยไปตามสายลมรู้ตัวอีกทีก็เข้าหน้าหนาวแล้วมองดูท้องฟ้าอึมครึมที่ถูกเมฆดำปกคลุม นึกถึงคำพูดของอ๋องหลี รู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด และไม่สบายใจเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นก้มหน้าอก รีบไปที่ห้องทรงอักษรเฟิงเย่เสวียนยุ่งมากฮ่องเต้ป่วย อ๋องหลีถูกจับ ราชสำนัก บ้านเมือง พรรคอ๋องหลี เรื่องราวต่างๆ มารวมกัน กดทับอยู่บนไหล่เฟิงเย่เสวียนทั้งหมด เขายุ่งจนตัวหมุน ไม่ได้หลับตาพักผ่อนมาสองวันแล้วฉู่เชียนหลีเดินเข้าห้องทรงอักษร “จับอูหนูได้หรือย
ฉู่เชียนหลีกวาดมองหมอหลวงที่อยู่โดยรอบแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินออกไป “เจ้าตามข้ามา”เมื่อฉู่เจียวเจียวได้ยินก็ดีใจ รีบกอดลูกแน่น แล้วเดินตามออกไปอย่างไวคุกหลวงองครักษ์เงาเฝ้ายาม เมื่อพวกเขาเห็นผู้มา ก็คำนับอย่างนอบน้อม “พระชายา”ฉู่เชียนหลีพยักหน้า เดินเข้าไปในคุกหลวงหัวใจฉู่เจียวเจียวบีบรัดแน่น ฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวที่มืดสลัว มาถึงห้องขังที่อยู่ห้องท้ายสุด เมื่อเห็นผู้ชายที่ถูกขังอยู่ข้างใน รู้สึกเจ็บหน้าอกฉับพลัน“ท่านโหว!”เดินปรี่เข้าไป เอาข้างหนึ่งอุ้มลูก มืออีกข้างจับราวลูกกรงอย่างร้อนใจ“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง!”ไม่เจอกันแค่คืนเดียว สภาพของเฟิงเจิ้งหลีโทรมมากสภาพแวดล้อมในห้องขังเปียกชื้นมืดสลัว ตรงที่มุมมีแมลงสาบกับหนูเกาะอยู่ ชุดเพ้าสีขาวเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกและความโชคร้าย ตรงคางเริ่มมีตอนหนวดปรากฏให้เห็น สภาพดูสะบักสะบอมมากผ่านไปครู่หนึ่งเฟิงเจิ้งหลีค่อยๆ เงยหน้า เมื่อเห็นเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มีประกายที่ปกปิดสายหนึ่งแลบผ่าน“ถ้าไม่เป็นอะไร…”เขาลุกขึ้นยืน เสียงแหบไร้เรี่ยวแรงฉู่เจียวเจียวตาแดงทันที “คุกหลวงสกปรกเช่นนี้ เหม็นเช่นน
หมอหลวงคนหนึ่งกล่าวทันที “พระชายาอ๋องเฉิน ลูกสามารถมีใหม่ แต่ถ้าตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีเพียงเอาเด็กออก แล้วใช้สูตรยานี่ ผู้ป่วยจึงจะมีโอกาสรอด”หมอหญิงเว่ยพยักหน้า “นี่เป็นวิธีเดียวเจ้าค่ะ”เด็กกับผู้ใหญ่ เลือกได้แค่คนเดียวฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วแน่น สีหน้ากังวลนางไม่มีสิทธิ์ขัดความปรารถนาของอวิ๋นอิง ถอดคุณสมบัติการเป็นแม่ของนางออก ถ้าหากฝืนเอาเด็กคนนี้ออก อวิ๋นอิงต้องเกลียดนางทั้งชีวิตแน่นอนอีกทางร่างกายของอวิ๋นอิงอ่อนแอมาก เกรงว่าไม่สามารถทนต่อการแท้งบุตรไม่ไหวนางถอนใจหนักๆ “ข้าจะเก็บไว้ทั้งสองคน”“ฮะ?!”ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะลึงแล้วหรือพระชายาอ๋องเฉินเลอะเลือนแล้ว?“พระชายาอ๋องเฉิน คนท้องห้ามกินยาส่งเดช และถ้าไม่กินยา จะรักษาโรคอวัยวะล้มเหลวได้อย่างไร? ใต้ฟ้าไม่มีวิธีทำสองอย่างให้สมบูรณ์แบบพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องพยายามสักตั้ง รอวันที่ผลลัพธ์ออกมา จึงจะไม่รู้สึกผิดนางกวาดมองตำราที่เก็บสะสมในห้องแวบหนึ่ง ชั้นวางที่สูงตระหง่านสองกว่าแถว มีตำราที่หลากหลายและนับไม่ถ้วนวางเต็มไปหมด“ตำราแพทย์ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่หรือ?”หมอหญิงเว่ยพยัก
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ พระชายา ข้าชอบเว่ยซีกับลู่ฉิน พวกนางเป็นเด็กดีมาก เมื่อคืนไม่ร้องไห้เลย” อวิ๋นอิงเม้มปากยิ้มเล็กน้อยฉู่เชียนหลีจูงมือของนาง “ทุกคนลำบากมาทั้งคืนแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”“จิ่งอี้ เสียวอู่ พวกเจ้าอุ้มเด็กไปที่ตำหนักผานหลง ฝ่าบาทอยู่ที่นั่น มีคนช่วยดูแลด้วยกัน”หลังมอบหมายงานเสร็จ นางกับอวิ๋นอิงก็ไปแล้วกระซิบไปตลอดทาง“ยาที่ข้าจ่ายให้เจ้า กินทุกวันหรือไม่?” ขณะเดียวกับที่จูงมืออวิ๋นอิง ก็จับชีพจรของนางด้วยสภาพร่างกายของนาง…ไม่สู้ดีนักกินยาแล้ว แต่ไม่เห็นผลเพราะกำลังตั้งครรภ์ ฉู่เชียนหลีไม่กล้าใช้ยาฤทธิ์แรง ส่วนยาฤทธิ์เบาสำหรับอวิ๋นอิงนั้น มีผลไม่มาก ซึ่งเทียบเท่ากับไม่มีเลย อวิ๋นอิงพยักหน้า “ทำให้พระชายาเป็นห่วงแล้ว ร่างกายของข้า ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ ดีก็ดี ไม่ดีก็ช่าง ข้าทำใจยอมรับผลแล้ว”ทัศนคติของนางดีมาก มองโลกในแง่ดีมากพลางลูบท้อง แววตาเผยให้เห็นความหวัง“ขอแค่เด็กคนนี้สามารถเกิดมาอย่างปลอดภัย ทุกอย่างก็คุ้มค่าแล้ว”ชั่วขณะ ในใจฉู่เชียนหลีรู้สึกไม่สบอารมณ์หลังจากมีลูก นางสามารถเข้าใจความรักของแม่ของอวิ๋นอิง แต่นางก็ปล่อยมืออวิ๋นอิงไม่ลง ถ้าหากต้องเลื