หลายวันนี้ เฟิงเจิ้งหลียุ่งมาก วุ่นวายอยู่กับงานเล็กใหญ่ต่างๆ อีกทั้งยังจะขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ อภัยโทษทั่วแผ่นดิน เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นเหรินเต๋อ ขนานนามฮ่องเต้เหรินเต๋อ อีกทั้งแต่งตั้งมารดาบังเกิดเกล้าเป็นไทเฮา มารดาบุญธรรมเป็นกุ้ยเฟย และยังได้รับสมัญญา ย้ายเข้าสุสานหลวงอย่างมีเกียรติชั่วขณะ ฮ่องเต้องค์ใหม่เกียรติภูมิไร้ขีดจำกัดข้างนอกสุขสันต์เบิกบาน แต่ตำหนักที่ถูกเฝ้าอย่างเข้มงวดหลังนี้ เงียบสงบราวกับเป็นดินแดนไร้ผู้คนฉู่เชียนหลีถูกขังมาสามวันแล้วในสามวันนี้ ไม่เคยมีใครมา ก็ย่อมไม่มีคนส่งน้ำส่งเข้า นางไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว ใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้ว่าเป็นฝีมือของฉู่เจียวเจียวเมื่อได้ยินเสียงคึกคักที่ภายนอก ก็คาดเดาได้ว่าอ๋องหลีน่าจะขึ้นครองราชย์แล้วขณะที่นางอยู่คนเดียว กำลังรู้สึกเบื่อหน่าย มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หน้าประตู“ท่านเข้าไปไม่ได้!”“ฝ่าบาทมีพระบัญชา…จริงนะ…ท่านโหวน้อย…”“ไสหัวไป!”พลันหลิงเชียนอี้เหวี่ยงฝ่ามือ ตบใส่ใบหน้าผู้บัญชาการจางอย่างแรง และยังกระชากคอเสื้อของเขา กระหน่ำหมัดใส่ไปสี่ห้าที“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน กล้าขวางทางข้าหร
เฟิงเจิ้งหลีมาแล้ว!ทันทีที่ขึ้นครองราชย์ เขาสวมเพ้ามังกรสีเหลืองสด บนเสื้อปักลายมังกรเชิดหัวขึ้น ดวงตาแดงเหมือนลูกไฟ ปากอมลูกแก้ว ดูสง่าน่านัก ลดความอ่อนโยนในอดีตของเขา เพิ่มความน่าเกรงขามและความสูงศักดิ์หลายส่วนผู้บัญชาการจางคุกเข่าลงพื้น กล่าวทั้งน้ำตา“ฝ่าบาท ท่านโหวน้อยไม่ฟังคำห้ามปราม บุกรุกเข้ามาโดยพลการ ท่านต้องออกหน้าแทนกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”“ออกหน้าอะไร? ข้าตีเจ้าก็คือข้าตีเจ้า เจ้ากล้ามีความเห็นหรือ?”ภายในห้องหลิงเชียนอี้เดินออกมา ยกเขาขึ้นก็ถีบออกไปอย่างแรง“อ๊ะ…”ผู้บัญชาการลอยกระเด็นกลิ้งออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร สภาพอนาถเหมือนสุนัขตัวหนึ่งหลิงเชียนอี้วางเท้าลง ตบชายเสื้อ หันไปมองเฟิงเจิ้งหลีที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริตจะก้าน“ผู้บัญชาการจาง ฐานะของท่านต่ำต้อย ก็ต้องกล้ำกลืนแค้นนี้ลงไป ถ้าหากท่านอยากแก้แค้น เช่นนั้นก็ปีนขึ้นข้างบนโดยไม่ต้องเลือกวิธีการ รอเจ้าปีนถึงตำแหน่งของอ๋องหลี ก็สามารถแก้แค้นข้าแล้ว”สีหน้าผู้บัญชาการจางเปลี่ยนฉับพลันเขากล้าเสียที่ไหน?!เห็นได้ชัดว่าท่านโหวน้อยกำลังถากถางเขาเรื่องที่ทรยศฮ่องเต้ แปรพักตร์ไปอยู่กับอ๋องหล
บอกตามตรง ผู้บัญชาการจางตกใจแล้วฮองเฮาไม่ชอบฉู่เชียนหลี สั่งให้คนทิ้งนางไว้ที่นี่ ไม่ถามไม่สนใจ และไม่ส่งน้ำให้นางแม้แต่หยดเดียว แต่เมื่อฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ ท่าทางเหมือนจะโกรธมากเขาพูดซ้ายก็ผิด พูดขวาก็ไม่ถูกติดอยู่ตรงกลาง กลัวจนหน้าซีดแล้ว“ในสามวันนี้ไม่ ไม่เคยมีคนมาจริง…”“บัดซบ!” เฟิงเจิ้งหลีโยนเขาลงพื้นด้วยความโกรธแล้วกระทืบซ้ำ ผู้บัญชาการจางกระอักเลือดโดยตรง ซี่โครงหักไปสองซี่สามวันแล้ว!สามวันเต็มๆ นางไม่ได้กินน้ำแม้แต่หยดเดียว ถึงว่าสีหน้าดูซีดเซียวเช่นนั้น!เรื่องที่ฉู่เจียวเจียวเคยมา ไม่มีใครบอกเขาเลย!“ฉู่เชียนหลีถูกขัง นางก็ยังเป็นฉู่เชียนหลี! เป็นแขกสำคัญของเรา! ใครอนุญาตให้พวกเจ้าละเลย! ทุกคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่ ไปรับแส้ที่คุกหลวงคนละสี่สิบที!”หลังจากไล่พวกขัดหูขัดตาเหล่านี้ออกไป ก็เปลี่ยนคนชุดใหม่มา คนของห้องพระเครื่องต้นก็เตรียมอาหารและส่งมาที่ตำหนักอย่างรวดเร็วไม่นาน อาหารร้อนๆ ก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ สีสัน กลิ่น และรสชาติมีครบทุกอย่าง ดูน่ากินมากฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ กวาดมองอาหารอันโอชะที่วางเต็มโต๊ะ ไม่มีท่าทีที่จะลงมือเฟิงเจิ้งหลีไม่รู้จะอธิบายก
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เขาบอกความในใจกับนาง แต่นางไม่เคยเชื่อเขาได้ราชบัลลังก์มาครอบครองแล้ว ได้ใต้ฟ้ามาครอบครองแล้ว และรวมถึงทุกสิ่งที่ต้องการ แต่เหตุใดยังไม่ได้ใจของนางอีกเหตุใดมันยากเช่นนี้?เขาค่อยๆ ปล่อยนาง “จุดประสงค์?”เหอะมาถึงขั้นนี้แล้ว นางยังไม่เชื่อเขาอีก“ชอบใครสักคน ต้องมีจุดประสงค์อะไร?”ฉู่เชียนหลีไม่เชื่อที่เขาพูดสักคำ ในสายตาของนาง ความน่าเชื่อถือของเขาเป็นศูนย์หันหน้าหนี หลบสายตา ไม่อยากมองเห็นเขาอีก“ถ้าหากข้าไม่ชอบเจ้า แล้วเหตุใดต้องลำบากเช่นนี้เพื่อรั้งเจ้าไว้? ถ้าหากไม่ชอบเจ้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าตั้งแต่คืนที่อ๋องเฉินหนีไปแล้ว”“แต่ข้าทำไม่ได้”“ข้าเอาหนังสือปลดมาให้เจ้าแล้ว ข้าถึงขั้นอยากแต่งงานกับเจ้า ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้า เจ้ามองไม่เห็นเลยหรือ?”เขาพูดความในใจของตัวเองอย่างลึกซึ้งในสายตาของเขา เขาจริงใจที่สุดแต่สำหรับฉู่เชียนหลี เขาคือคนที่ไม่รักษาคำพูด ไม่เลือกวิธีการ เจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่คู่ควรเชื่อใจเฟิงเจิ้งหลีพูดออกมามากมาย แต่นางก็ทำเหมือนไม่ได้ยินพูดจนน้ำลายแห้ง ก็ไม่มีประโยชน์ความรู้สึกที่หมดหนทางกลายเป็นถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่ง ต้องเ
“...”ฉู่เชียนหลีถือว่าเข้าใจความหมายของเขาแล้ว อุ้มเด็กมาขู่นาง“ส่งเด็กมาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้ามา สะบัดชายเสื้อ แล้วนั่งลงที่ข้างโต๊ะสง่างาม “ข้าบอกแล้ว กินข้าวก่อน”“เจ้า…”“อย่าท้าทายความอดทนของข้า นิสัยของข้าไม่ได้ดีตลอด ครู่ต่อมาอาจเปลี่ยนใจก็ได้”“...”สายตาฉู่เชียนหลีเย็นลง กัดฟันแน่น เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่งนางมองเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย แล้วหันไปมองเฟิงเจิ้งหลี ทำได้เพียงเดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกข้าวขึ้นมาหนึ่งชาม ก็เริ่มกินอย่างเต็มปากเต็มคำเมื่อเฟิงเจิ้งหลีเห็นแล้ว คิ้วจึงจะคลายออก“ดีมาก”ผู้หญิงที่เชื่อฟัง จึงจะคู่ควรกับความรักของผู้ชาย“ดื่มน้ำแกงหน่อย”ฉู่เชียนหลีไม่อยากคุยกับเขา เอาแต่เขี่ยข้าวใส่ปาก แล้วกลืนลงไปโดยไม่เคี้ยว พลันไม่ระวังสำลักแล้วเขาไม่สบอารมณ์ทันที“รีบอะไร?”เขาพลางตบหลังของนาง พลางรินน้ำให้นางหนึ่งแก้ว “เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีใครสามารถแย่งเขาไปได้ เจ้ารีบร้อนอะไร?”นางสำลักจนแก้มแดง ผ่านไปหนึ่งนาทีจึงจะดีขึ้น กล่าว“เจ้าสามารถแย่งไปได้”เขา “...”“เทียบกับใช้คำว่าแย่ง ข้าชอบคำว่าเลี้ยงมากกว่า พวกเราเลี้ยงเขาด้ว
สิ่งที่เขาต้องการนั้นง่ายมากทุกวันหลังทำงานเสร็จ เมื่อกลับถึงห้อง เห็นนางเลี้ยงลูก เล่นกับลูก นางหัวเราะ พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า อบอุ่นเหมือนภาพวาดนางนั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้เอง เขาเหมือนอยู่ใกล้นางมาก แต่ก็เหมือนอยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมสายตาของเขาลึกซึ้ง เข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว จับคางของนางเบาๆฉู่เชียนหลีชะงักเล็กน้อย กำลังจะส่ายศีรษะ“ยังอุ้มเด็กไว้ อย่าขยับ” เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ควักยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาก้อนเล็กๆ ทาลงบนแก้มของนางนิ้วมือนวดเบาๆ อ่อนโยนมากท่าทางที่ระมัดระวังนั่น เหมือนกำลังปฏิบัติต่อสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งฉู่เชียนหลีหลุบตาลง ปล่อยให้เขาทำต่อไปเขากล่าว“ต่อไป ไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้อีก”“ฉู่เจียวเจียวจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”“จำไว้ว่าวันข้างหน้าเจอเรื่องอะไรให้บอกข้า ข้าคือที่พึ่งของเจ้า เจ้าสามารถเชื่อใจข้าโดยไม่มีเงื่อนไข”“แค่เจ้าขมวดคิ้วทีหนึ่ง ข้าก็ไม่มีความสุขแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เขาถอนหายใจเบาๆ ซ่อนความรักและความอ่อนโยนทั้งหมดของตัวเองไว้ในนั้นหลังจากผ่านไปธูปครึ่งก้านทายาเสร็จก็ปล่อยนางแล้วในที่สุดฉู่เชียนหล
“ฝ่าบาท…”ฉู่เจียวเจียวเสียงอ่อน ข่มความโกรธลงไป เดินเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ มีเรื่องมากมายต้องทำ เรื่องของผู้หญิงในวังหลัง ให้หม่อมฉันดูแลเองเพคะ”ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่ วางมาดเหมือนเป็นภรรยาที่รู้หน้าที่เฟิงเจิ้งหลีมองนางอย่างเย็นชา“ให้เจ้าดูแล? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ช่วยจนยุ่ง ทำให้เรายิ่งต้องหนักใจ?”“...”นางก็แค่ให้ฉู่เชียนหลีอดอาหารสามวันไม่ใช่หรือ?ไม่ได้กินข้าวสามวัน ไม่ตายสักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้นางกลับปวดใจฉู่เชียนหลีจนมาถามนาง?ฉู่เจียวเจียวโกรธมาก มือสองข้างก็กำจนแน่นแล้ว เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือ กล่าวเสียงเย็น“ฉู่เชียนหลีคือภรรยาของผู้กระทำความผิด ไม่ฆ่านางก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว หรือยังจะเลี้ยงนางไว้ในวัง ยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญ?”สายตาเฟิงเจิ้งหลีเย็นชา “ภรรยาผู้กระทำความผิด”“นางเป็นภรรยาผู้กระทำความผิดตั้งแต่เมื่อไร? เฟิงเย่เสวียนเขียนหนังสือปลดแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกปลด เกี่ยวอะไรกับเฟิงเย่เสวียน? ฉู่เจียวเจียว ระวังคำพูดของเจ้า!”ฉู่เจียวเจียวสะอึกทันที“หม่อมฉัน…”“อีกอย่าง ฉู่เชียนหลียังมีประโยชน
“เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเย่เสวียนจะไม่ข้ามแม่น้ำ นอกเสียจากเขาติดปีกบินข้ามไป!”คำพูดของเฟิงเจิ้งหลีเพิ่งสิ้นเสียง ก็มองเห็นร่างกายของทหารคนนั้นสั่น สายตาของเขาเย็นลงทันที พลันกระชากคอเสื้อของเขา“เจ้ากำลังโกหก!”ทหารตกใจจนหน้าซีด“ฝ่า ฝ่าบาท…”“พูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เขาตวาดอย่างเย็นชา“กระหม่อม กระหม่อม…กระหม่อม…” ทหารอ้ำอึ้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการร้อนตัว มีบางอย่างปิดบังเมื่อเห็นฮ่องเต้พิโรธ รู้ว่าปิดไม่อยู่แล้ว เขากลัวจนยอมพูดสิ่งที่เกิดขึ้น“กระหม่อมพูด! ในคืนเมื่อสามวันก่อน อ๋องเฉินพยายามบุกข้ามสะพาน รถม้าพลั้งตกลงไปในแม่น้ำอูหลาน แม่ทัพหลี่บอกว่าเป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ตอนนี้กำลังกู้ศพ เตรียมนำศพของอ๋องเฉินกลับมา ค่อยสารภาพกับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ!” อูหนูอุทานด้วยนิสัยของอ๋องเฉิน จะทำผิดพลาดเรื่องโง่ๆ อย่างรถม้าตกแม่น้ำได้อย่างไร?นางรีบถามต่อทันที“พวกเจ้าเห็นอ๋องเฉินตกแม่น้ำกับตาตัวเองหรือไม่?”คำถามนี้ทำเอาทหารตะลึงโดยตรง“ไม่ ไม่เห็น…คืนนั้น อ๋องเฉินอยู่ในรถม้าตลอด ไม่พูด ไม่แสดงตัว…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างทันที หน้าซีดเหมือนกับคนตา
“อืม…”จวินลั่วยวนยังไม่ทันลงมือ ฉู่เชียนหลีก็ฟื้นแล้ว นางตกใจจนก้อนหินหลุดจากมือ ตกลงไปที่ข้างๆนางร้อนตัว รีบหันไปล้มลงข้างๆ แสร้งหมดสติหนึ่งนาทีสองนาที…ฉู่เชียนหลียังไม่ฟื้น สิ่งที่ได้จากการรอคอย กลับเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งที่ร่างกายเปื้อนเลือด“องค์หญิง องค์หญิง…ท่านอยู่นี่ได้อย่างไร…แค่กๆๆ…”อาการของผู้ติดตามสาหัสมาก เดินเข้ามาอย่างล้มลุกคลุกคลาน และหายใจลำบากจวินลั่วยวนรู้จักเขา เขาคือผู้ติดตามของเสด็จพี่รอง นางรีบเดินเข้าไปถาม“ช่วยอ๋องเฉินออกมาได้หรือไม่?”ผู้ติดตามชะงักเล็กน้อยองค์หญิงไม่ควรจะเป็นห่วงองค์ชายรองก่อนหรือ?แต่ในฐานะคนรับใช้ มีคำพูดมากมายไม่กล้าพูด เขากล่าวตอบ “อ๋องเฉินได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่องค์ชายรองถูกจับ ข้ากำลังจะกลับไปแจ้งข่าว และพาคนมาช่วย คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอท่านที่นี่”“ท่านกับพระชายาอ๋องเฉินข้ามแม่น้ำอูหลานแล้วไม่ใช่หรือ?”จวินลั่วยวนโล่งอกอ๋องเฉินปลอดภัยก็ดีแล้วพูดถึงเรื่องข้ามแม่น้ำ นางก็นึกถึงประสบการณ์ที่อันตรายเมื่อคืน อีกนิดเดียวนางก็จะตกเป็นของเล่นของทหารแล้ว อีกนิดเดียวก็จะตายแล้วนึกถึงภาพเมื่อคืน ทหารสิบกว่าคนทารุณกรรมผู้
ปัง!ทั้งสองกลิ้งไปไกลถึงห้าหกสิบเมตร จึงจะกลิ้งถึงตีนเขา คนหนึ่งชนเข้ากับต้นไม้ อีกคนชนเข้ากับก้อนหิน เปิดเสียงดัง ‘ปัง’ ทั้งสองล้วนหมดสติอย่างไม่สามารถควบคุมกลางคืนเงียบสงบเวลาค่อยๆ ผ่านไปเงียบๆ…ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ยามราตรีที่เงียบสงัด จึงจะมีเสียง“อืม…”ปลายนิ้วของจวินลั่วยวนกระดิกสองที หลังจากนั้นสองสามนาที จึงจะยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่าง ทำให้หายใจถี่ขณะเดียวกันก็นึกขึ้นได้พวกนางถูกทหารพบเห็น ระหว่างที่วิ่งหนี ไม่ระวังกลิ้งตกลงมาจากเนิน“ซี้ด!”เอว แขน ใบหน้า คอ ขาของนาง…ถูกหนามข่วนจนเป็นรอย ถูกกิ่งไม้แทง ถูกหินกระแทก ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล แทบจะไม่มีที่ใดที่สมบูรณ์เจ็บจัง!แต่โชคดีมากที่ไม่ถูกทหารจับนางพักหายใจครู่หนึ่ง ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ประคองศีรษะที่หนักอึ้ง มองเห็นฉู่เชียนหลีที่ล้มห่างออกไปสามสี่เมตรเมื่อเทียบกันแล้ว อาการของฉู่เชียนหลีค่อนข้างสาหัสศีรษะของนางกระแทกกับก้อนหินจนเป็นแผล ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางเปื้อนไปด้วยเลือด นางซีดราวกับกระดาษ เป็นตายไม่รู้แววตาของนางเผยให้เห็นความดีใจรีบเดิน
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก