เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว หลังจากเหลือบมองอ๋องหลีอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก็อุ้มฉู่เชียนหลีกลับจวนเมื่อประตูใหญ่ปิดลงเขากัดฟันทันใดนั้น “เจ้ายังช่วยเขาพูดอีก?” หยิกไปที่เอวของนางหนึ่งทีฉู่เชียนหลีตะลึง “ข้าช่วยเขาพูดตรงไหน?”“เจ้าอยู่กับเขา ไม่ใช่เขาที่ทำร้ายเจ้าหรอกหรือ? หรือว่าเขาวางยาอะไรเจ้า เจ้าถึงปกป้องเขา?” เขากล่าวอย่างโมโหเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยิน ร้องไห้ไม่ออก หัวเราะไม่ได้ทันทีนางไม่มีเจตนาช่วยอ๋องหลีพูดแน่นอนอ๋องหลีไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ และยังแบกนางอย่างอดทนตลอดทาง นางพล่ามตลอดทาง ก็ไม่ปล่อยนางลงแม้ไม่รู้เขามีจุดประสงค์อะไร แต่อย่างน้อยคืนนี้ เขาก็พอทำให้นางประทับใจอยู่บ้าง“นี่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง อูหนูอยู่ข้างกายอ๋องหลี เหมือนนางจะเป็นคนของอ๋องหลี”“อูหนู?”เฟิงเย่เสวียนคิดครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้แล้ว“นางกลับเหมียวเจียงแล้วไม่ใช่หรือ?”“อืม” ฉู่เชียนหลีเงยหน้า “ข้าก็คิดว่านางกลับเหมียวเจียงแล้ว แต่นางกลับบอกว่าเจ้าได้ประโยชน์แล้ว สั่งให้คนฆ่านาง?”เฟิงเย่เสวียน “?”พูดเหลวไหล!“ตอนนั้น ยาที่นางปรุงมีปัญหา หลังจากข้าลงโทษนางเบาๆ เห็นแก่ที่ก่อนหน้านี้นางมีผลงาน จริง
เฟิงเจิ้งหลีก้มหน้า ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น“อยู่ใต้จมูกเรา มือของเจ้ายื่นไปไกลจริงๆ ในวัง ทหารรักษาพระองค์ สักวันจะยื่นมาถึงบนหัวเราแล้วใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้ตำหนิด้วยความโกรธเขาให้คนไปถ่ายทอดคำพูดที่จวนอ๋องหลีเขากลับดี ไม่อยู่ในจวนระหว่างช่วงกักบริเวณเขารอมาครึ่งชั่วยามแล้ว“เจ้าช่างเป็นลูกชายที่ดีของเราจริงๆ ให้เรารอเจ้านานเช่นนี้ สิบกว่าปีมานี้ มีเพียงเจ้าที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้”“เจ้าใจกล้าไม่เบาจริงๆ”“พูด เรื่องพระนัดดาองค์โต เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่!”ฮ่องเต้ตบโต๊ะ เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นเรื่อยๆ เต๋อฝูตกใจจนไล่ขันทีน้อยออกไปทั้งหมด เขาก็ออกไปด้วยเช่นกัน ปิดประตูรออยู่ที่ข้างนอก“นี่เจ้าเป็นพ่ออย่างไรกัน ใต้ฟ้า มีพ่อแท้ๆ ทำเรื่องเช่นนี้กับลูกแท้ๆ ได้อย่างไร!”“เจ้าทำให้เราผิดหวังมาก!”ฮ่องเต้เกรี้ยวกราดจนน้ำลายกระเซ็น ตำหนิเขาเสียงดัง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเฟิงเจิ้งหลีก้มหน้าเล็กน้อยๆ เอาแต่นิ่งเงียบ สายตาเฉยเมยเขาเหี้ยมโหด?เขาที่เป็นพ่อคนนี้ทำหน้าที่แย่?เหอะ“เสด็จพ่อ นี่ตั้งแต่เมื่อไรก็เรียนรู้จากพระองค์ไม่ใช่หรือ?” เขาเงยหน้ากะทันหัน“เจ้า…เ
จวนอ๋องเฉินเฟิงเย่เสวียนทำแผลที่มือให้ฉู่เชียนหลี เขาเอาแต่ขมวดคิ้วจนเป็นก้อนแล้วถูกควักเนื้อออกไปหนึ่งชิ้นเล็กๆ ยังบอกไม่เกี่ยวข้องกับเฟิงเจิ้งหลี?ฉู่เชียนหลีเปลี่ยนประเด็น “วันนี้เจ้าไปทำอะไร?”“ไปหารือกับขุนนางสองสามคนก่อน ช่วงบ่ายไปค่ายทหาร โยกย้ายทหาร”“โยกย้ายทหาร?”“อืม ข้าย้ายทหารทหารส่วนหนึ่งไปยังที่ศักดินาแล้ว” เขาสรุปง่ายๆ ได้ใจความฉู่เชียนหลีได้กลิ่นแปลกๆในยุคโบราณ กำลังทหารคือสัญลักษณ์ของอำนาจ เขาวังกำลังทหารไว้ในที่ศักดินาของตัวเอง เพื่อทำให้อำนาจมั่นคงสถานการณ์ของเมืองหลวง เกรงว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วกระมังเขากล่าว “รอลูกอายุครบหนึ่งเดือน ร่างกายของเจ้าดีขึ้นบ้างแล้ว เจ้าพาลูกไปอยู่ที่ที่ศักดินาเถอะ”ฉู่เชียนหลีตะลึงย้ายนางกับลูกไปด้วย?ฉู่เชียนหลีรู้ความหมายของเขา เขาไม่อยากให้นางกับลูกตกอยู่ในอันตราย ขอแค่นางกับลูกไปแล้ว เวลาทำสิ่งต่างๆ เขาสามารถไปทำอย่างเต็มที่นางเม้มปากเบาๆ หลุบตาลงเงียบๆหลังจากนิ่งเงียบชั่วขณะนางเงยหน้ากะทันหัน “เยว่เอ๋อร์ อวิ๋นอิงยังไม่กลับมาหรือ?”เยว่เอ๋อร์ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ พึมพำในใจ คุณชายจิ่
จิ่งอี้กลับถึงโรงหมอก็ดึกแล้วภายในห้อง แสงเทียนที่สลัวไหวระริก ยามราตรีสงบดั่งน้ำ สตรีที่นอนมาทั้งคืนทั้งวันยังคงหลับตา ลมหายใจเบามาก สีหน้าซีดเซียว ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเฟิ่งหรานบอกว่านางจะฟื้นเร็วสุดคืนนี้ ช้าสุดก็พรุ่งนี้เช้าเขานั่งอยู่ที่หน้าเตียง เฝ้านางไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวสายตาจ้องไปที่ร่างกายนาง ไม่เคยละสายตาเลยเวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด…หนึ่งเค่อครึ่งชั่วยามสองชั่วยามยามสามรุ่งอรุณ…ไม่ได้หลับทั้งคืน นอกห้องเริ่มมีน้ำค้างยามเช้า ร่างกายจิ่งอี้ก็เหมือนกับถูกห่อหุ้มด้วยน้ำค้างแข็ง เย็นเฉียบและแข็งไปทั้งร่าง ไม่ได้หลับตานอนสองวัน ร่างกายที่เหนื่อยล้าฟุบอยู่บนขอบเตียงมือของเขาจับมือเล็กที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรนิ้วมือของนางกระดิกทีหนึ่ง…พริบตานั้น เขาสะดุ้งตื่นราวกับถูกไฟช็อต ดีดตัวขึ้นนั่งฉับพลัน สายตาที่ร้อนรนจ้องคนบนเตียง“อวิ๋นอิง!”นางใกล้จะฟื้นแล้วขนตาสั่นเบาๆ หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที เปลือกตาเปิดขึ้นเป็นช่องเล็กๆ ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เต็มไปด้วยความสับสนตั้งสติอยู่นานเมื่อความพร
อวิ๋นอิงหลับตา ไม่อยากพูด และไม่อยากเห็นเขาเขาป้อนนางดื่มข้าวต้ม?นี่คิดจะทำอะไรอีก?เปลี่ยนวิธีทรมานนาง?ช่างเถอะ ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาอยากทำ นางไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็นอนอยู่ตรงนี้เงียบๆ ปล่อยให้เขาทรมานอย่างไรเสีย นอกจากร่างกายร่างนี้ นางก็ไม่มีอะไรอีกแล้วนางไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด“อวิ๋นอิง เจ้าช่วยพูดอะไรกับข้าหน่อยได้หรือไม่?” น้ำเสียงของจิ่งอี้วิงวอนเล็กน้อย ฟังแล้วค่อนข้างถ่อมตน“อวิ๋นอิง เจ้าไม่มีความสุข อย่าเก็บไว้ในใจ”“อวิ๋นอิง”“อวิ๋นอิง…”เขาเรียกนางไม่หยุด สายตาที่โหยหาสามารถมองไปที่ร่างกายนาง แต่นางเหมือนหลับสนิท ไม่แยแสใครเขาเจ็บปวดทรมานใจ แทบจะพังทลายแล้ว“อวิ๋นอิง เจ้าอย่าทำเช่นนี้กับข้า!”เขาจับคางของนาง หันศีรษะนางกลับมานางถูกบังคับให้ลืมตา ในแววตาเต็มไปด้วยประกายที่เย็นเยียบ เย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งในฤดูหนาว ชั้นบางๆ แต่กลับควบแน่นเป็นน้ำแข็ง เย็นจนแสบกระดูกนางมองเขาเงียบๆ ทั้งเช่นนี้ไม่มีความแปรปรวนทั้งอารมณ์ ยิ่งไม่มีความเศร้าโศก ก็เหมือนกับบ่อน้ำนิ่ง สงบมากหรือกล่าวอีกอย่างคือ ถูกกระทำมานานเช่นนี้ นางเหนื่อยแล้ว
ในห้องที่หลังจากจิ่งอี้ไปแล้ว ตกอยู่ในความสงบ แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา แสงจางๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง เงียบมาก เงียบจนแทบสามารถได้ยินเสียงหายใจอวิ๋นอิงไม่รู้ว่าตัวเองนอนมานานเท่าไรแล้ว รู้สึกเพียงร่างกายอ่อนระทวย เหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่หายใจก็เจ็บเล็กน้อยคอแห้งหายใจเจ็บร่างกายอ่อนระทวยความรู้สึกที่งงงวยเช่นนี้ เหมือนกำลังจะตายบางที…จะตายจริงๆ แล้วกระมัง?“แค่ก…แค่กๆ…” นางไอเบาๆ ในลำคอสองที หน้าอกปวดบิดเล็กน้อย ไม่ได้กินข้าวสองวัน และไม่ได้พูด เสียงไอแหบมากทรมานเป็นพิเศษไม่รู้นอนมานานเท่าไร จู่ๆ ก็อยากดูดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่างอวิ๋นอิงดึงผ้าห่มออก ยันร่างกายลุกขึ้นอย่างลำบากเล็กน้อย ตอนที่ลงจากเตียง ขาอ่อนจนเกือบล้มลง โชคดีที่จับเสาเตียงไว้ จึงทรงตัวได้อย่างหวุดหวิดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จับผนัง ค่อยๆ เดินออกไปข้างนอกจากเตียงนอนไปถึงบันไดหน้าประตู ห่างกันแค่สามสี่เมตร นางเหมือนเดินไกลสิบลี้ในรวดเดียว เหนื่อยจนหน้าซีด เหงื่อล้นออกมาจากหน้าผากนั่งลงบนบันไดอย่างโซซัดโซเซ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทีหนึ่ง“แค่ก! แค่ก…”แสงแดด
“แค่ก! แค่กๆ…”ในลานเรือน อวิ๋นอิงไออีกแล้วหยุดไม่ได้ จากไอเบาๆ กลายเป็นไอหนัก ลมหายใจก็เริ่มถี่ มือซ้ายกำขลุ่ยหักแน่น มือขวาปิดปาก หน้าอกกระตุกอย่างรุนแรง ทำอย่างไรก็หยุดไม่ได้หายใจถี่ ทรมานจนทำให้หางตานางแดง“แค่ก!”“แค่ก…อืม แค่กๆ!”นางก้มลง เห็นในฝ่ามือมีคราบสีแดงคือเลือด…นางมองเลือดนั่น แววตาสับสนเล็กทันใดนั้น ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งห่อมือของนาง และเช็ดเลือดเหล่านั้นจนสะอาดอย่างไว เมื่อนางเงยหน้า เห็นจิ่งอี้ พูดไม่ออกสักคำ มีเพียงเสียงไอ “แค่กๆ…”จิ่งอี้กล่าว “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียวมาสองวันแล้ว จะทนไหวได้อย่างไร? พวกเรากินอะไรหน่อยดีหรือไม่? กินยาหน่อย กินยาแล้ว ก็ไม่อาเจียนเลือดแล้ว”เสียงของเขาเบามากๆ และมีการวิงวอนแฝงอยู่เขาถ่อมตนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เวลาคุยกับนางก็ระมัดระวังมากอวิ๋นอิงไออย่างแทบหายใจไม่ทัน ดึงมือของตัวเองออกมา เว้นระยะห่างจากเขา ไม่ต้องการมีความใกล้ชิดทางกายใดๆ กับเขา และยิ่งไม่อยากเห็นเขาไออยู่ดีๆ ก็มีเลือดล้นออกมาจากมุมปาก สะท้อนบนใบหน้าที่ซีดขาวของนาง สายตาอ่อนแอ เหมือนมีมีดเล่มหนึ่งปักลงกลางใจจิ่งอี้
ตอนที่ลืมตาขึ้น อวิ๋นอิงกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยสำนักยุทธ์ตระกูลอวิ๋น!ภายในสำนักยุทธ์ อาวุธต่างๆ ถูกจัดเรียงเป็นแถว ร่างเงาที่คุ้นเคยมากมายเดินขวักไขว่ไปมาอย่างไว‘จางเทียน เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้ามันคนขี้แพ้! แบร่ๆๆ จับข้าให้ได้สิ!’‘อาจารย์นอนกลางวันแล้ว พวกเราแอบเข้าไปในห้องของเขา ขโมยแมลงปอไม้ไผ่กลับมา พวกเราเป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้คนนั้นไปขโมย’“เจ้าเด็กเวร เจ้าแอบกินอีกแล้ว! ไสหัวออกไป…”“อ๊ะๆๆ! ข้าไม่กล้าแล้ว…”ตะโกน ดื้อรั้น ไล่ตาม หัวเราะสนุกสนาน…ภาพต่างๆ กะพริบตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ละภาพ แต่ละฉาก คนเหล่านั้น เสียงเหล่านั้น ชัดเจนราวกับเป็นเมื่อวานเพื่อนในวัยเด็ก ลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ อาจารย์ที่เข้มงวด ท่านป้าในห้องครัว…อวิ๋นอิงเบิกตากว้าง มองอย่างไม่กล้าเชื่อสายตานางกลับมาแล้ว!กลับมาแล้วจริงๆ!“อวิ๋นอิง” เสียงเรียกที่อ่อนโยนสายหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังอวิ๋นอิงรับหันกลับไป เห็นเพียงสามีภรรยาอายุสามสิบกว่าคู่หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความรัก“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”พลันนางแน่นหน้าอก รีบวิ่งออกไป กระโจนเข้าไปในอ้อมกอดขอ
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท