ตอนฉู่เชียนหลีฟื้น อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยห้องที่มืดสลัว เต็มไปด้วยของจิปาถะ ทรุดโทรมมาก มีฝุ่นเขรอะ และใยแมงมุมที่มุมห้อง แสงสลัวลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ฝุ่นตลบกลางอากาศ นางถูกมัดมือไขว้หลังติดกับเสาเดิมทีอยากช่วยตัวเอง แต่เสาต้นนี้หนามาก แยกมือซ้ายและขวาของนางออกจากกัน ห่างกันพอสมควร ส่งผลให้นางไม่สามารถนำมีดผ่าตัดออกจากกำไลเฉียนคุนประกอบกับมีแผลที่แขนลองขยับอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ และยังกระชากโดนบาดแผล เลือดไหลเยอะมาก คิ้วของนางก็ขมวดแน่นอูหนูทิ้งนางไว้ที่นี่โดยไม่สนใจแล้ว?และไม่ฆ่านาง?หมายความว่าอย่างไร?นางพยายามบิดข้อมือขณะที่กำลังจริงจัง เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เข้าใกล้ดังขึ้นในอากาศ เวลาสั้นๆ เพียงอึดใจเดียว ก็วิ่งมาถึงหน้าห้อง จากนั้นถีบประตูออกปัง!เดิมทีคิดว่าเป็นอูหนูมา กลับคิดไม่ถึงว่าเป็นเฟิงเจิ้งหลี!“เจ้า…”“ฉู่เชียนหลี!”เฟิงเจิ้งหลีเดินตรงเข้ามา ปลดเชือกบนมือ จับไหล่ทั้งสองข้างของนาง ตรวจดูตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับบาดเจ็บหรือไม่…มือของเจ้า…”เห็นบนแขนเสื้อนางมีเลือดเมื่อดึงขึ้นมาดู ตรงแขนของนาง เนื้อชิ้นเล็กๆ ถูกควัก
ฉู่เชียนหลีตะลึงทันที“?”ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็แบกนางขึ้นหลังแล้วนางกำลังจะดิ้นรน “ปล่อยข้า…”“อย่าขยับ อีกไม่นานฟ้าก็จะมืดแล้ว ถ้าหากยังไม่กลับไป เฟิงเย่เสวียนจะเป็นห่วงเจ้า” เขาแบกนางไว้อย่างมั่นคง ก็ออกเดินทางทันทีฉู่เชียนหลีเม้มปากแน่น มักจะรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้องความสัมพันธ์ของนางกับเขา ดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?“เจ้าแสร้งทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยหรือ?” นางถามเขากล่าว “ไม่เหนื่อย ชินแล้ว”“...”นางสะอึกไปชั่วขณะเงียบไปอึดใจหนึ่ง เอ่ยปากอีกครั้ง “เพราะเหตุใดเจ้าต้องวางยาพระนัดดาองค์โต? เจ้าไม่รู้สึกว่าการใช้เด็กเล็กเพื่อทำให้ตัวเองพ้นผิด มันคือพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบ และต่ำช้ามากเลยหรือ?”เป็นพ่อ กลับทำร้ายลูกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั่วหล้า มีพ่อที่เหี้ยมโหดเช่นนี้ที่ไหนกัน?เฟิงเจิ้งหลีหลุบตา เดินอย่างจริงจัง ไม่ได้ตอบคำถามเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยเป็นลูกแท้ๆ ของนาง เขาจะทำร้ายลงได้อย่างไร?เรื่องนี้เป็นอูหนูที่ทำลับหลังเขาตอนที่เขารู้เรื่อง ก็ยับยั้งไม่ทันแล้วและยังมีฉู่เจียวเจียวผู้หญิงโง่คนนั้น ก็วิ่งเข้าวังทันที ช่วยเขาจนเป็นเรื่อง…“เขายังเด็ก
เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว หลังจากเหลือบมองอ๋องหลีอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก็อุ้มฉู่เชียนหลีกลับจวนเมื่อประตูใหญ่ปิดลงเขากัดฟันทันใดนั้น “เจ้ายังช่วยเขาพูดอีก?” หยิกไปที่เอวของนางหนึ่งทีฉู่เชียนหลีตะลึง “ข้าช่วยเขาพูดตรงไหน?”“เจ้าอยู่กับเขา ไม่ใช่เขาที่ทำร้ายเจ้าหรอกหรือ? หรือว่าเขาวางยาอะไรเจ้า เจ้าถึงปกป้องเขา?” เขากล่าวอย่างโมโหเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยิน ร้องไห้ไม่ออก หัวเราะไม่ได้ทันทีนางไม่มีเจตนาช่วยอ๋องหลีพูดแน่นอนอ๋องหลีไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ และยังแบกนางอย่างอดทนตลอดทาง นางพล่ามตลอดทาง ก็ไม่ปล่อยนางลงแม้ไม่รู้เขามีจุดประสงค์อะไร แต่อย่างน้อยคืนนี้ เขาก็พอทำให้นางประทับใจอยู่บ้าง“นี่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง อูหนูอยู่ข้างกายอ๋องหลี เหมือนนางจะเป็นคนของอ๋องหลี”“อูหนู?”เฟิงเย่เสวียนคิดครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้แล้ว“นางกลับเหมียวเจียงแล้วไม่ใช่หรือ?”“อืม” ฉู่เชียนหลีเงยหน้า “ข้าก็คิดว่านางกลับเหมียวเจียงแล้ว แต่นางกลับบอกว่าเจ้าได้ประโยชน์แล้ว สั่งให้คนฆ่านาง?”เฟิงเย่เสวียน “?”พูดเหลวไหล!“ตอนนั้น ยาที่นางปรุงมีปัญหา หลังจากข้าลงโทษนางเบาๆ เห็นแก่ที่ก่อนหน้านี้นางมีผลงาน จริง
เฟิงเจิ้งหลีก้มหน้า ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น“อยู่ใต้จมูกเรา มือของเจ้ายื่นไปไกลจริงๆ ในวัง ทหารรักษาพระองค์ สักวันจะยื่นมาถึงบนหัวเราแล้วใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้ตำหนิด้วยความโกรธเขาให้คนไปถ่ายทอดคำพูดที่จวนอ๋องหลีเขากลับดี ไม่อยู่ในจวนระหว่างช่วงกักบริเวณเขารอมาครึ่งชั่วยามแล้ว“เจ้าช่างเป็นลูกชายที่ดีของเราจริงๆ ให้เรารอเจ้านานเช่นนี้ สิบกว่าปีมานี้ มีเพียงเจ้าที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้”“เจ้าใจกล้าไม่เบาจริงๆ”“พูด เรื่องพระนัดดาองค์โต เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่!”ฮ่องเต้ตบโต๊ะ เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นเรื่อยๆ เต๋อฝูตกใจจนไล่ขันทีน้อยออกไปทั้งหมด เขาก็ออกไปด้วยเช่นกัน ปิดประตูรออยู่ที่ข้างนอก“นี่เจ้าเป็นพ่ออย่างไรกัน ใต้ฟ้า มีพ่อแท้ๆ ทำเรื่องเช่นนี้กับลูกแท้ๆ ได้อย่างไร!”“เจ้าทำให้เราผิดหวังมาก!”ฮ่องเต้เกรี้ยวกราดจนน้ำลายกระเซ็น ตำหนิเขาเสียงดัง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเฟิงเจิ้งหลีก้มหน้าเล็กน้อยๆ เอาแต่นิ่งเงียบ สายตาเฉยเมยเขาเหี้ยมโหด?เขาที่เป็นพ่อคนนี้ทำหน้าที่แย่?เหอะ“เสด็จพ่อ นี่ตั้งแต่เมื่อไรก็เรียนรู้จากพระองค์ไม่ใช่หรือ?” เขาเงยหน้ากะทันหัน“เจ้า…เ
จวนอ๋องเฉินเฟิงเย่เสวียนทำแผลที่มือให้ฉู่เชียนหลี เขาเอาแต่ขมวดคิ้วจนเป็นก้อนแล้วถูกควักเนื้อออกไปหนึ่งชิ้นเล็กๆ ยังบอกไม่เกี่ยวข้องกับเฟิงเจิ้งหลี?ฉู่เชียนหลีเปลี่ยนประเด็น “วันนี้เจ้าไปทำอะไร?”“ไปหารือกับขุนนางสองสามคนก่อน ช่วงบ่ายไปค่ายทหาร โยกย้ายทหาร”“โยกย้ายทหาร?”“อืม ข้าย้ายทหารทหารส่วนหนึ่งไปยังที่ศักดินาแล้ว” เขาสรุปง่ายๆ ได้ใจความฉู่เชียนหลีได้กลิ่นแปลกๆในยุคโบราณ กำลังทหารคือสัญลักษณ์ของอำนาจ เขาวังกำลังทหารไว้ในที่ศักดินาของตัวเอง เพื่อทำให้อำนาจมั่นคงสถานการณ์ของเมืองหลวง เกรงว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วกระมังเขากล่าว “รอลูกอายุครบหนึ่งเดือน ร่างกายของเจ้าดีขึ้นบ้างแล้ว เจ้าพาลูกไปอยู่ที่ที่ศักดินาเถอะ”ฉู่เชียนหลีตะลึงย้ายนางกับลูกไปด้วย?ฉู่เชียนหลีรู้ความหมายของเขา เขาไม่อยากให้นางกับลูกตกอยู่ในอันตราย ขอแค่นางกับลูกไปแล้ว เวลาทำสิ่งต่างๆ เขาสามารถไปทำอย่างเต็มที่นางเม้มปากเบาๆ หลุบตาลงเงียบๆหลังจากนิ่งเงียบชั่วขณะนางเงยหน้ากะทันหัน “เยว่เอ๋อร์ อวิ๋นอิงยังไม่กลับมาหรือ?”เยว่เอ๋อร์ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ พึมพำในใจ คุณชายจิ่
จิ่งอี้กลับถึงโรงหมอก็ดึกแล้วภายในห้อง แสงเทียนที่สลัวไหวระริก ยามราตรีสงบดั่งน้ำ สตรีที่นอนมาทั้งคืนทั้งวันยังคงหลับตา ลมหายใจเบามาก สีหน้าซีดเซียว ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเฟิ่งหรานบอกว่านางจะฟื้นเร็วสุดคืนนี้ ช้าสุดก็พรุ่งนี้เช้าเขานั่งอยู่ที่หน้าเตียง เฝ้านางไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวสายตาจ้องไปที่ร่างกายนาง ไม่เคยละสายตาเลยเวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด…หนึ่งเค่อครึ่งชั่วยามสองชั่วยามยามสามรุ่งอรุณ…ไม่ได้หลับทั้งคืน นอกห้องเริ่มมีน้ำค้างยามเช้า ร่างกายจิ่งอี้ก็เหมือนกับถูกห่อหุ้มด้วยน้ำค้างแข็ง เย็นเฉียบและแข็งไปทั้งร่าง ไม่ได้หลับตานอนสองวัน ร่างกายที่เหนื่อยล้าฟุบอยู่บนขอบเตียงมือของเขาจับมือเล็กที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรนิ้วมือของนางกระดิกทีหนึ่ง…พริบตานั้น เขาสะดุ้งตื่นราวกับถูกไฟช็อต ดีดตัวขึ้นนั่งฉับพลัน สายตาที่ร้อนรนจ้องคนบนเตียง“อวิ๋นอิง!”นางใกล้จะฟื้นแล้วขนตาสั่นเบาๆ หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที เปลือกตาเปิดขึ้นเป็นช่องเล็กๆ ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เต็มไปด้วยความสับสนตั้งสติอยู่นานเมื่อความพร
อวิ๋นอิงหลับตา ไม่อยากพูด และไม่อยากเห็นเขาเขาป้อนนางดื่มข้าวต้ม?นี่คิดจะทำอะไรอีก?เปลี่ยนวิธีทรมานนาง?ช่างเถอะ ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาอยากทำ นางไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็นอนอยู่ตรงนี้เงียบๆ ปล่อยให้เขาทรมานอย่างไรเสีย นอกจากร่างกายร่างนี้ นางก็ไม่มีอะไรอีกแล้วนางไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด“อวิ๋นอิง เจ้าช่วยพูดอะไรกับข้าหน่อยได้หรือไม่?” น้ำเสียงของจิ่งอี้วิงวอนเล็กน้อย ฟังแล้วค่อนข้างถ่อมตน“อวิ๋นอิง เจ้าไม่มีความสุข อย่าเก็บไว้ในใจ”“อวิ๋นอิง”“อวิ๋นอิง…”เขาเรียกนางไม่หยุด สายตาที่โหยหาสามารถมองไปที่ร่างกายนาง แต่นางเหมือนหลับสนิท ไม่แยแสใครเขาเจ็บปวดทรมานใจ แทบจะพังทลายแล้ว“อวิ๋นอิง เจ้าอย่าทำเช่นนี้กับข้า!”เขาจับคางของนาง หันศีรษะนางกลับมานางถูกบังคับให้ลืมตา ในแววตาเต็มไปด้วยประกายที่เย็นเยียบ เย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งในฤดูหนาว ชั้นบางๆ แต่กลับควบแน่นเป็นน้ำแข็ง เย็นจนแสบกระดูกนางมองเขาเงียบๆ ทั้งเช่นนี้ไม่มีความแปรปรวนทั้งอารมณ์ ยิ่งไม่มีความเศร้าโศก ก็เหมือนกับบ่อน้ำนิ่ง สงบมากหรือกล่าวอีกอย่างคือ ถูกกระทำมานานเช่นนี้ นางเหนื่อยแล้ว
ในห้องที่หลังจากจิ่งอี้ไปแล้ว ตกอยู่ในความสงบ แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา แสงจางๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง เงียบมาก เงียบจนแทบสามารถได้ยินเสียงหายใจอวิ๋นอิงไม่รู้ว่าตัวเองนอนมานานเท่าไรแล้ว รู้สึกเพียงร่างกายอ่อนระทวย เหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่หายใจก็เจ็บเล็กน้อยคอแห้งหายใจเจ็บร่างกายอ่อนระทวยความรู้สึกที่งงงวยเช่นนี้ เหมือนกำลังจะตายบางที…จะตายจริงๆ แล้วกระมัง?“แค่ก…แค่กๆ…” นางไอเบาๆ ในลำคอสองที หน้าอกปวดบิดเล็กน้อย ไม่ได้กินข้าวสองวัน และไม่ได้พูด เสียงไอแหบมากทรมานเป็นพิเศษไม่รู้นอนมานานเท่าไร จู่ๆ ก็อยากดูดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่างอวิ๋นอิงดึงผ้าห่มออก ยันร่างกายลุกขึ้นอย่างลำบากเล็กน้อย ตอนที่ลงจากเตียง ขาอ่อนจนเกือบล้มลง โชคดีที่จับเสาเตียงไว้ จึงทรงตัวได้อย่างหวุดหวิดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จับผนัง ค่อยๆ เดินออกไปข้างนอกจากเตียงนอนไปถึงบันไดหน้าประตู ห่างกันแค่สามสี่เมตร นางเหมือนเดินไกลสิบลี้ในรวดเดียว เหนื่อยจนหน้าซีด เหงื่อล้นออกมาจากหน้าผากนั่งลงบนบันไดอย่างโซซัดโซเซ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทีหนึ่ง“แค่ก! แค่ก…”แสงแดด
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา