เพราะถูกเสือขาวโจมตี ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้าเสียงร้องคร่ำครวญดังอยู่ในค่ายไม่ขาดสายครั้นอวิ๋นฝูหลิงส่งลูกเสือให้อวิ๋นจิงมั่วแล้ว จึงหยิบกล่องยาไปรักษาผู้บาดเจ็บทั้งหลายทันใดนั้น เสียงร่ำไห้ปานใจจะขาดก็ดังขึ้นจากข้างๆ “ท่านแม่ ท่านแม่ฟื้นสิ อย่าทำให้ข้ากลัวสิ...”เฉินเสียวเป่าอุ้มสะใภ้รองเฉินที่เลือดท่วมตัว พลางร้องไห้น้ำตานองหน้าอวิ๋นฝูหลิงรีบเข้าไปดู หลังจากที่จับชีพจรแล้วก็หันไปส่ายหน้ากับคนอื่นๆ ที่มองมาสะใภ้รองเฉินไม่มีจังหวะชีพจรและลมหายใจแล้ว นางสิ้นชีพไปแล้วเฉินเหล่าเอ้อร์ยืนนิ่งงันอยู่ข้างๆ ร่างไร้วิญญาณของสะใภ้รองเฉินแม้เมื่อก่อนจะก่อเรื่องวุ่นวายไม่สบอารมณ์ไว้ไม่น้อย ทว่าตอนนี้ต้องมาเห็นชีวิตคนเป็นๆ ถูกกระชากไปกับตาตัวเอง เรื่องแบบนี้ต่อให้ต้องประสบพบเจอสักกี่พันครั้ง ใจของอวิ๋นฝูหลิงก็ยังคงเศร้าโศกอยู่ดีนางพูดเบาๆ ว่า “นางสิ้นใจแล้ว เสียใจด้วยนะ!”ขณะที่อวิ๋นฝูหลิงหมุนกายเตรียมตัวจากไปช่วยผู้บาดเจ็บคนอื่น เฉินเสียวเป่าก็ทำทีราวกับเพิ่งจะเห็นอวิ๋นฝูหลิง พุ่งเข้ามากอดสองขาของนางไว้ พลางอ้อนวอน“แม่นางอวิ๋น ช่วยท่านแม่ของข้าด้วยเถิด!”“ข้
ทว่าไม่นานนักก็เห็นว่าบุตรคนรองกำลังหลบเลี่ยงสายตา เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากำลังกินปูนร้อนท้อง นางจึงรู้ได้ทันทีว่าระหว่างนั้นต้องมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแน่ท่ามกลางสายตาของคนมากมายเช่นนี้ นางจึงไม่รีบดึงตัวเฉินเหล่าเอ้อร์มาไต่ถามให้แน่ชัด จึงได้แต่ปลอบประโลมเฉินเสียวเป่าไปก่อนใครเล่าจะรู้ว่ายังพูดไม่ถึงสองประโยคดี เฉินเสียวเป่าก็ผลักนางออกโดยไม่ทันตั้งตัวเขาพูดจาโหดเหี้ยมออกมาราวกับลูกหมาป่าดุร้าย “ท่านเองก็ไม่ใช่คนดี!”หากท่านย่ารักใคร่เอ็นดูเขาจริง ตอนนั้นคงไม่ทอดทิ้งเขาเพื่อให้ได้อยู่ในขบวนลี้ภัยต่อแม่เฒ่าเฉินซวนเซเกือบล้มคะมำ ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่อยากเชื่อนางรักทะนุถนอมหลายชายผู้นี้ราวกับไข่มุกล้ำค่ามานานหลายปีเช่นนี้ ทว่าสายตาที่กำลังมองนางในตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นแม่เฒ่าเฉินถึงกับเย็นวาบไปทั่วทั้งกายภายในชั่วพริบตาเฉินเสียวเป่ากวาดสายตามองไปที่ทุกคนภายในค่าย มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นคนพวกนี้ ล้วนแต่เป็นฆาตกรที่สังหารมารดาเขาทั้งสิ้น!หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ขับเขาออกจากค่าย พวกเขาก็คงไม่ต้องเดินตามอยู่ท้ายขบวน บางทีอาจจะไม่ต้องไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที
คนรอบกายฟังกันเสียจนงงงวยหน้าท้องเมื่อถูกกรีดเปิดปากทางขึ้นมา กลับเย็บปากแผลกลับคืนสนิทได้ราวเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องการแพทย์เลย แม้แต่นายท่านหางเองก็ยังไม่เคยได้ยินวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อนหญิงผู้เป็นภรรยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างแน่วแน่ทั้งน้ำตา“แม่นางอวิ๋น ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้ารักษาเถิด!”“หากยื้อชีวิตมิได้ ถือเสียว่าเป็นชะตาชีวิตของเขา!”“เขาเกิดมาเพื่อเผชิญเหตุนี้อยู่แล้ว มิข้องเกี่ยวกับผู้ใดทั้งสิ้น!”ผู้เป็นภรรยาคิดอย่างถ่องแท้ดีแล้วว่าหากไม่รักษา สามีของนางย่อมเหลือแต่ทางตายให้เดินแล้วหาทำการผ่าตัดตามที่อวิ๋นฝูหลิงบอก ยังพอมีความหวังที่จะรอดเหลืออยู่บ้างหากสถานการณ์แย่ลง ก็ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าตอนนี้ได้แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องเสี่ยงดูกันสักตั้ง!อวิ๋นฝูหลิงเห็นหญิงคนนั้นยอมให้ทำการผ่าตัด จึงรีบเริ่มเตรียมการณ์ก่อนการผ่าตัดนายท่านหางเห็นเช่นนั้น ก็รีบหยิบสมุนไพรทั้งหมดที่ตนเตรียมมาด้วยออกมาทั้งหมด ให้อวิ๋นฝูหลิงเลือกใช้ตามสะดวกแม้สมุนไพรจะมีค่าเพียงใด ทว่าในตอนนี้ชีวิตคนสำคัญยิ่งกว่าหากอวิ๋นฝูหลิงกู้ชีพคนเอาไว้ได้จ
“อย่าว่าแต่ข้าไม่มีโอสถวิเศษรักษาแผลไม่ทิ้งร่องรอยเลย ต่อให้มี ข้าก็ไม่มีวันให้นางใช้!”“ไม่เพียงแค่โอสถวิเศษ แม้แต่สมุนไพรธรรมดาสักต้น ข้าก็ไม่มีวันให้เจ้าเอาไปใช้รักษานาง!”“ส่วนเรื่องขอโทษชดเชย ข้าไม่ได้เห็นว่าสลักสำคัญอะไร!”“พวกเจ้าควรดีใจที่ตอนนี้ข้ายุ่งอยู่กับการรักษาคน จึงไม่มีเวลาจัดการกับนางเสียมากกว่า มิเช่นนั้นข้าคงเอาชีวิตนางไปแล้ว!”บาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นซานหู หากต้องการรักษาหายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น มีเพียงหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในมิติของนางเท่านั้นที่ให้ผลเช่นนั้นได้แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ก่อนนี้อวิ๋นซานหูเจตนาจะฆ่านาง อวิ๋นฝูหลิงก็ยิ่งโกรธเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนำหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณแสนล้ำค่านั้น มาใช้กับคนที่คิดจะฆ่าตนเองดิงหมิงรุ่ยรู้อยู่แก่ใจว่าตนผิด เห็นอวิ๋นฝูหลิงโกรธจัด แน่วแน่ไม่ยอมให้ยาใดๆ จึงเบนสายตาไปยังนายท่านหางแทนนายท่านหางรีบโบกมือทันที “สมุนไพรที่ข้าเตรียมมาล้วนให้แม่นางอวิ๋นยืมไปแล้ว ชาวบ้านบาดเจ็บกันไม่น้อย สมุนไพรแค่นี้ก็แทบไม่พอใช้แล้ว!”“แม้จะมียา แต่จากแผลญาติผู้น้องเจ้า หากไม่อยากให้มีแผลเป็น เกรงว่าจะไร้หนทางแล้ว”ดิงห
ติงหมิงรุ่ยมองตามอวิ๋นซานหูที่วิ่งออกไป เขาอดทอดถอนใจอย่างหนักภายในใจไม่ได้หากรู้แต่เนิ่นจะเป็นเช่นนี้ ไม่ไปเมืองหลวงเสียตั้งแต่แรกยังจะดีกว่าและถึงจะไป ก็ไม่ควรร่วมทางกับอวิ๋นซานหูแม้ว่าเขาจะได้ทายาให้บาดแผลของอวิ๋นซานหูแล้ว แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงแผลเป็นที่จะยังคงอยู่เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว เขากลัวว่าจวนจี้ชุนโหวจะนำเรื่องที่อวิ๋นซานหูเสียโฉมมากล่าวโทษเขาเขาควรทำอย่างไรดี?ติงหมิงรุ่ยพลันรู้สึกปวดหัวอย่างหนักเขาเงยหน้ามองเทือกเขาเรียงรายสลับซับซ้อนอยู่แต่ไกล พึมพัมเงียบงันว่าต้องรีบออกจากภูเขาเฟิ่งลั่วจึงจะดีที่สุดบัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นซานหูในมือเขามียาสมุนไพรไม่เพียงพอ ที่พอมีอยู่ก็เป็นเพียงยารักษาบาดแผลธรรมดา มีแต่ต้องออกจากเขาเฟิ่งลั่วไปยังเมืองใหญ่ จึงจะพอหาโรงโอสถได้เมื่อมีโรงโอสถก็สามารถซื้อยาสมุนไพรดีๆ อีกทั้งยังส่งข่าวไปทางจวนจี้ชุนโหวให้พวกเขาช่วยคิดหาหนทางได้อีกด้วย บาดแผลของอวิ๋นซานหูไม่อาจรอช้าได้ ยิ่งทิ้งระยะห่าง รอยแผลเป็นก็มีแต่จะลึกยิ่งขึ้นติงหมิงรุ่ยรีบไปหาหัวหน้าหมู่บ้านโจวในทันที ก่อนเอ่ยถามอย่างตรงเข้าประเด็น “หัวหน้าห
บาดแผลบนใบหน้าของนาง ล้วนเป็นเพราะแม่นางอวิ๋นผู้นี้ทั้งนั้น!บัดนี้นางเร่งจะรักษาแผลตน ไม่อาจนำเวลามาเสียกับเรื่องแม่นางอวิ๋นได้รอบาดแผลหายดีแล้ว ค่อยกลับมาชำระบัญชีแค้นกับแม่นางอวิ๋นก็ไม่นับว่าสายความแค้นนี้ นางจดลงบัญชีไว้เสียก่อนอวิ๋นซานหูพะวงแต่เพียงเรื่องบาดแผลของตนเอง ไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของเหล่าองครักษ์เลยแม้แต่น้อย ยืนกรานจะออกเดินทางทันทีแต่เมื่อชาวบ้านได้ยินว่านางจะไป ต่างก็ไม่ยินยอม พากันปิดทางขวางกั้นไม่ให้นางไปหากไม่ใช่เพราะนางแอบขโมยลูกเสือน้อยมา จนทำให้เสือขาวไล่ตามมาได้และโจมตีเหล่าชาวบ้าน มีหรือทุกคนจะบาดเจ็บล้มตายเช่นนี้?นางก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้แล้ว บัดนี้ยังคิดจะสะบัดก้นหนีไป มีหรือจะง่ายเช่นนั้นได้? โดยเฉพาะเครือญาติของสามคนที่เสียชีวิตไป ไหนจะเครือญาติของอีกห้าคนที่บาดเจ็บสาหัสปางตาย ต่างก็เกลียดชังอวิ๋นซานหูอย่างถึงที่สุดแม้ว่าทั้งห้าคนที่อาการสาหัสปางตายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่บาดแผลหนักหนาเช่นนั้น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือไม่?ชาวบ้านพากันลุกฮือขึ้น ขวางอวิ๋นซานหูเอาไว้เรียกร้องให้นางรับผิดชอบอวิ๋นซานหูเห็นดังนั้นก็หัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น
สมุนไพรที่อวิ๋นฝูหลิงใช้อย่างเปิดเผย ตลอดมาล้วนมีคังหมิงหย่วนเป็นผู้เก็บรักษา ดังนั้นเขาจึงรู้สรรพคุณการใช้งานของสมุนไพรเป็นอย่างดีในใจอวิ๋นฝูหลิงรู้ดีว่าชาวบ้านที่บาดเจ็บไม่อาจขาดยาได้ คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “สมุนไพรในภูเขานี้มีอยู่ไม่น้อย ข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรเดี๋ยวนี้”เซียวจิ่งอี้ได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะไปเก็บสมุนไพร ชาวบ้านหลายคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บต่างก็อาสาจะตามไปช่วยอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของพวกเขา ทั้งยังให้คังหมิงหย่วนร่วมทางไปด้วยในบรรดาพวกลูกพี่อู๋ แต่ไหนก็มีเพียงคังหมิงหย่วนที่สนอกสนใจในสมุนไพร เขามักตามอวิ๋นฝูหลิงไปจัดการเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่เนืองๆดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงไม่ได้หวงวิชาคอยชี้แนะให้เขาอยู่บ้างก่อนออกเดินทาง อวิ๋นฝูหลิงลูบหัวของอวิ๋นจิงมั่วเบาๆ ฝากฝังลูกพี่อู๋ให้ดูแลเขาให้ดียังไม่ทันที่ลูกพี่อู๋จะพยักหน้ารับ หัวหน้าหมู่บ้านโจวก็ชิงตอบขึ้นก่อนแล้ว “แม่นางอวิ๋นวางใจเถิด จิงมั่วมีพวกเราทุกคนคอยดูแล หมดห่วงเรื่องปัญหาไปได้เลย!”ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียงเหตุการณ์เสือขาวบุกโจมตี
“อาจารย์ของข้าบอกเสมอว่าไม่ว่าจะเป็นหมอซางหรือหมอจี๋ เพียงรักษาผู้คนได้ก็นับเป็นหมอดี ดังนั้นข้าติดตามท่านจึงได้เรียนรู้ไปเสียทุกอย่าง”นายท่านหางแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจออกมา“ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์โดยแท้ ความรู้และปัญญาเช่นนี้ หาใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจได้”นายท่านหางไม่ได้ดูถูกหมอซาง เพราะบรรพบุรุษตระกูลหางของพวกเขาก็เป็นหมอซางมาก่อนเช่นกัน ต่อมาได้รับโอกาสจึงได้ปลูกร่างสร้างฐานะขึ้นได้เช่นนี้หากเขาดูแคลนหมอซาง ก็เท่ากับดูแคลนบรรพบุรุษของตนทว่าผู้คนในสังคมกลับตามยกย่องหมอจี๋เสียมากกว่า และมองหมอซางด้วยสายตาดูแคลนเซียวจิ่งอี้หูผึ่งฟังบทสนทนาระหว่างอวิ๋นฝูหลิงและนายท่านหางอยู่ข้างๆเขาอยู่ในกองทัพ จึงย่อมได้ข้องแวะกับหมอซางอยู่บ่อยๆ ทว่าหมอทหารเหล่านั้นในกองทัพ เมื่อเทียบกับอวิ๋นฝูหลิงแล้ว ฝีมือเรียกได้ว่าห่างชั้นไปลิบลับเพียงฝีมือเย็บสมานแผลของอวิ๋นฝูหลิงที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ก็ทำให้เซียวจิ่งอี้ตกตะลึงได้แล้วนายทหารในชายแดนทุกครั้งที่เกิดการปะทะสู้รบ ก็จะมีพลทหารจำนวนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต้องสิ้นชีพเพราะบาดแผลภายนอกหากฝีมือการแพทย์ของแพทย์ทหารเทียบกับฝีมือ