เฉินเสียวเป่าถลึงตาอย่างลืมตัวหรือตอนที่เขาถีบพวกอวิ๋นจิงมั่วตกลงไป จะมีคนเห็นจริง?อวิ๋นฝูหลิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นมือไปจับคางเฉินเสียวเป่า ดวงตาเยือกเย็นน่ากลัวสองผัวเมียสะใภ้รองเฉินเห็นดังนั้นคิดจะเข้าไปช่วย แต่ถูกพวกลูกพี่อู๋คุมตัวไว้ทันทีน้ำเสียงอวิ๋นฝูหลิงเอื่อยเฉื่อย ราวกับทำให้คล้อยตาม“หากตอนนี้เจ้าเป็นฝ่ายพูดความจริง สามารถแก้ไขความผิด อย่างไรก็ยังเป็นเด็กดี พวกเราจะไม่ลงโทษเจ้า”“แต่หากรอให้พยานออกมาพูดเอง โทษของเจ้าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”เฉินเสียวเป่าหดคอ ดวงตากลิ้งกลอกไปมา ชั่วขณะนั้นสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังต่อสู้กันเฉินต้ายานึกว่าพยานที่อวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถึงคือตัวนางนางจึงแอบสูดหายใจเข้า แล้วตัดสินใจชี้ความผิดของเฉินเสียวเป่าเฉินเสียวเป่าชั่วช้ามากเกินไปแล้ว!หากไม่ใช่เพราะพวกนางช่วยพวกอวิ๋นจิงมั่วกลับมาทันเวลา ไม่แน่ตอนนี้อาจมีคนตายเฉินต้ายาเข้าใจดี หากนางเป็นพยาน ต้องถูกท่านย่าและท่านอากับอาสะใภ้ด่าว่าเห็นคนนอกดีกว่าแต่นางไม่กลัว ผิดชอบชั่วดีต้องแยกแยะให้ออก เป็นคนต้องไม่ทำเรื่องผิดบาป!อวิ๋นฝูหลิงหันมองเฉินต้ายาแวบหนึ่ง ทันใดนั้นตะโกนว่า “แม่นา
ทุกคนนึกถึงนาง ยามปกติหากช่วยเหลือได้ก็มักจะช่วยเหลืออยู่เป็นนิจนึกไม่ถึงว่านางเห็นเฉินเสียวเป่าทำร้ายผู้อื่น อีกทั้งเห็นทุกคนออกตามหาเด็กไปทั่ว กลับแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่พูดแม้แต่คำเดียวนี่...นี่มันเลือดเย็นเกินไป!อวิ๋นซานหูถูกเปิดโปง จึงลนลานอย่างมาก รีบหันมององครักษ์ที่ติดตามนางคนนั้นทันทีนางนึกว่าองครักษ์หักหลังนางองครักษ์รีบแก้ต่างทันที “คุณหนูสาม ไม่ใช่ข้า ท่านกำชับไม่ให้ข้าแพร่งพราย ข้าไม่เคยเอาไปพูดกับใครเลยแม้แต่คำเดียว”เดิมทีทุกคนก็เชื่ออยู่แล้วว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้โกหก เพื่อใส่ความอวิ๋นซานหูขณะนี้เมื่อเห็นสีหน้าลนลานกินปูนร้อนท้องของอวิ๋นซานหู และได้ยินสิ่งที่องครักษ์พูด ยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีกชั่วขณะนั้น ทุกคนเริ่มตำหนิอวิ๋นซานหูติงหมิงรุ่ยจ้องนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในแววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง“ญาติผู้น้อง เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”อวิ๋นซานหูโกรธจนกระทืบเท้า จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าไม่ได้ผลักพวกเขาให้ตกลงไปเสียหน่อย ต่อให้ข้ามองเห็นแล้วทำไม? ข้าอยากบอกก็บอก ไม่อยากบอกก็ไม่บอก พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”เมื่อพูดจบ นางก็ไม่มีแก่ใจ
เมื่อมีอวิ๋นฝูหลิงแสดงจุดยืนเป็นคนแรก พวกเจิ้งซื่อก็รีบเข้าร่วมทันที พวกชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ในไม่ช้าสถานการณ์จึงเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดเป็นเพราะยามปกติแม่เฒ่าเฉินนิสัยไม่ดี ทั่วทั้งหมู่บ้านไม่มีครอบครัวไหนที่สนิทสนมกับครอบครัวพวกนางบวกกับเรื่องราวในครั้งนี้เลวร้ายเกินไป ล้ำเส้นของทุกคน จึงต่างโกรธเคืองกันไปหมดครอบครัวไหนไม่มีลูกบ้าง ลองนึกย้อนดู หากวันนี้เด็กที่ถูกผลักลงไปเป็นลูกของตัวเอง...ใครบ้างจะไม่กลัว?ยิ่งกว่านั้นปกติเฉินเสียวเป่าเป็นเด็กเกเร ชอบรังแกคนอื่นไปทั่ว เมื่อครอบครัวที่ลูกถูกรังแกไปเอาเรื่องถึงบ้าน แม่เฒ่าเฉินก็เอาแต่ปกป้อง ยิ่งทำให้เฉินเสียวเป่ากลายเป็นเด็กเหลือขอทุกคนโกรธแค้นอยู่ในใจ วันนี้เมื่อบัญชีแค้นเก่าใหม่ผสมรวมกัน จึงดุดันกันทุกคนจึงไม่มีใครยินดีออกหน้ามาพูดแทนตระกูลเฉินหัวหน้าหมู่บ้านโจวเองก็โกรธเคืองไม่น้อยเพราะโจวฉางจี๋คือหลานชายคนโตของตระกูลโจว คือทายาทรุ่นต่อไปที่เขาฝากความหวังเอาไว้แต่ตอนนี้หลังจากตกลงไปจากเนินเขา หัวของเขากระแทกจนบวมเป่ง จะไม่ให้เขาปวดใจได้อย่างไร?หัวหน้าหมู่บ้านโจวยกมือขึ้น เพื่อหย
สะใภ้รองเฉินเห็นเฉินเหล่าเอ้อร์โยนความผิดทั้งหมดมาให้ตน จึงรีบเท้าเอวตอบโต้ทันควัน “เจ้าพูดเหลวไหล ลูกเป็นของข้าคนเดียวหรือ?”ชั่วขณะนั้นสองผัวเมียเฉินเหล่าเอ้อร์ทะเลาะกันเสียงดังกระนั้นไม่ว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบของครอบครัวนี้ที่ถูกขับออกไปอวิ๋นฝูหลิงถือโอกาสส่งสายตาให้สะใภ้ใหญ่เฉินสองแม่ลูกความผิดของเฉินเสียวเป่า ไม่ควรลากพวกนางสองแม่ลูกเข้าไปเกี่ยวข้องหากสองแม่ลูกสะใภ้ใหญ่เฉินฉลาดพอ ควรถือโอกาสนี้ตัดขาดกับตระกูลเฉินแรกเริ่มที่เฉินต้ายาได้ยินว่าพวกนางทั้งครอบครัวจะถูกขับออกไป ทำให้นางหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแต่ในไม่ช้านางตระหนักได้ว่านี่คือโอกาสโอกาสที่พ่อของนางจะได้แยกบ้านหลังจากแยกบ้าน ครอบครัวของนางไม่ต้องติดร่างแหเรื่องเฉินเสียวเป่า ไม่ต้องถูกขับออกจากขบวนอีกอย่างก่อนหน้านี้ถือว่านางมีส่วนช่วยแม่นางอวิ๋นเมื่อครู่แม่นางอวิ๋นส่งสายตาให้นางแล้ว แสดงว่าต้องออกหน้าแทนครอบครัวนาง เพื่อให้พวกนางได้อยู่ต่อแต่ใครจะไปคิดว่าเฉินต้ายายังไม่ทันได้ทำสิ่งใด แม่เฒ่าเฉินกลับตวาดเสียงดัง “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว! พวกเจ้าสองคนหุบปาก!”เฉินเหล่าเอ้อร
อวิ๋นฝูหลิงมองดูเงียบ ๆ มองปราดเดียวก็รู้แผนการของแม่เฒ่าเฉินแล้วความเป็นมนุษย์ย่อมเห็นแก่ตัวต่อให้รักหลานชายคนโตมากเพียงใด แต่เมื่อวิกฤตมาเยือนถึงตน ก็ยอมสละได้ต่อให้สองผัวเมียเฉินเหล่าเอ้อร์คัดค้านอย่างไร แต่เมื่อแม่เฒ่าเฉินยืนกราน สุดท้ายตระกูลเฉินก็ต้องแยกบ้านครอบครัวของเฉินเหล่าเอ้อร์ถูกขับออกจากขบวนหนีภัย แม้แต่สมบัติก็แบ่งได้เพียงผ้าห่มหนึ่งผืนกับเสบียงเพียงเล็กน้อยเพราะสะใภ้ใหญ่เฉินกับเฉินต้ายาขยันอดทน จึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านดังนั้นหลังจากแยกบ้าน จึงมีคนออกหน้าขอร้องแทนพวกนาง ครอบครัวเฉินเหล่าต้าจึงได้อยู่ต่อ ส่วนแม่เฒ่าเฉินที่อยู่กับครอบครัวเฉินเหล่าต้า ย่อมได้อยู่ในขบวนต่อไปแต่พวกอวิ๋นจิงมั่วต่างได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้เพื่อให้พวกตระกูลโจวหายโกรธและสามารถอยู่ต่อไปได้อย่างสงบ แม่เฒ่าเฉินตัดใจชดใช้ให้พวกเขาครอบครัวละห้าตำลึงเงินพวกเจิ้งซื่อได้รับเงินชดเชยหนึ่งก้อน และได้ไล่เฉินเสียวเป่าออกไป จึงจะยอมความโจวโหย่วเหลียงไล่ครอบครัวเฉินเหล่าเอ้อร์ทั้งสามคนออกจากค่าย “พวกเจ้าไปหาที่อื่นค้างแรมเถอะ ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้
สวี่ตงเป็นคนหน้าเด็ก ปีนี้อายุสิบเก้า เป็นคนที่นิสัยดีและมีความอดทนมากที่สุดในกลุ่มพวกเขาสวี่ตงรีบตอบรับ แล้วจูงมืออวิ๋นจิงมั่วไปเล่นอีกด้านหลังจากทั้งสองคนออกไป อวิ๋นฝูหลิงกวักมือเรียกพวกลูกพี่อู๋อีกสามคน พร้อมสั่งการเสียงค่อยหลังจากพวกลูกพี่อู๋ได้ยิน รีบคารวะทันที “แม่นางอวิ๋นวางใจได้ พวกเราจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”เมื่อดวงจันทร์ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า รอบด้านมีเสียงแมลงดังขึ้นเป็นระยะอวิ๋นซานหูเลิกผ้าห่มขนแกะบนตัวออก แล้วลุกขึ้นยืนเมื่อองครักษ์หน้าเหลี่ยมที่เฝ้ายามเห็นดังนั้น จึงเอ่ยถามทันที “คุณหนูสาม ท่านมีสิ่งใดให้รับใช้ขอรับ?”อวิ๋นซานหูมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าตามไปคุ้มกันข้าที”องครักษ์หน้าเหลี่ยมฟังแล้วเข้าใจทันที คุณหนูสามน่าจะอยากออกไปปลดทุกข์เขารีบปลุกองครักษ์คนอื่นให้ตื่นขึ้น มาเฝ้ายามแทนเขา ส่วนตัวเองเดินออกไปพร้อมอวิ๋นซานหูเมื่อเดินออกจากกระโจมไปสักระยะ อวิ๋นซานหูหันมองรอบด้าน ในไม่ช้าก็เลือกที่ได้แล้วนางหันไปเอ่ยกับองครักษ์หน้าเหลี่ยม “เจ้าหันหลังไป แล้วรออยู่ที่นี่ ห้ามแอบดูเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะควักลูกตาเจ้า!”องครักษ์หน้าเหลี่
ครั้นอวิ๋นซานหูไม่เห็นว่ามีใครคนไหนตอบเลย จึงเปลี่ยนจากท่าทีอ้อนวอนมาเป็นพ่นคำสาปแช่งออกมาแทนนางรู้ดีว่ามีคนทำร้ายนาง แต่ใครกันที่เป็นคนลงมือ?นางรีบนึกย้อนไปถึงเมื่อช่วงพลบค่ำที่พวกเด็ก ๆ อย่างพวกอวิ๋นจิงมั่วทั้งสี่คนหายตัวไปหากจะกล่าวถึงเรื่องผูกพยาบาทแล้ว ช่วงนี้ก็มีเพียงแค่เด็ก ๆ สี่คนนี้เท่านั้นที่แค้นเคืองนาง และเป็นไปได้มากว่าอาจเพราะนางไม่ได้พูดออกไปว่าเฉินเสียวเป่าลอบทำร้ายพวกเด็ก ๆ อย่างอวิ๋นจิงมั่วทั้งสี่คน เลยถูกครอบครัวของเด็ก ๆ ทั้งสี่คนแก้แค้นในหัวของอวิ๋นซานหูผุดภาพสถานการณ์ของบ้านตระกูลโจวและคนอื่น ๆ ขึ้นมาไม่หยุดกลุ่มชาวบ้านชั้นต่ำตามบ้านนอกคอกนา จะมีคนกล้าถึงขนาดลอบลงมือทำร้ายนางลับหลังเชียวหรือ?อีกทั้งนางยังร้องตะโกนอยู่นานขนาดนั้น ทว่าองครักษ์ผู้นั้นที่ติดตามนางมาด้วยกลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียวนี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!หลังจากที่อวิ๋นซานหูคิดใคร่ครวญดูแล้ว ก็รีบพุ่งเป้าไปที่อวิ๋นฝูหลิงทันทีคนที่มีทั้งแรงจูงใจ มีความกล้า และมีวิธีการทำเรื่องแบบนี้ เกรงว่าคงมีแต่นางคนเดียวเท่านั้นแหละ!อวิ๋นซานหูกัดฟันด้วยความคับแค้นใจจนฟันเงินแทบแหลก
เขารีบสั่งให้ผู้คุ้มกันทั้งหมดออกไปตามคนตัวคนทันทีเหล่าผู้คุ้มกันเร่งออกไปตามคำสั่งไม่นานนักก็พบตัวผู้คุ้มกันหน้าเหลี่ยมแซ่ฟางบริเวณไม่ห่างไกลจากค่ายนักผู้คุ้มกันแซ่ฟางนอนหลับสบายตลอดทั้งคืน เพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นานก็เห็นว่าผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งไล่ตามหาเข้ามาครั้นเห็นเขาก็ถามขึ้นทันที “คุณหนูสามล่ะ?”ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘คุณหนูสาม’ สติสตังของผู้คุ้มกันฟางก็ฟื้นกลับขึ้นมาทันที นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาตามคุณหนูสามออกมาปลดทุกข์ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงได้ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวในตอนนั้นเอง น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงก็ดังออกมาจากบริเวณไม่ห่างไกลนัก“ช่วยด้วย... ช่วยข้าด้วย...”ทันใดนั้นผู้คุ้มกันก็ฟังออกทันที “เป็นเสียงของคุณหนูสาม!”ผู้คุ้มกันทั้งกลุ่มรีบเดินตามเสียงไป ไม่นานนักก็เจอตัวอวิ๋นซานหูที่นอนอยู่ก้นหลุมเมื่อคืนนี้ อวิ๋นซานหูถูกเซียวจิ่งอี้สกัดจุดหย่าเสวีย[1]และจุดหมาเสวีย[2]ไว้ จึงได้เพียงนอนอยู่ในหลุมด้วยอาการตื่นตระหนกอับจนหนทางตลอดทั้งคืนจวบจนกระทั่งรุ่งสางฟ้าเปิด นางจึงรู้สึกว่าร่างกายของนางเริ่มจะขยับได้บ้างแล้ว ถึงได้ส่งเสียงร้องขอค
สถานการณ์ในจินโจวมีความซับซ้อน และเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเซียวจิ่งอี้หายตัวไป อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่มีทางมาเร็วเช่นนี้ที่จริงก่อนหน้านี้ในใจเทียนเฉวียนมีความสงสัยอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าคิดเรื่องนั้นอวิ๋นฝูหลิงเห็นท่าทางที่งงงวยของเทียนเฉวียน ก็เข้าใจแล้วว่าเขาไม่รู้เรื่องที่เซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนหายตัว“เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่?”“เจ้าเป็นองครักษ์ข้างกายของท่านอ๋อง เหตุใดไม่อยู่กับท่านอ๋อง?”เทียนเฉวียนหวนคืนสติ กล่าวตอบ “ท่านอ๋องเป็นคนให้ข้าน้อยอยู่เฝ้าที่นี่ และคอยจับตาดูสถานการณ์ของอ่าวเสี่ยวเยว่ขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ก็คืออ่าวเสี่ยวเยว่?”สถานที่ที่สกุลเวินลักลอบขนสินค้าก็คืออ่าวเสี่ยวเยว่เทียนเฉวียนยกมือชี้ “เมื่อผ่านป่าผืนนี้ไป อีกด้านของป่าก็คืออ่าวเสี่ยวเยว่”“ที่นี่อยู่สูง มองจากตรงนี้ สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของทางอ่าวเสี่ยวเยว่ได้อย่างชัดเจน”“ท่านอ๋องพบว่าสกุลเวินกำลังลักลอบค้าขายกับคนญี่ปุ่น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนนำขี้ผึ้งทองมา ดังนั้นจึงสืบเรื่องการลักลอบขนสินค้ามาโดยตลอด”“หลายวันก่อนทางอ่า
สถานที่ที่อวิ๋นฝูหลิงจะไปอยู่นอกเมืองจินโจว อยู่ไกลพอสมควรย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกอวิ๋นฝูหลิงจะเดินไปแต่น่าเสียดายที่ตอนออกจากหอหรูกุย ไม่มีม้าจากหอหรูกุยมาถึงร้านวัตถุโบราณของหลี่หยวน แทบจะข้ามครึ่งหนึ่งของเมืองจินโจวกลับไปเอาม้าที่หอหรูกุยตอนนี้ ระยะทางก็ไม่ได้ใกล้มากนักโชคดีที่เมืองจินโจวมีม้าและรถให้เช่ามากมาย ลองถามนายหน้าสักคนบนถนนก็สามารถเช่าได้แล้วหลี่หยวนนึกขึ้นได้ว่าพวกอวิ๋นฝูหลิงต้องเดินทางโดยม้า ดังนั้นก่อนพวกอวิ๋นฝูหลิงไป จึงบอกเรื่องนี้กับอวิ๋นฝูหลิงดังนั้นหลังจากอวิ๋นฝูหลิงกินบะหมี่เสร็จ ก็ลองถามชายชราเจ้าของร้านบะหมี่ดูชายชราตั้งร้านที่นี่ตลอด ย่อมรู้สถานการณ์ในละแวกนี้อย่างชัดเจนอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งใช้บริการร้านบะหมี่ ชายชราย่อมยินดีบอกทางนาง“ไปตามถนนสายนี้ แล้วเลี้ยวไปทางเหนือตอนแยกที่สอง”อวิ๋นฝูหลิงขอบคุณชายชราทั้งสามกินบะหมี่เสร็จ เหยากวงจ่ายเงิน ก็เดินเลียบถนนไปยังตลาดขายวัวและม้าแล้วยังไปไม่ถึงตลาดขายวัวและม้า ข้างทางก็มีร้านนายหน้าใหญ่ๆ แห่งหนึ่งอวิ๋นฝูหลิงไม่อยากเสียเวลา เข้าไปเช่าม้าสามตัวกับนายหน้าคนหนึ่งโดยตรงทั้งหมดนี้ใช้เวลาหนึ่งเค่อ
อวิ๋นฝูหลิงนึกถึงเรื่องนี้ กำลังจะเอ่ยปากถามว่าพวกเขาขายบะหมี่อะไรบ้าง ชายชราคนนั้นชิงกล่าวแนะนำก่อนหนึ่งก้าว “ร้านของพวกเรามีบะหมี่ธรรมดา บะหมี่น้ำมันเจียวต้มหอม บะหมี่เนื้อเส้น…”“บะหมี่เนื้อเส้นใช้เนื้อไก่กับน้ำแกงไก่ ราคาจะแพงกว่าเล็กน้อย ชามละสิบอีแปะ”เหยากวงเดินวนร้านบะหมี่หนึ่งรอบ หันมาเวลานี้พอดีนางพยักหน้าให้อวิ๋นฝูหลิงเบาๆอวิ๋นฝูหลิงเห็นดังนี้ จึงรู้ว่าร้านบะหมี่แห่งนี้สะอาดมากกินข้าวข้างนอก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือร้านไม่ใส่ใจเรื่องความสะอาดดังนั้นเมื่อไรที่กินข้าวข้างนอก อวิ๋นฝูหลิงจะใส่ใจเกี่ยวกับความสะอาดของร้านเป็นพิเศษเหยากวงติดตามอวิ๋นฝูหลิงมานาน ย่อมรู้นิสัยของนางดังนั้นเมื่อมาถึงร้านบะหมี่ เหยากวงก็ไปตรวจดูความสะอาดของร้านบะหมี่ก่อนแล้วมั่นใจว่าสะอาด จึงจะสามารถกินอย่างวางใจหลังจากอวิ๋นฝูหลิงฟังเถ้าแก่แนะนำ นางถามเหยากวงกับหูคุนอยากกินอะไรเมื่อเห็นว่าพวกนางกินได้หมด จึงสั่งบะหมี่เนื้อเส้นมาสามชามชายชราเห็นพวกเขาสั่งบะหมี่เนื้อเส้นที่แพงที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้นแล้วเขาตะโกนไปทางหญิงชราที่อยู่ข้างเตา “ยายเฒ่า บะหมี่เนื้อเส้นสามชาม”
เมื่อจ้าวเสวียซือได้ยิน ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างหงุดหงิดและกล่าว “ก็ได้!”จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวอีก “ตอนที่พวกเรามาจินโจว พาคนมาด้วยส่วนหนึ่ง ท่านอ๋องหายตัวไป ข้าได้รับบาดเจ็บหมดสติ ตอนนี้คนพวกนั้นทำอะไรไม่ถูกแน่นอน”“ข้าจะให้ที่อยู่แก่เจ้า เจ้าไปรวบรวมคนเหล่านั้น ช่วงที่เจ้าอยู่จินโจว ก็มีคนให้ใช้งานมากขึ้น”อวิ๋นฝูหลิงก็กำลังคิดจะหาคนเพิ่มพอดี เมื่อได้ยินก็ย่อมตอบตกลงทันที “เรื่องตามหาท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”“เจ้าทำใจให้สบาย พักฟื้นให้เต็มที่ ไว้อีกสองสามวันข้าจะมาดูเจ้าใหม่”อวิ๋นฝูหลิงกำชับจ้าวเสวียซือสองสามประโยค จึงจะจากไปการคำนวณเวลาในห้องลับอย่างแม่นยำนั้นเป็นเรื่องยาก หลังจากอวิ๋นฝูหลิงออกมา พบว่าตอนนี้เป็นตอนเที่ยงแล้วที่อยู่ที่จ้าวเสวียซือให้นางอยู่นอกเมืองถ้าหากรีบไปตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะสามารถไปถึงก่อนฟ้ามืดหรือไม่อวิ๋นฝูหลิงลังเลครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจได้แล้วนางตัดสินใจจะไปวันนี้เลย ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไร โอกาสที่จะตามหาเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนเจอก็ยิ่งมากเท่านั้นไม่แน่ว่าพวกคนที่อยู่นอกเมืองก็รู้อะไรบางอย่างเช่นกัน
“ยิ่งไปกว่านั้นมีสองคนนี้คอยดูแลในหอจินอวี้อยู่ ใครจะกล้าก่อเรื่องที่หอจินอวี้ได้?”“ดังนั้นชื่อเสียงของผู้นำใหญ่และรองผู้นำ จึงโด่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ”“ทว่าผู้นำใหญ่คนนั้น ไม่กี่ปีก่อนป่วยตายไปแล้ว รองผู้นำที่เหลืออยู่คนนั้น ก็ตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเช่นกัน”“ข้าคิดว่าการตายของรองผู้นำ ไม่ใช่แค่ข้ออ้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อตามหามือสังหารเท่านั้น”ประโยคสุดท้าย หลี่หยวนพูดแฝงความนัยอวิ๋นฝูหลิงเข้าใจขึ้นมาบ้าง และกล่าวต่อว่า “ที่ผ่านมาหอจินอวี้ถูกดูแลโดยผู้นำใหญ่กับรองผู้นำ ทั้งสองละทิ้งความชั่วหันเข้าสู่ความดี เพราะนายท่านใหญ่เวิน”“คิดว่าผู้นำใหญ่กับรองผู้นำเอาหอจินอวี้ไปรับผิดชอบ ก็เป็นเพราะนายท่านใหญ่เวินเช่นกัน”“พูดได้ว่าหลายปีมานี้หอจินอวี้อยู่ในมือของบ้านใหญ่มาโดยตลอด”“แม้ผู้นำใหญ่จะป่วยตายไปแล้ว ในหอจินอวี้ก็ยังมีรองผู้นำคอยดูแลอยู่ รองผู้นำเคยเป็นโจรมาก่อน ทั้งยังทำให้หอจินอวี้ยิ่งใหญ่มาด้วยกันกับนายท่านใหญ่เวิน แน่นอนว่าย่อมมีบารมีในหอจินอวี้”“ยามนี้นายท่านใหญ่เวินตายจากอุบัติเหตุ ลูกชายคนเดียวของเขาคุณชายใหญ่เวินก็ป่วยจนต้องนอนติดบนเตียง ไม่สนใจสิ่งใด”“กิจการทั้งห
อวิ๋นฝูหลิงแค่นเสียงเบาเสียงหนึ่ง “เจ้าต้องขอบคุณข้าด้วย”“หากข้ามาช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน บาดแผลบนร่างของเจ้า แม้แต่เทพเซียนคงยากจะช่วยแล้ว!”จ้าวเสวียซือผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “ใช่ ๆ ๆ โชคดีมากที่พี่สะใภ้มาทันเวลา ด้วยฝีมือแพทย์ที่เหนือชั้น จึงช่วยชีวิตข้าไว้ได้!”อวิ๋นฝูหลิงเห็นเขายังคงมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเมื่อก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเช่นกัน“เมื่อเป็นเช่นนี้ มือสังหารที่สกุลเวินตามหาตัวไปทั่ว น่าจะเป็นเจ้าหรือไม่ก็คนที่ส่งเสียงโดยไม่ระวังผู้นั้น”จ้าวเสวียซือพยักหน้า “น่าจะใช่”“แต่เรื่องการตายของรองผู้นำของหอจินอวี้ ข้าไม่รู้จริงๆ”“คืนนั้นหลังจากที่ถูกพบ ข้าต่อสู้กับคนของหอจินอวี้มากมาย ยามนั้นมันชุลมุนมาก เพื่อหนีออกมา ข้าก็ฆ่าคนของหอจินอวี้ไปหลายคน ทว่าในบรรดานั้นมีรองผู้นำคนนั้นหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้”“เรื่องที่คืนนั้นพวกเวินเจาทั้งสามคนมาพูดคุยกัน ไม่อาจแพร่งพรายออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว”“ไม่เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นโทษฐานเรื่องใด ก็ล้วนเพียงพอที่สกุลเวินจะถูกจับกุมมาสอบสวนทั้งสกุลได้!”อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ดังนั้นจากมุมมองของพวกเวินเจา เจ้ากับ
“เขารับปากว่าจะมอบธัญพืชสองลำเรือให้คนญี่ปุ่นคนนั้น แต่คนญี่ปุ่นจะต้องเอาอาวุธมาแลกเปลี่ยน”อวิ๋นฝูหลิงเลิกคิ้วขึ้น “เวินเจาต้องการแลกเปลี่ยนกับอาวุธ เขาคิดจะทำอะไร? หรือสกุลเวินคิดจะก่อกบฏ?”ยามนี้ใต้หล้าสงบสุข ทะเลทั้งสี่ก็สงบสุขฮ่องเต้จิ่งผิงก็นับเป็นฮ่องเต้ที่ดีทุ่มเทกำลังทำให้แคว้นรุ่งเรือง แม้ว่าชีวิตของประชาชนจะไม่ได้มั่งมี แต่ก็ดีกว่าช่วงหลายปีก่อนที่บ้านเมืองวุ่นวายเพราะสงครามภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ใครกันจะคิดสั้นก่อกบฏ?ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเวินก็เป็นสกุลที่สืบทอดต่อกันมายาวนานในจินโจว ในสกุลยังมีลูกหลานจำนวนไม่น้อยที่รับราชการเจ้าหน้าที่ทางการที่รับผิดชอบจินโจว เกือบทั้งหมดล้วนทุ่มเทสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสกุลเวิน เพราะเกรงว่าหากไปล่วงเกินสกุลเวินซึ่งเป็นเจ้าถิ่น จะทำให้ชีวิตในจินโจวไม่สู้ดีในระดับหนึ่ง สกุลเวินก็นับว่าเป็นฮ่องเต้ของจินโจว ต้องการเงินก็ได้เงิน ต้องการอำนาจก็มีอำนาจเวินเจาในฐานะลูกชายคนโตของบ้านรอง ในสถานการณ์ที่บ้านใหญ่ไร้ข่าวคราวและเริ่มเสื่อมถอย ตำแหน่งผู้นำสกุลเวินในอนาคต มีความเป็นไปได้สูงที่จะมาอยู่ในมือของเวินเจาทิ้งอนาคตที่ยอดเยี่ยมไป
อวิ๋นฝูหลิงได้ยินว่าคนญี่ปุ่น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นคนญี่ปุ่น?”จ้าวเสวียซือพยักหน้า น้ำเสียงมั่นใจ “จิวโจวอยู่ติดทะเล มีพ่อค้าต่างชาติจำนวนไม่น้อยไปมาเพื่อทำการค้า ข้าอยู่ที่จินโจวมาหลายวันขนาดนี้ จะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไร?”“ดูจากการแต่งตัวของคนผู้นั้น รวมถึงสำเนียงที่พูด ต้องเป็นคนญี่ปุ่นแน่นอน!”ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ อวิ๋นฝูหลิงก็ล้วนไม่มีความรู้สึกดีอันใดกับคนญี่ปุ่นเลยมักจะรู้สึกว่าชาวเกาะที่อาศัยอยู่ในสถานที่เล็ก ๆ แห่งนั้น ไม่ได้มีดีอันใดเก็บซ่อนไว้การลักลอบซื้อขายสินค้าผิดกฎหมายครั้งนี้ ไม่แน่สกุลเวินอาจจะร่วมมือกับคนญี่ปุ่นทั้งสองฝั่งฝ่ายหนึ่งดูแลภายใน อีกฝ่ายหนึ่งดูแลภายนอก ฝ่ายหนึ่งทำการนำเข้า อีกฝ่ายหนึ่งทำการส่งออก ร่วมมือกันย่อมยิ่งสะดวกการลักลอบซื้อขายสินค้าผิดกฎหมายไม่เพียงแต่เป็นการนำสิ่งของภายนอกเข้ามา แต่ยังสามารถเอาของในประเทศตัวเองขายให้ต่างชาติได้ด้วยขี้ผึ้งทองที่ขายอยู่ในหอจินอวี้ของสกุลเวิน ไม่แน่ว่าที่มาของขี้ผึ้งทอง อาจจะเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นจิตใจของอวิ๋นฝูหลิงสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปถามต่อว่า “หลังจากน
“จากการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขา พวกเราจึงรู้ว่าสกุลเวินเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งขี้ผึ้งทองก็ถูกลักลอบนำเข้ามาเช่นกัน” “แต่เรื่องการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายทำโดยบ้านรองสกุลเวินเป็นหลัก บ้านสามอิจฉาผลประโยชน์ส่วนนี้ จึงอยากเข้าร่วมด้วย และแบ่งผลประโยชน์มาส่วนหนึ่ง”“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ทางการท้องถิ่นของจินโจวก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน”“หลังจากได้รับเบาะแส ท่านอ๋องก็หันไปเริ่มตรวจสอบสกุลเวิน”ราชวงศ์ต้าฉีเริ่มเปิดการค้าทางทะเล ดังนั้นพ่อค้าบริเวณชายฝั่งจึงต่างได้รับผลประโยชน์ และได้รับกำไรมากมายขอเพียงจ่ายภาษีให้ครบถ้วน และสินค้าที่ซื้อขายไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวกับอาวุธสงครามที่ควบคุมโดยราชสำนักอย่างพวกเสบียง อาวุธหนัก ม้า และเกลือ ทางราชสำนักก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการค้าทางทะเลระหว่างประเทศโพ้นทะเลกับราชวงศ์ต้าฉีแต่ก็มักจะมีเหล่าผู้คน ที่โลภมากไม่รู้จักพอเห็นได้ชัดว่าทำกำไรได้มากมาย แต่ก็มักจะยังอยากได้เงินมากกว่าเดิม แม้แต่ภาษีเล็กน้อยก็ยังไม่อยากจ่ายด้วยเหตุนี้จึงทำการลักลอบค้าขายสินค้าผิดกฎหมายแม้ราชสำนักจะตรวจสอบและปราบปรามอย่างเข้มงวดมา