ลูกพี่อู๋เข้าไปกระชากเฉินเหล่าเอ้อร์ออกมาทันที พลันชกใส่เขาอย่างแรงทีหนึ่งเฉินเหล่าเอ้อร์ร้องคร่ำครวญเหมือนเสียงฆ่าหมูทันที“พอแล้ว พอแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนสอน…”ลูกพี่อู๋ไม่คิดจะหยุด กระหน่ำหมัดใส่บนกายของเฉินเหล่าเอ้อร์ราวกับสายฝนพริบตานั้น ทั่วท้องฟ้าเหนือค่ายเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญของเฉินเหล่าเอ้อร์สะใภ้รองเฉินสงสารสามีของตัวเอง รีบวิ่งเข้าไปห้าม “พอได้แล้ว พวกเราไม่ได้เป็นคนสอนลูกพูดจริงๆ!” สะใภ้รองเฉินไม่เคยสอนเฉินเสียวเป่าพูดคำพูดเช่นนั้น คำพูดที่หยาบคายเช่นนั้น แม้แต่นางก็ไม่สามารถพูดออกจากปาก นับประสาอะไรกับสอนลูกล่ะ!อีกทั้งนางรู้จักสามีของตัวเองดี เขาถูกทำร้ายจนอนาถเช่นนั้นก็ไม่ยอมรับ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำจริงๆจู่ๆ ก็เกิดประกายขึ้นในสมองของสะใภ้รองเฉินถ้าหากไม่ใช่พวกนางสองสามีภรรยา เช่นนั้นคนที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือแม่สามีของนางแล้วในใจสะใภ้รองเฉินทั้งเกลียดทั้งโกรธทันทีลูกชายเป็นแก้วตาดวงใจของนาง ย่อมหวังว่าวันข้างหน้าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จ มีอนาคตไกลแต่ลูกชายเพิ่งอายุแค่นี้ ก็ถูกแม่สามีสอนอะไร?คำพูดหยาบคายเช่นนั้น อย่าว่าแต่ลูกชายหัดพูดตามเลย ไม่
“ถูกต้อง!” ลูกพี่อู๋เอ่ยปากกล่าวในเวลาที่เหมาะสม “ก่อนหน้านี้แม่นางอวิ๋นเคยช่วยชีวิตพวกเรา พวกเราพี่น้องสาบานว่าจะติดตามและรับใช้แม่นางอวิ๋นตั้งแต่นั้น”ลูกพี่อู๋พูดโกหกหน้าด้านๆ โดยตรง ถูกบังคับให้กินยาพิษ เรื่องที่ขายหน้าเช่นนี้ เขาอยากให้มีคนรู้มากขึ้นก็บ้าแล้ว!จางซานมู่ก็พยักหน้าสนับสนุนอย่างมีไหวพริบเช่นกันพวกเขาทุกคนรู้ดี หากวันนี้ไม่อธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน คำครหาก็จะมาตกบนตัวของพวกเขากับแม่นางอวิ๋นแล้วชาวบ้านที่มามุงดูเผยให้เห็นสีหน้าที่เข้าใจแล้วทันที ถึงว่าหลายวันนี้ พวกลูกพี่อู๋ช่วยอวิ๋นฝูหลิงทำโน่นทำนี่ตลอดพวกเขาว่าแล้ว แม่นางอวิ๋นไม่ใช่คนเช่นนั้น!เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็แสดงออกว่าเชื่อความบริสุทธิ์ของแม่นางอวิ๋นกับพวกลูกพี่อู๋ ลูกพี่อู๋กุมใบหน้าข้างที่บวม ชายตามองเซียวจิ่งอี้โดยไม่รู้ตัวต่อให้แม่นางอวิ๋นกับพวกเขาบริสุทธิ์ แต่คนคนนี้ไม่แน่หากไม่มีเรื่องลับลมคมในอะไร ใครจะแบ่งสัตว์ที่ตัวเองล่ามาให้ผู้อื่นอย่างใจกว้าง?เซียวจิ่งอี้รู้สึกถึงสายตาของลูกพี่อู๋ ไม่รอให้เขาเปิดปาก ก็กล่าวอย่างเย็นชาแล้ว “ข้าทำอาหารไม่เก่ง จึงรวมกลุ่มกับแม่นางอวิ๋น โดยมอบสัตว์ที่ล่
แม้หัวหน้าหมู่บ้านโจวไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ความหมายในคำพูดนั้นชัดเจนมากถ้าหากสกุลเฉินไม่สำนึกผิด ยอมรับคำครหาว่าเป็นคนเนรคุณ ก็ไล่พวกเขาออกจากหมู่บ้านไม่พูดถึงคำว่าเนรคุณนั้นไม่น่าฟังเพียงใดก่อน เมื่อไรที่แบกชื่อเสียงเช่นนี้ ต้องถูกผู้คนนินทาลับหลังแน่นอน แม้แต่เรื่องแต่งงานของลูกหลานในวันข้างหน้าก็กลายเป็นเรื่องลำบากเฉพาะเรื่องที่ถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน ก็พอที่จะทำให้แม่เฒ่าเฉินกลัวแล้วถ้าหากพวกเขาทั้งครอบครัวถูกไล่ออกจากขบวน ในป่าในเขาแห่งนี้ เกรงว่ามีแต่ตายสถานเดียวแม่เฒ่าเฉินอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เริ่มกลัวจริงๆ แล้วนางฝืนเค้นรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา กล่าวกับอวิ๋นฝูหลิง“แม่นางอวิ๋น ข้าขอโทษ เป็นเพราะข้าถูกความโลภบางตา จึงทำเรื่องบัดซบลงไป”“เจ้าเป็นคนใจกว้าง อย่าถือสาคนแก่อย่างข้าเลยนะ”“บุญคุณที่เจ้ามีต่อสกุลเฉินของเรา ข้าล้วนจดจำไว้ในใจ ชาตินี้ไม่มีวันลืม”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดี ละเว้นพวกเราสักครั้งเถอะ ชาติหน้าข้าขอเป็นวัวเป็นควายตอบแทนเจ้า!”ใบหน้าครึ่งหนึ่งของแม่เฒ่าเฉินบวมเป่ง ยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้สีหน้าอวิ๋นฝูหลิงไร้อารมณ์ ล้วงมีดผ่าตัดเล่มหนึ่งออ
เช็ดขึ้นเช็ดลงอยู่พักใหญ่ จึงจะล้างเนื้อล้างตัวให้แม่เฒ่าเฉินจนสะอาดแม่เฒ่าเฉินรู้สึกว่าสะอาดแล้ว จึงจะแสร้งค่อยๆ ลืมตาขึ้นฟื้นคืนสติเมื่อเห็นสะใภ้ใหญ่เฉินที่อยู่ข้างๆ แม่เฒ่าเฉินก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ทันที จู่ๆ ก็เหวี่ยงฝ่าใส่นางอย่างแรงสะใภ้ใหญ่เฉินเหนื่อยมาครึ่งค่อนวัน สุดท้ายกลับโดนตบ เบ้าตาแดงก่ำทันทีเฉินต้ายารีบวิ่งเข้ามา ปกป้องอยู่ตรงหน้าของสะใภ้ใหญ่เฉิน “ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”เฉินเหล่าต้าอึ้งไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วมองไปทางแม่เฒ่าเฉิน “ท่านแม่ นี่ท่านทำอะไร?”หลังจากเฉินเหล่าเอ้อร์กับสะใภ้รองเฉินสบตากันแวบหนึ่ง ก็หันหน้าไปทางอื่น ต่างก็ทำหน้าเฉยเมยเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองแม่เฒ่าเฉินด่าทอ “นางแพศยา เจ้าเห็นข้าเป็นเช่นนี้ ในใจเจ้าคงพอใจมาก ดีใจมากเลยกระมัง?”“แม่สามีถูกทำร้าย เจ้าที่เป็นลูกสะใภ้ กลับไม่เข้ามาช่วย เอาแต่ยืนดูอยู่ข้างๆ”“ข้าตีเจ้าให้ตาย ไอ้คนเห็นขี้ดีกว่าไส้!”“นางแม่ไก่ที่ออกไข่ไม่เป็น ข้าตีเจ้าให้ตาย เจ้ากำลังจะทำให้ลูกชายคนโตของข้าไร้ผู้สืบสกุล!”แม่เฒ่าเฉินพลางกล่าว พลางฟาดฝ่ามือใส่สะใภ้ใหญ่เฉินไม่ยั้งในความเป็นจริง ก่อนหน้านี้นางคิดแต่จะ
ทันทีที่พวกแม่เฒ่าเฉินไป เฉินต้ายาก็รีบกอดสะใภ้ใหญ่เฉินพลางปล่อยโฮ “ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บหรือไม่?”“แม่ไม่เป็นอะไร” สะใภ้ใหญ่เฉินส่ายศีรษะ ดึงเฉินต้ายาเข้ามาตรวจดูบาดแผลร่างกายของนางเมื่อครู่ตอนที่แม่เฒ่าเฉินตีนาง ลูกสาวก็ถูกตีหลายครั้งเพราะปกป้องนางเฉินต้ายามองสะใภ้ใหญ่เฉิน จู่ๆ ก็กล่าวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย “ท่านแม่ ท่านหย่าเถอะ พวกเราไปจากสกุลเฉินดีหรือไม่?”เฉินต้ายารู้สึกพอกันทีกับชีวิตที่เป็นวัวเป็นควาย และยังถูกทุบตีถูกรังแกเช่นนี้แล้ว เดิมทีในใจนางยังมีความหวังเล็กน้อย รู้สึกว่ามีพ่อของนางอยู่ สักวันพวกนางจะสามารถก้าวผ่านมันไปได้แต่ฝ่ามือเมื่อครั้งที่แล้ว ได้ทำลายความอบอุ่นเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในใจเฉินต้ายา และทำให้นางได้เห็นแล้วว่า ในใจของพ่อนาง ท่านย่าจึงจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด นางกับแม่นางรวมกันก็สู้ไม่ได้และยังมีเรื่องเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าที่ท่านย่าทำร้ายแม่นางเพราะไม่มีที่ระบายแต่พ่อของนางนอกจากพูดห้ามปรามคำสองคำ ก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยคนที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่สามารถปกป้องนางกับแม่ ไม่คู่ควรเป็นพ่อของนางเฉินต้ายาเคยคิดเรื่องแยกบ้าน โดยครอบครัวของ
ชนชั้นต่ำบ้านนอกก็คือชนชั้นต่ำ หยาบคายที่สุด!อวิ๋นซานหูกับติงหมิงรุ่ยกำลังพูดอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเหล่าเอ้อร์ อวิ๋นซานหูเบะปากอย่างไม่ใส่ใจถูกคนกระทืบมา ไม่เจ็บตัวสิถึงจะแปลก!หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนี้ ติงหมิงรุ่ยไม่ค่อยชอบคนสกุลเฉินนักแต่ด้วยหน้าที่ในฐานะที่เขาเป็นหมอ ท้ายที่สุดก็ทำให้เขาลุกขึ้นมาดูเฉินเสียวเป่าติงหมิงรุ่ยตรวจอย่างละเอียดครู่หนึ่ง พบว่าเฉินเสียวเป่ามีแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยตามร่างกาย ไม่ได้สาหัสอะไรจากนั้นก็ลองตรวจชีพจรเฉินเสียวเป่าชีพจรของเฉินเสียวเป่านั้นแข็งแรงมีพลัง แต่เหมือนจะเต้นเร็วไปหน่อยพลันสีหน้าติงหมิงรุ่ยเคร่งขรึม จู่ๆ ก็เหลือบเห็นบนใบหน้าเฉินเสียวเป่า เหมือนมีผงสีขาวติดอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะตรงจมูกเยอะที่สุดเขารีบใช้ใบไผ่ขูดผงเหล่านั้นลงบนผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดผืนหนึ่งจากนั้นก็หยิบผงขึ้นมาเล็กน้อย ดมแล้วดมอีกเบาๆเขาคลุกคลีกับยาตั้งแต่เด็ก ระบุได้ในทันทีว่าผงนี้มีส่วนผสมของผงดอกลำโพง ขิงแห้งและอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว ยังผสมผงยาอีกหลายชนิด เพียงแต่ชั่วขณะเขาก็บอกไม่ได้แต่สรรพคุณของผงสีขาวนี้ ในใจเขามีคำตอ
อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้า พบว่าเป็นโจวฉางจี๋หลานชายของหัวหน้าหมู่บ้าน นางกล่าวกับอวิ๋นจิงมั่วทันที “ไปเล่นเถอะ”ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนเริ่มเล่นด้วยกันตั้งแต่เมื่อไร อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหนึ่งเพราะลูกมีเพื่อนสักคนก็เป็นเรื่องดีสองเพราะอุปนิสัยของสกุลโจวดี เป็นครอบครัวที่คุ้มค่าแก่การคบหานางก็ค่อนข้างชอบโจวฉางจี๋ที่หน้าตาใสซื่อ สนุกเฮฮาทั้งวันเช่นกันเด็กๆ เล่นกันในค่าย ไม่ได้วิ่งไปทั่ว ผู้ใหญ่เงยหน้าก็มองเห็นในปราดเดียว สามารถวางใจได้อวิ๋นจิงมั่ววิ่งไปถึงตรงหน้าโจวฉางจี๋ จึงจะพบว่าข้างหลังเขามีเด็กสองคนที่โตกว่าเล็กน้อยยืนอยู่“พี่ฉางจี๋ พวกเขาเป็นใคร?” อวิ๋นจิงมั่วมองพวกเขาสองคนอย่างอยากรู้อยากเห็นโจวฉางจี๋วางมือบนไหล่ของทั้งสองอย่างโผงผาง เขากล่าวแนะนำ “นี่คือหู่โถว นี่คือชุนเซิง พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ต่อไปพวกเราสี่คนก็คือเพื่อนกัน”จู่ๆ อวิ๋นจิงมั่วก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นสองคน เขากล่าวอย่างมีความสุขทันที “ข้าชื่อจิงมั่ว ต่อไปพวกเราเล่นด้วยกันนะ!”หู่โถวท่าทางกำยำและน่าเอ็นดูสมชื่อ ดูกระปรี้กระเปร่ามากส่วนชุนเซิงอายุมากสุดในบรรดาทั้งสี่ รูปร่างผอมสูง ขี้
ลูกพี่อู๋และคนอื่นทยอยกันลงมือกินทันทีวิธีกินเนื้อกวางยองในวันนี้ ไม่ค่อยเหมือนหลายวันก่อนที่พวกเขากินเมื่ออมเข้าปาก ทั้งหอมทั้งเผ็ด และยังสำลักเล็กน้อย แต่กลับทำให้ไม่สามารถหยุดกิน กินหมดหนึ่งชิ้นก็อยากกินอีกหนึ่งชิ้นเซียวจิ่งอี้สูดปาก “ซีด” ไม่หยุด พลางขยับตะเกียบอย่างไวรสชาติที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์นี้ เขาก็เพิ่งเคยกินครั้งแรกเช่นกัน กลับทำให้รู้สึกติดใจอวิ๋นฝูหลิงตักเนื้อกวางยองที่ไม่ได้ใส่พริกให้อวิ๋นจิงมั่วหนึ่งถ้วยอวิ๋นจิงมั่วมองลูกพี่อู๋และคนอื่นกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วมองของสีแดงชั้นที่ลอยอยู่ในหม้อ ไม่เหมือนเนื้อกวางยองในถ้วยของเขาอย่างเห็นได้ชัด อดไม่ได้ที่จะแอบยื่นตะเกียบออกไปอวิ๋นฝูหลิงกดตะเกียบของเขาลงทันที จากนั้นเลือกเนื้อกวางยองที่ชิ้นเล็กสุดจากหม้อให้เขา“เจ้าอยากกิน ก็ให้เจ้าลองกินหนึ่งชิ้นก็แล้วกัน”ชีวิตก็ควรจะลองเยอะๆ ไม่ได้ลองด้วยตัวเอง จะรู้ได้อย่างไรว่าชอบหรือไม่ชอบ?“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่!”อวิ๋นจิงมั่วยิ้มจนหน้าบานทันที เขางับกัดลงไปหนึ่งคำทว่าทันใดนั้น เขาคลายเนื้อทิ้งทันที และแลบลิ้นไม่หยุด เผ็ดจนน้ำตาแทบไหลอวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัวไว้ก่อนแ
พวกหัวหน้าหมู่บ้านโจวได้ยินก็ตกตะลึงบทสนทนาแบบเดียวกันนี้ เกิดขึ้นที่บ้านของหู่โถวกับชุนเซิงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอวิ๋นฝูหลิงและเซียวจิ่งอี้ เหตุใดจู่ ๆ เซียวจิ่งอี้ก็กลายเป็นพ่อที่แท้จริงของอวิ๋นจิงมั่ว แต่ทั้งสามสกุลรวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านโจวก็หาใช่ว่าจะไม่มีไหวพริบและกาลเทศะทั้งสามสกุลต่างก็เตือนลูกของตนว่าอย่าพูดเสียงดังไปถึงข้างนอกทว่าไม่จำเป็นที่พวกโจวฉางจี๋จะต้องป่าวประกาศเรื่องนี้ เรื่องที่พวกเขานั่งรถม้าไปเล่นในเมืองกับอวิ๋นจิงมั่ว และนำของขวัญกองหนึ่งกลับมา ก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วในหมู่บ้านมีผู้คนมากมายที่เฝ้ามองอยู่ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเห็น ดังนั้นเรื่องนี้จึงมิอาจปิดบังได้มีหลายครอบครัวที่เห็นพวกโจวฉางจี๋ได้รับผลประโยชน์ ก็อิจฉาตาร้อน จนอดไม่ได้ที่จะต่อว่าลูกตัวเองหากลูกตัวเองประจบเก่งเหมือนพวกโจวฉางจี๋ จนได้ไปเล่นกับอวิ๋นจิงมั่ว วันนี้คนที่ได้รับของขวัญย่อมเป็นพวกเขาอวิ๋นฝูหลิงยังไม่รู้เรื่องราว ยามนี้กำลังมองเซียวจิ่งอี้ที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่คิ้วขมวดมากขึ้นเซียวจิ่งอี้อธิบายโดยพลันว่า “ข้าจัดการสวนอิ่งเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ข้าต้อง
“พี่โจวฉางจี๋ พี่ชุนเซิง พี่หู่โถว รีบขึ้นรถเร็ว”อวิ๋นจิงมั่วโผล่ศีรษะออกมาจากรถม้า และโบกมือให้ทั้งสามคนทั้งสามคนที่รออยู่ข้างทางคือโจวฉางจี๋ หู่โถว และชุนเซิงลูกพี่อู๋เห็นเช่นนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นพวกเหยากวงมีท่าทียิ่งเฉย ก็ยังคิดว่าอวิ๋นฝูหลิงรู้เรื่องที่เด็กทั้งสี่คนจะไปที่เมืองแล้วเขากระโดดลงมาจากรถม้าโดยพลัน และอุ้มพวกโจวฉางจี๋ทั้งสามคนขึ้นมาบนรถม้าพวกเหยากวงเห็นการกระทำของลูกพี่อู๋ ก็เข้าใจผิดว่าเรื่องนี้อวิ๋นฝูหลิงอนุญาตแล้วพวกเขาเป็นเพียงผู้น้อย จึงได้แต่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย หลีกเลี่ยงการพูดให้มากความ และไม่ก้าวก่ายมากเกินไปความเข้าใจผิดอันยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้แผนการของอวิ๋นจิงมั่วดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเมื่อวานอวิ๋นจิงมั่วได้พบพวกเพื่อน ๆ หลังจากไม่ได้เจอมานาน เมื่อแบ่งขนมและฝักบัวให้ ก็ย่อมอยากอวดชีวิตที่มีความสุขของตนที่สวนอิ่งสิ่งที่อยากโอ้อวดมากที่สุดก็คือ เขามีพ่อแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของเขายังเก่งกาจมาก และดีมากด้วย!ดียิ่งกว่าพ่อของพวกโจวฉางจี๋เสียอีก!พวกเพื่อน ๆ ต่างก็แข่งกันพูดว่าพ่อของตัวเองดีที่สุดอีกทั้งยังสงสัยในคำพูดข
ทุกคนต่างก็เป็นเด็กในหมู่บ้าน จู่ ๆ มีองครักษ์เพิ่มขึ้นมา ก็มักจะดูไม่เข้าพวกแต่พวกสวี่ตงมักจะผลัดกันไปดูแลอวิ๋นจิงมั่ว คนในหมู่บ้านจึงล้วนเคยชินกันหมดอวิ๋นฝูหลิงเก็บข้าวของ และไปหาเจิ้งซื่อสะใภ้ใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้านโจวทางด้านสวนสมุนไพรกับโรงปรุงยายังไม่มีข่าวคราว แต่นางกลับสามารถจ้างคนมาทำยาได้ก่อนแล้วเมื่อเจิ้งซื่อได้ฟังความคิดของอวิ๋นฝูหลิง ก็ดีใจเป็นอย่างมากนี่เป็นเรื่องดียิ่งที่สามารถหาเงินได้เจิ้งซื่อกุมมืออวิ๋นฝูหลิง และกล่าวขอบคุณ “แม่นางอวิ๋น ขอบคุณเจ้ามากที่มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้แล้วนึกถึงข้า เรื่องนี้ข้าจะทำให้ดีแน่นอน!”อวิ๋นฝูหลิงตบมือของนางเบา ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่างก็มีมิตรภาพต่อกัน ข้าย่อมไม่ลืมเจ้าแน่นอน”“เจ้าช่วยหาคนที่มีฝีมืออีกสักสามคนหน่อย วันหนึ่งให้ค่าแรงสามสิบอีแปะ”“แต่ข้าขอบอกก่อนว่า ต้องเลือกคนให้รอบคอบ ขอเป็นคนที่มีความสามารถและละเอียดอ่อน”“นี่คือกิจการทำยาของข้า ไม่อาจประมาทได้ หากทำผิดพลาดไป อาจมีคนต้องถึงแก่ชีวิต!”อวิ๋นฝูหลิงรับสมัครคนเป็นครั้งแรก ไม่ได้วางแผนจะรับสมัครมากเกินไป แค่สี่คนก็เพียงพอแล้วลองดูก่อน หากทำงานร่วมกัน
สกุลเฉินทะเลาะกันครั้งใหญ่สะใภ้ใหญ่เฉินพูดตามตรงว่า ทุกคนต่างก็แยกบ้านกันแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องดูแลคนของบ้านรองที่มากินดื่มอยู่ที่บ้านพวกเขาทุกวันหากเฉินเหล่าต้ายังเป็นห่วงน้องชายกับหลานชาย ก็หย่าขาดกันไปเสีย หลังจากนั้นเขาจะไปกับน้องชายและหลานชายก็ได้เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าจะหย่า ก็เงียบลงโดยพลันแม่เฒ่าเฉินเห็นเช่นนั้น ก็ดุด่าเฉินเหล่าต้าว่าโหดเหี้ยมไม่สนใจน้องชายกับหลานชายสะใภ้ใหญ่เฉินเถียงแม่เฒ่าเฉินตามตรง บอกว่าถ้าเป็นห่วงลูกชายคนเล็กกับหลานชายคนโตมากนัก ไม่สู้ไปอยู่กับบ้านรองของนางเลยจะดีกว่าแม่เฒ่าเฉินถูกทำให้พูดไม่ออก และเริ่มร้องไห้โวยวายว่าจะผูกคอตัวเองทว่าครานี้สะใภ้ใหญ่เฉินกลับมีท่าทีแข็งกร้าวกว่าเดิม ไม่สนใจว่าแม่เฒ่าเฉินจะโวยวายใหญ่โตอย่างไร และหันหลังจากไปก่อนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นหลายครั้ง แม่เฒ่าเฉินก็ยังเป็นห่วงเฉินเหล่าเอ้อร์กับเฉินเสียวเป่าสะใภ้รองเฉินไม่อยู่แล้ว บุรุษที่โตแล้วกับบุรุษที่ยังเล็กไหนเลยจะชำนาญเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ก็คงไม่สู้ดีเช่นกันหลังจากนั้นแม่เฒ่าเฉินก็ย้ายไปอยู่กับบ้านรอง บ้านใหญ่ก็มีความกตัญญูให้
เมื่ออวิ๋นจิงมั่วกลับมา เห็นซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน ผักกาดขาวผัดลูกชิ้น และกุ้งผัดซอส ก็รู้วืท่านแม่เป็นคนทำอาหารด้วยตัวเองอวิ๋นจิงมั่วโผเข้าไปในอ้อมกอดของอวิ๋นฝูหลิงอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ท่านดีที่สุดเลยขอรับ!”หลายวันมานี้อวิ๋นฝูหลิงยุ่งมากมาโดยตลอด จึงไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมาทำอาหารให้เขากินอวิ๋นจิงมั่วรู้ความจึงไม่ได้รบกวนแม่ แต่ในใจกลับอยากกินอาหารที่แม่ทำเป็นอย่างมากอาหารที่แม่ทำอร่อยที่สุดในใต้หล้า!วันนี้อวิ๋นฝูหลิงก็อารมณ์ดีเช่นกัน คิดว่าไม่ได้ทำอาหารมาหลายวัน จึงทำอาหารมาหลายจานยามนี้เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของอวิ๋นจิงมั่ว อวิ๋นฝูหลิงก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญตัวเอง หลายวันมานี้นางละเลยอวิ๋นจิงมั่วไปจริงๆตั้งแต่อวิ๋นจิงมั่วกับเซียวจิ่งอี้รู้จักกันในฐานะพ่อลูก อวิ๋นฝูหลิงก็มักจะให้อวิ๋นจิงมั่วไปอยู่กับเซียวจิ่งอี้ ในขณะที่นางให้ความสนใจอยู่กับเรื่องของตัวเองอวิ๋นฝูหลิงจิ้มจมูกของอวิ๋นจิงมั่ว “ดูดินบนตัวสิ สกปรกเชียว รีบไปล้างเร็ว”อวิ๋นฝูหลิงตักน้ำมาแล้ว ขณะที่อวิ๋นจิงมั่วล้างมือ ก็เล่าเรื่องที่ไปเล่นกับเพื่อนของเขาให้อวิ๋นฝูหลิงฟังอย่างมีความสุข“พวกพี่ฉางจี๋พาข้าไ
สวนสมุนไพรรวมถึงโรงปรุงยา จำเป็นต้องใช้แรงงานไม่น้อย แต่นี่หาใช่เรื่องเล็ก นางจะเป็นต้องวางแผนให้ดีอวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด พลางสำรวจพื้นที่รอบหมู่บ้านซวงหลิน เพื่อดูว่ามีสถานที่ใดเหมาะแก่การสร้างสวนสมุนไพรกับโรงปรุงยาหลังจากสำรวจแล้ว ก็มีสถานที่ที่เข้าตาอยู่สองที่เมื่อกลับมา อวิ๋นฝูหลิงก็เรียกลูกพี่อู๋มาสั่งงาน “เจ้าลองไปสอบถามดูเสียหน่อย ว่ายอดเขาทางเหนือของหมู่บ้านมีเจ้าของหรือไม่? รวมถึงพื้นที่รกร้างใกล้แม่น้ำที่ท้ายหมู่บ้านด้วย หากไม่มีเจ้าของ ก็สอบถามราคาและทางเข้าที่นี่มา ดูด้วยว่าจะซื้อได้อย่างไร?”ลูกพี่อู๋กำลังจะตอบกลับ คาดไม่ถึงว่าจะเหยากวงจะเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “นายท่าน เรื่องนี้ให้ข้าจัดการได้หรือไม่?”ก่อนหน้านี้ยามที่เหยากวงเคยไปเดินรอบหมู่บ้านกับอวิ๋นฝูหลิง ก็พบว่านางมองที่ดินรกร้างและยอดเขานอกหมู่บ้านอยู่ตลอดแม้จะเป็นที่ดินรกร้าง แต่หากต้องการซื้อก็ต้องผ่านทางการ เรื่องที่ต้องติดต่อกับทางการ ให้เขาจัดการย่อมดีกว่ามอบหมายให้ลูกพี่อู๋ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เอ่ยนามของอี้อ๋อง ข้าราชการระดับล่างย่อมแย่งกันรับหน้าที่นี้ไปจัดการยิ่งไปกว่านั้นที่ยังเป็นโ
นางไม่เพียงแต่ลดความกังวลในใจได้ ทว่ายังแก้ไขปัญหาเรื่องงานของพวกชาวบ้านได้อีกด้วย ทำให้พวกเขามีรายได้ระยะยาวแต่ยามนี้ยังมิใช่เวลาที่ควรพูดเรื่องนี้นางนั่งอยู่ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านโจวครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวลาและจากมาหลังจากอวิ๋นฝูหลิงออกไป ฟางซื่อภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านโจวก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านพูดยืดยาวถึงเพียงนั้น เหตุใดไม่บอกแม่นางอวิ๋นไปตามตรงเล่า”“นางทำงานเป็นหมออยู่ในเมือง ทั้งยังรู้จักคนใหญ่คนโต หากนางยอมช่วย การจะหางานให้คนในหมู่บ้านย่อมไม่ใช่เรื่องยากเป็นแน่”หัวหน้าหมู่บ้านโจวร้อนใจมาโดยตลอด หลายวันมานี้ก็ทอดถอนใจ ทั้งยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเรื่องการดำรงชีวิตของคนในหมู่บ้านฟางซื่อเห็นก็ทุกข์ใจเช่นกันนางคิดว่าหากอวิ๋นฝูหลิงช่วย ครอบครัวของตนย่อมได้ประโยชน์ไปด้วยพวกลูกชายย่อมล้วนออกไปทำงาน และมีรายได้มากขึ้นแม้ความเป็นอยู่ของสกุลโจวจะดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นกันยามนี้มาอยู่อาศัยที่ใหม่ ย่อมมีค่าใช้จ่ายไปเสียทุกอย่างหากไม่คิดหาหนทางสร้างรายได้ ก็ทำได้เพียงนั่งกินนอนกินมิใช่หรือ?หัวหน้าหมู่บ้านโจวกลอกตาใส่ฟ
อวิ๋นฝูหลิงไปหานายช่างใหญ่อวี่เพื่อดูความคืบหน้าในการก่อสร้างเรือนและได้ทราบว่าอีกประมาณสองวันก็เสร็จแล้วหลังจากเดินชมเรือนหลังใหม่จนทั่ว อวิ๋นฝูหลิงจึงเพิ่งเก็บข้างของ และไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านโจวเห็นอวิ๋นฝูหลิงนำขนมและผลไม้มา หัวหน้าหมู่บ้านโจวก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า ขณะที่พูดว่าแพงเกินไปและปฏิเสธที่จะรับไว้ แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งขนมกับผลไม้เหล่านี้แม้จะไม่มีราคาเท่าเนื้อปลา แต่ก็มิใช่ของราคาถูกเช่นกันโดยเฉพาะขนมซึ่งมีความประณีตเป็นอย่างมาก ซึ่งดูต่างจากขนมในร้านรวงธรรมดาทั้งยังมีลูกท้อสีชมพูขาวสดใหม่ที่แต่ละลูกมีขนาดเท่ากำปั้น และแตงโมเหลืองอร่ามซึ่งมีกลิ่นหอม ทุกอย่างล้วนเป็นผลไม้ชั้นดีที่พวกเขาไม่เคยกินมาก่อนอวิ๋นฝูหลิงกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนซื้อมาจากที่หัวเมือง ท่านกินตอนที่มันยังสด ๆ อยู่เถอะ”“หลายวันมานี้ที่ข้าไม่อยู่ในเรือน เรื่องมากมายในเหย้าก็รบกวนให้ท่านดูแล”“เรือนข้าสร้างเสร็จเร็วถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นเพราะท่านแล้ว”“ลูกพี่อู๋บอกข้าว่า ท่านพาคนไปช่วยสร้างเรือนหลายคน”หัวหน้าหมู่บ้านโจวโบกไม้โบกมือ ใบหน้าชราแดงขึ้นเล็กน้อย “หาได้ช่วย
หมอซุนก็มองเห็นอวิ๋นฝูหลิงเช่นกันสีหน้าหมอซุนดูไม่ดีนัก และไม่นานก็หันหน้าหนี แล้วขับรถล่อออกจากประตูเมืองฝั่งทิศใต้อย่างเร่งรีบแล้วค่อนข้างเหมือนการหนีเอาชีวิตรอดในใจอวิ๋นฝูหลิงก็รู้สึกไม่ดีนักแต่นางไม่ได้เห็นใจหมอซุน อย่างไรก็ตามหมอซุนเป็นคนเสนอประลองวิชาแพทย์ในเมื่อเขาทำได้ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์นี้ให้ได้สมมุติว่าคนที่แพ้การประลองวิชาแพทย์ในวันนั้นคือนาง เกรงว่าหมอซุนกับสำนักช่วยชีพมีแต่จะปรบมือตะโกนว่าดี หลังจากนั้นก็ขับไล่นางออกจากเขตปกครองเจียงหนิง ไม่มีทางเกิดความเมตตาต่อนางแน่นอนแม้อวิ๋นฝูหลิงไม่ถึงกับซ้ำเติมหมอซุน แต่นางก็ไม่ใช่แม่พระอยู่บนโลกใบนี้ ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบคำพูดและการกระทำของตัวเองต่างคนต่างมีการปฏิบัติของตัวเองหมอซุนสำหรับอวิ๋นฝูหลิง เป็นเพียงเหตุการณ์แทรกเล็กๆ ทำให้เกิดคลื่นในใจอวิ๋นฝูหลิงเพียงเล็กน้อย และไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยรถม้าแล่นออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซวงหลินจู่ๆ ชาวบ้านที่อยู่หน้าหมู่บ้านเห็นรถม้าที่หรูหราคันหนึ่ง ยังมีคนเดินตามข้างรถม้าหลายคน ขณะเดียวกับที่สงสัย ในใจก็ระแวงเล็กน้อยเช่นกันและมีคนในหมู่บ้านไปรายงานห