แม้จะช่วยนางออกมาได้ ก็อย่าได้คิดว่าจะได้ตบแต่งกับครอบครัวดี ๆ เลยส่วนการตบแต่งเป็นสนมของอวี้อ๋อง อวี้อ๋องมีชื่อเสียงเรื่องความไม่เป็นโล้เป็นพาย ทั้งยังโกรธเรื่องที่ถูกอวิ๋นหลิงจือวางหลุมพรางใส่ คิดดูแล้วย่อมไม่ชอบพออวิ๋นหลิงจือกล่าวได้ว่าชีวิตนี้ของอวิ๋นหลิงจือ พังทลายไปแล้วแค่คนไม่มีค่าผู้หนึ่ง เหตุใดต้องยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและเงินทองให้นางด้วย นี่มิใช่ว่าเป็นการสิ้นเปลืองหรือ!อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับเซี่ยงซื่อที่กำลังร่ำไห้ อวิ๋นชิงมู่ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดไม่ดีในใจออกไปได้ และทำเพียงพูดแบบขอไปที“ท่านแม่ นี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”“พวกเราทำได้เพียงรอจนกว่าน้องจะถูกเนรเทศไป จึงค่อยคิดหาวิธีติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่คุมตัวไปส่ง และแอบเปลี่ยนแปลงความจริงตบตาผู้คนเท่านั้น”“หรือรอให้น้องไปถึงชายแดนก่อน หลังจากนั้นจึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวัง ให้พวกเขาแจ้งข่าวการตาย เพื่อให้น้องแกล้งตายและหนีออกมา”เซี่ยงซื่อหยุดร้องไห้ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายขึ้นมา “สมกับที่เป็นลูกชายข้า เพียงชั่วครู่เดียวก็คิดวิธีได้ถึงสองวิธีแล้ว!”“น้องสาวเจ้าอ
อวิ๋นกานซงและเซี่ยงซื่อคิดว่าที่อวิ๋นชิงมู่กลับมากะทันหันเช่นนี้ เพราะได้ยินว่าช่วงนี้ที่บ้านเกิดเรื่องครั้นยามนี้รู้ว่ามีสาเหตุอื่น ในใจของทั้งสองจึงรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมาอย่างน่าประหลาดกระทั่งยามอวิ๋นกานซงได้สติ เซี่ยงซื่อก็ก้าวเข้าไปจับตัวอวิ๋นชิงมู่หันซ้ายหันขวาดูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจระคนกังวลใจ“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”“หรือว่าเจ้าโดนรังแกในสำนักศึกษา”“ไยแม่ถึงเห็นเจ้าซูบผอมลงขนาดนี้...”เมื่อได้พูดก็พูดออกมายาวเหยียดไม่หยุดอวิ๋นชิงมู่รู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าทันทีที่เซี่ยงซื่อได้รู้เรื่องของเขา จะพูดจาจู้จี้จุกจิกเป็นพิเศษแม้เขาจะรู้สึกจนใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นยิ่งที่นางเป็นห่วงเขาเช่นนี้เขาปรามมิให้เซี่ยงซื่อจู้จี้ต่ออีก กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ใช้ชีวิตในสำนักศึกษาเป็นอย่างดีขอรับ”เขาเงยหน้ามองอวิ๋นกานซง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านพ่อ ที่ข้ากลับมาครานี้ด้วยอยากจะได้เงินจากที่บ้านสักก้อนหนึ่ง”“ช่วงนี้ข้าคบหากับซื่อจื่อซุ่นอ๋อง คุณชายเจ็ดแห่งจวนเฉิงเอินกง และหลานชายคนรองของตระกูลเสนาบดีกรมขุนนาง”“พวกเขาอยากร่วมมือกันทำการค้าในเมืองหลวง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย?พอเอาทรัพย์สินในมืออวิ๋นกานซงมารวมกัน คิดแล้วก็ยังมีแค่แสนกว่าตำลึงเท่านั้นเองหากให้ไปหนึ่งหมื่นตำลึงในตอนนี้ เขาออกจะเจ็บปวดอยู่บ้างจริง ๆอวิ๋นกานซงมิได้พูดออกไปตรง ๆ ว่าจะไม่ให้ ทว่ากลับถามออกไปแทน “พวกเจ้าอยากทำการค้าอันใดเล่า? ถึงได้ต้องการเงินทุนมากมายขนาดนี้? นอกจากเจ้าแล้ว พวกซื่อจื่อซุ่นอ๋องเองก็ออกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงด้วยหรือ?”อวิ๋นชิงมู่เห็นว่าหากวันนี้ไม่พูดให้ชัดเจน เกรงว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้คงมาไม่ถึงมือเขาบรรจงหยิบกล่องกระเบื้องเคลือบน้อยที่แต่งแต้มไปด้วยภาพวาดสีทองออกมาอย่างระมัดระวังกล่องกระเบื้องเคลือบน้อยใบนั้นมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือเด็ก เมื่อเปิดออก ก็เผยโฉมขี้ผึ้งสีเหลืออร่ามดั่งทองคำที่อยู่ด้านในออกมา“ท่านพ่อ ท่านแม่ สิ่งนี้คือขี้ผึ้งทอง เป็นของดีที่บัดนี้กำลังเป็นที่นิยมที่สุดของทางเจียงหนาน”“ของสิ่งนี้มีราคาสูง สูงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก ซื่อจื่อซุ่นอ๋องเป็นผู้ให้กล่องนี้กับข้าเอง”“ของสิ่งนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกเบาเหมือนลอยได้ราวกับเทพเซียน ลืมเลือนเรื่องวุ่นวายทุกอย่างบนโลกนี้ ฉะนั้นเจ้าขี้ผึ้งทองนี้จึงได้อีกชื่อว่าขี้ผึ้งเทพ
อวิ๋นซานหูที่ถูกเซี่ยงซื่อว่าขานว่าเสียสติ ยามนี้กำลังนั่งส่องกระจกมองใบหน้าของตนเองราวกับกำลังลุ่มหลงก็ไม่ปานนางยกมือขึ้นมาแตะดวงหน้าเบา ๆบาดแผลสยดสยองที่เดิมทีอยู่บนใบหน้าได้มลายหายไปไม่เหลือร่องรอย มีเพียงผิวเนียนนุ่มราวกับไข่ที่ปอกเปลือกไปแล้วอยู่เท่านั้นอวิ๋นซานหูถึงขั้นคิดว่า หลังจากที่นางใช้ยาลบรอยแผลเป็นของอวิ๋นฝูหลิงแล้ว ใบหน้าของนางนั้นงดงามกว่าก่อนหน้านั้นถึงสามเท่าแลกใบหน้านี้คืนกลับมาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำไปทั้งหมดก่อนหน้านี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว!ทันใดนั้นบานประตูพลันถูกคนผลักออกอวิ๋นซานหูมองไปตามเสียง คนที่เข้ามาคือสาวใช้ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงนามว่าเหยากวงผู้นั้น ในใจของนางพลันบีบรัดแน่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าบนกายสาวใช้ผู้นี้แฝงไปด้วยความกดดันที่อธิบายไม่ถูก ทำให้คนรู้สึกอันตรายและหวาดผวา“อวิ๋นฝูหลิงต้องการให้ข้าทำอันใดอีก?” อวิ๋นซานหูวางกระจกทองแดงลงแล้วเอ่ยถามสายตาของเหยากวงเย็นชาดั่งเกาทัณฑ์ “เจ้าเรียกชื่อเจ้านายเช่นนี้ได้หรือ?”อวิ๋นซานหูอดหดคอไม่ได้หลังถูกเหยากวงจ้องมองนางอึดอัดใจระคนไม่ยินยอม แต่อย่างไรก็ยั
อวิ๋นซานหูมิใช่คนที่รู้จักบุญคุณคนเช่นนั้นอวิ๋นซานหูถูกเหยากวงตอกหน้าจนถึงกับพูดไม่ออกไม่รั้งรอให้นางคิดหาข้ออ้างใหม่ขึ้นมาอีก เหยากวงจึงสะบัดมือของนางออกอย่างรำคาญ“พระชายาตรัสว่า เรื่องที่พระนางต้องการให้เจ้าทำ เจ้าได้ทำแล้ว ยามนี้ใบหน้าของเจ้าก็รักษาหายดีแล้ว ข้อตกลงอันเป็นสิ้นสุดเท่านี้”“มอบตั๋วเงินให้เจ้าแล้ว เจ้าไปเก็บข้าวของแล้วรีบออกไปแต่เนิ่น ๆ เถิด!”พูดจบ เหยากวงก็ไม่สนใจอวิ๋นซานหูอีก หมุนตัวแล้วเดินจากไปทันทีเพียงแต่หลังจากเดือนออกมาจากตัวเรือนแล้ว เหยากวงจึงยกมือเรียกบ่าวรับใช้ในเรือนมาสั่งคำไว้ว่า “จับตาดูอวิ๋นซานหูทุกคำพูดทุกฝีก้าว หากนางเก็บข้าวของแล้วออกจากที่นี่ไปก็แล้วไป มิอย่างนั้นหากมีความผิดปกติใด ๆ รีบให้คนมารายงานข้าทันที!”บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบรับคำทันทีเหยากวงหันไปมองเรือนที่อวิ๋นซานหูพักอยู่แวบหนึ่ง แล้วแค่นเสียงดูถูกอยู่ในใจเดิมทีคิดว่าผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้ อวิ๋นซานหูจะได้รับบทเรียน รู้จักว่าง่ายขึ้นมาบ้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะโง่เง่าได้ถึงขนาดนี้!ทั้งที่รู้ว่าตนเองถูกพระชายาบีบอยู่ในมือ ทำได้เพียงเชื่อฟังคำเท่านั้นทว่ากลับมีแต่เล่ห์เหลี่
อันที่จริงแล้วในบรรดาบุตรธิดาทั้งสามของอวิ๋นกานซง อวิ๋นหลิงจือต่างหากจึงจะเป็นคนโหดเหี้ยม ทั้งมีใจทะเยอทะยาน ทั้งมีหัวคิด และยังมีความสามารถในการลงมือทำน่าเสียดายเพียงแค่ ในใจของอวิ๋นกานซงนั้น นางเป็นได้เพียงบุตรสาว และเป็นได้เพียงหมากไว้ใช้ประโยชน์ตัวหนึ่งเท่านั้นแม้จะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ทว่ากลับมิได้ใส่ใจลงไปเต็มที่ และเห็นเป็นความหวัดของตระกูลอย่างที่ทำกับอวิ๋นชิงมู่ท้ายที่สุดแล้ว การที่บุตรสาวคนหนึ่งได้มีการแต่งงานที่ดี เสริมให้ตระกูลแข็งแกร่งขึ้นได้จากแรงสนับสนุนทางการเกี่ยวดองที่เปี่ยมอำนาจ จึงจะบรรลุในคุณค่าในการมีตัวตนของสตรีแม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะไม่คิดว่าอวิ๋นชิงมู่จะคุกคามอะไรนางได้มากมายนัก ทว่านางก็มิได้วางใจแต่อย่างใดนางกล่าวกับจางซานมู่ว่า “ให้คนคอยสอดส่องทางอวิ๋นชิงมู่ไว้สักหน่อย”“เจ้าให้คนของเจ้าตื่นตัวสักหน่อย คอยดูว่าพอจะสืบข้อมูลน่าเชื่อถือในเรือนครอบครัวอวิ๋นได้หรือไม่”อวิ๋นฝูหลิงรู้ว่าจางซานมู่ได้ซื้อตัวเหล่าอันธพาลเจ้าถิ่นตามท้องถนนมาไว้เป็นพวกดังคำกล่าวที่ว่าแมวมีวิถีของแมว หนูก็มีวิถีของหนู สำหรับอันธพาลเจ้าถิ่นเหล่านี้หากใช้พวกเขาได้ถูกต้อง ก็สาม
ลูกพี่อู๋และคนอื่น ๆ รับคำด้วยใบหน้าเหยเกทว่าพอคิดว่าสามารถเขียนจดหมายกลับไปได้แล้ว หลายคนจึงอดดีใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อพูดคุยนอกเรื่องกันเสร็จสิ้น อวิ๋นฝูหลิงจึงวกกลับมาที่ปัญหาหลัก“เปลี่ยนผู้ดูแลที่ดินออกทั้งหมด แล้วเลือกเอาจากในหมู่ชาวนาที่มาเช่าที่ดินให้ขึ้นมาทำหน้าที่นี้ก่อน หากทำดีต่อไปก็ให้เป็นผู้ดูแลที่ดิน หากทำไม่ดีก็เปลี่ยนคนใหม่”“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกชาวนาที่มาเช่าที่ดินพวกนั้นจะเป็นคนของอวิ๋นกานซงไปทั้งหมด”“ตอนนี้ก็เก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเสร็จพอดี ข้าจะแบ่งที่มาปลูกสมุนไพรเสียหน่อย”“อย่างไรเสียชาวนาพวกนั้นก็ว่างกันอยู่แล้ว ให้พวกเขาทุกคนไปปลูกสมุนไพรให้ข้า แล้วให้เงินค่าแรงตามอัตราในเมือง”อวิ๋นกานซงซื้อตัวผู้ดูแลที่ดินไปได้หลายคน แล้วยังจะซื้อตัวชาวนาเช่าที่พวกนั้นทุกคนได้อีกหรือ?จำนวนชาวนามีมากกว่าผู้ดูแลที่ดินเสียอีก หนึ่งที่ดินมีหนึ่งผู้ดูแล ทว่าชาวนาที่เช่าที่ดินกลับมีมากกว่าร้อยคนยิ่งไปกว่านั้นพอรวมที่นาสิบกว่าแห่งเข้าด้วยกันแล้ว จำนวนชาวนาก็ยิ่งมากเป็นเท่าตัวเลยทีเดียวนึกดูแล้วต่อให้อวิ๋นกานซงอยากจะซื้อตัวคน แต่ก็คงไม่อาจซื้อตัวคนมากมายขนาดนี้ได้แ
อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ถูกต้อง คนเช่นนางจะไปรู้จักบุญคุณคนได้อย่างไร!”อวิ๋นซานหูเป็นคนมีจิตใจคับแคบที่สุด ตอนแรกก็เพราะว่านางตกอยู่ในสภาพจนตรอก ถึงได้ตอบตกลงต่อเงื่อนไขของอวิ๋นฝูหลิง ยอมให้อวิ๋นฝูหลิงบีบอยู่ในกำมือเหยากวงขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า “พระชายา นางคงมิได้มีแต่ความเคียดแค้นท่านอยู่ในใจ เลยคิดจะอยู่ต่อเพื่อหาโอกาสแก้แค้นท่านหรอกกระมังเพคะ?”อวิ๋นฝูหลิงคิดเล็กน้อย ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้สักหน่อยแต่ว่านะ...นางเงยหน้าขึ้นมองเหยากวง “นางจะเขลาถึงขนาดนี้จริง ๆ หรือ?”ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไป ขอแค่มีหัวคิดสักหน่อย ก็ควรรู้ว่าบัดนี้อวิ๋นฝูหลิงมิได้เป็นดังเมื่อวันวานอีกแล้วกระทั่งจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพนางยังทวงกลับคืนมาได้ อวิ๋นกานซงไม่เพียงถูกนางขับออกจากจวนจี้ชุนโหว ทั้งยังถูกเปิดโปงเรื่องที่เขามิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลอวิ๋นต่อหน้าประชาราษฎร์อีกกระทั่งอวิ๋นหลิงจือก็ถูกเนรเทศไปเป็นนางบำเรอแก่ทหารตามชายแดน อวิ๋นกานซงก็ไร้ตำแหน่งหมอหลวงต่อสู้กันมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดอวิ๋นซานหูถึงยังกล้าที่จะเป็นศัตรูกับนาง ถึงขั้นคิดเพ้อเจ้อ
“จากการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขา พวกเราจึงรู้ว่าสกุลเวินเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งขี้ผึ้งทองก็ถูกลักลอบนำเข้ามาเช่นกัน” “แต่เรื่องการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายทำโดยบ้านรองสกุลเวินเป็นหลัก บ้านสามอิจฉาผลประโยชน์ส่วนนี้ จึงอยากเข้าร่วมด้วย และแบ่งผลประโยชน์มาส่วนหนึ่ง”“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ทางการท้องถิ่นของจินโจวก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน”“หลังจากได้รับเบาะแส ท่านอ๋องก็หันไปเริ่มตรวจสอบสกุลเวิน”ราชวงศ์ต้าฉีเริ่มเปิดการค้าทางทะเล ดังนั้นพ่อค้าบริเวณชายฝั่งจึงต่างได้รับผลประโยชน์ และได้รับกำไรมากมายขอเพียงจ่ายภาษีให้ครบถ้วน และสินค้าที่ซื้อขายไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวกับอาวุธสงครามที่ควบคุมโดยราชสำนักอย่างพวกเสบียง อาวุธหนัก ม้า และเกลือ ทางราชสำนักก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการค้าทางทะเลระหว่างประเทศโพ้นทะเลกับราชวงศ์ต้าฉีแต่ก็มักจะมีเหล่าผู้คน ที่โลภมากไม่รู้จักพอเห็นได้ชัดว่าทำกำไรได้มากมาย แต่ก็มักจะยังอยากได้เงินมากกว่าเดิม แม้แต่ภาษีเล็กน้อยก็ยังไม่อยากจ่ายด้วยเหตุนี้จึงทำการลักลอบค้าขายสินค้าผิดกฎหมายแม้ราชสำนักจะตรวจสอบและปราบปรามอย่างเข้มงวดมา
“ไอ้สุนัขเลว สกุลเวินใจกล้า ถึงขั้นกล้าแตะต้องแม้แต่ท่านอ๋อง คงเหนื่อยจะใช้ชีวิตแล้วจริงๆ!”“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตอนแรกข้าไม่น่าฟังท่านอ๋องเลย วางแผนระยะยาวเพื่อจับปลาตัวใหญ่อันใดกัน?”“น่าจะจัดการสกุลเวินให้สิ้นซากเสียตั้งแต่แรก!”จ้าวเสวียซือพูดด่าทอขึ้นมารู้สึกตื่นตระหนกไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทบบาดแผลอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้เขาเจ็บจนแยกเขี้ยว เป่าปาก ‘ฟู่’ ออกมาอวิ๋นฝูหลิงตบไหล่เขาคราหนึ่ง และกล่าวเสียงต่ำว่า “เอาเถอะ ตอนนี้มันใช่เวลามาด่าหรือ?”“ยามนี้การตามหาท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด!”“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจนเสีย!”“พวกเจ้าสืบเจอสิ่งใดบ้าง อย่าได้ปิดบังช้าแม้แต่นิดเดียว”“ข้าต้องรู้สถานการณ์ทั้งหมดเสียก่อน จึงจะรู้ว่าควรตามหาที่อยู่ของท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วอย่างไร!”หลังจากจ้าวเสวียซือผ่านพ้นการระบายอารมณ์ในช่วงแรกไป ทั้งยังถูกอวิ๋นฝูหลิงตีไปทีหนึ่ง ตอนนี้สติจึงค่อย ๆ กลับมาเขารู้ว่าสิ่งที่อวิ๋นฝูหลิงพูดถูกต้องตอนนี้ถึงเขาจะโกรธอย่างไร้เหตุผลไป ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยมีเพียงแต่ต้องบอกความจริงทั้งหมดแ
ไม่มีผงยาต้านการอักเสบที่ดีไปกว่าขวดนี้แล้วหลังจากรักษาบาดแผลบนร่างของจ้าวเสวียซือเรียบร้อย อวิ๋นฝูหลิงก็หยิบถุงเข็มขึ้นมา และหยิบเข็มทองเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะฝังเข็มบนตัวของจ้าวเสวียซือหลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว จ้าวเสวียซือก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาพวกหลี่หยวนที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะแอบตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้จะมีทักษะแพทย์ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ฝังเข็มเพียงไม่กี่เข็ม ก็ทำให้คนฟื้นได้แล้วแม้อวิ๋นฝูหลิงจะปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่หลี่หยวนในฐานะที่เป็นหน่วยกระบี่เงา ก็มีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งเขามองออกนานแล้วว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปต่อหน้าถึงอย่างไรอวิ๋นฝูหลิงก็มีป้ายอาญาสิทธิ์ของหน่วยกระบี่เงา นางจะเป็นชายหรือหญิงย่อมไม่สำคัญจิตใจของหลี่หยวนสั่นไหวเล็กน้อยช้าก่อน ใต้เท้าท่านนี้เป็นสตรี ทั้งยังมีทักษะแพทย์ที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ คงมิใช่ว่าเป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นั้นกระมัง?นึกถึงการหายตัวไปอย่างกะทันหันของอี้อ๋องอีกครา ข่าวคราวคงไปถึงพระชายาอี้อ๋องที่อยู่เมืองหลวงแล้ว นางย่อมนั่งไม่ติดแต่คิดไม่ถึงว่าคนจะมาที่จินโจวเอง!หลังจา
เมื่อได้ยินอวิ๋นฝูหลิงพูดถึงจ้าวเสวียซือ บนใบหน้าของหลี่หยวนก็มีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเขาลังเลครู่หนึ่ง จึงเพิ่งกล่าวว่า “ท่านใต้เท้า เชิญตามข้าน้อยมา”กล่าวจบ เขาก็หมุนม้านั่งที่วางกระถางดอกไม้ในห้องเล็กน้อยจากนั้นมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นเสียงหนึ่ง ชั้นวางของเก่าที่เดิมทีติดผนังค่อย ๆ เคลื่อนไปด้านข้าง เผยทางเข้าที่ใหญ่พอจะให้คนผู้หนึ่งเดินเข้าไปได้“ท่านใต้เท้า เชิญด้านนี้ขอรับ!” หลี่หยวนยกมือแสดงท่าทีพลางกล่าวหัวใจของอวิ๋นฝูหลิงสั่นไหวเล็กน้อย เดินตามหลังหลี่หยวนไปทันที เข้าไปในทางเดินที่ผนัง หลังจากเดินไปครู่หนึ่งประมาณสิบกว่าก้าวผ่านทางเดินคับแคบ ตรงหน้าจึงเพิ่งชัดเจนสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือห้องลับห้องหนึ่งทั้งสามด้านของห้องลับมีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่บนผนัง ซึ่งให้แสงสว่างแก่ห้องที่ไม่นับว่าใหญ่นักแห่งนี้ภายใต้แสงสลัว สามารถมองเห็นเตียงไม้เตียงหนึ่งซึ่งวางอยู่กลางห้องลับได้บนเตียงไม้มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นปิดสนิท สภาพครึ่งเป็นครึ่งตายสายตาของอวิ๋นฝูหลิงมองไปยังใบหน้าของคนผู้นั้น แทบจะจำได้ในทันทีว่าเป็นจ้าวเสวียซือแม้ในใจนางจะคาดเดาไว้ก
ทันทีที่เจ้าของร้านเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ ความง่วงงุนก็สลายหายไปทันทีเขาประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิง พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านใต้เท้าโปรดตามข้ามา!”กล่าวจบ เจ้าของร้านก็ลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะต้อนรับ เอาป้ายปิดร้านแขวนไว้ที่หน้าประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูร้านจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาจึงเพิ่งนำทางพวกอวิ๋นฝูหลิงไปที่หลังร้านเมื่อเข้ามาที่เรือนหลักหลังร้าน เจ้าของร้านผู้นั้นก็ทำความเคารพอย่างจริงจังและนอบน้อมอีกครั้ง “ข้าน้อยหลี่หยวน ขอทำความเคารพท่านใต้เท้า!”อวิ๋นฝูหลิงเก็บป้ายอาญาสิทธิ์กลับมาในหน่วยกระบี่เงาป้ายอาญาสิทธิ์ที่ครอบครองจะแตกต่างกันออกไป ตามตำแหน่งสูงต่ำป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ที่ฮ่องเต้จิ่งผิงประทานให้นาง เป็นระดับสูงสุดในหน่วยกระบี่เงา สามารถสั่งการทุกคนในหน่วยกระบี่เงาได้ดังนั้นหน่วยกระบี่เงาซึ่งปลอมตัวเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าผู้นี้ เมื่อเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนั้น จึงนอบน้อมต่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นอย่างยิ่งกระบี่เงาในหน่วยกระบี่เงามีจำนวนนับไม่ถ้วน หลายคนเจอหน้าก็ต่างไม่รู้จักกัน ดังนั้นในเวลาส่วนมากแล้ว จึงล้วนใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ในการยืนยันตัวตนดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงเพีย
แม้แขกในโรงเตี๊ยมจะไม่น้อย แต่คนที่สามารถเช่าเรือนใหญ่ขนาดนี้ได้กลับมีไม่มากต่อให้จะเป็นแขกที่มีเงินเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเช่าห้องชั้นบนเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเช่าทั้งเรือนยิ่งไปกว่านั้นคนใจใหญ่แบบอวิ๋นฝูหลิง ซึ่งเป็นแขกที่เช่าคราวเดียวทั้งเดือน ก็มีน้อยยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อเห็นลูกพี่อู๋กับอวิ๋นฝูหลิงคุยกันไม่กี่ประโยค ก็หันกลับมาต้องการจ่ายเงินตามสัญญา หัวใจจึงเพิ่งกลับมาสงบลงโดยพลันพูดจาเกินจริงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หลังจากจ่ายเงิน ลงชื่อในสัญญา ธุรกิจก็เป็นอันเรียบร้อยสมบูรณ์เจรจาธุรกิจใหญ่ขนาดนี้สำเร็จ ผู้ดูแลร้านจะต้องให้ผลประโยชน์กับเขาเป็นแน่เสี่ยวเอ้อนำลูกพี่อู๋เดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ขั้นตอนการเข้าพักจัดการเรียบร้อยเมื่อเสี่ยวเอ้อเดินไป อวิ๋นฝูหลิงก็เริ่มลงมือทำธุระนางออกคำสั่งหัวหน้าองครักษ์หูคุนว่า “เหลือสองคนไว้คอยเฝ้าม้ากับสัมภาระที่โรงเตี๊ยม”หูคุนตอบรับ และเลือกองครักษ์มาสองคนทันทีอวิ๋นฝูหลิงเรียกชื่อจางซานมู่อีกครา และกล่าวว่า “เจ้าพาคนสักสองสามคน ไปสอบถามข้อมูลของหอจินอวี้เสียหน่อย ยิ่งละเอียดยิ่งดี มุ่งเน้นโดยเฉพาะช่วงระยะก่อนหลั
อวิ๋นฝูหลิงแค่อยากหาที่พักสักที่ และไม่ได้มาเพื่อชมทิวทัศน์ จึงกล่าวโดยตรง “เรือนหนึ่งห้องโถงไม่ดูแล้ว พาพวกเราไปดูเรือนสองห้องโถงหน่อย”เมื่อเสี่ยวเอ้อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งดูจริงใจแล้ว“เรือนฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสองห้องโถงมีคนพักแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เรือนฤดูหนาวที่ยังว่างอยู่ เช่นนั้นข้าน้อยพาท่านไปดูเรือนหรือดูหนาวเดี๋ยวนี้ขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าเสี่ยวเอ้อเดินนำทางข้างหน้า ผ่านไปครู่เดียวก็ถึงแล้วอวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามอง ก็มองเห็นคำว่า ‘เหมันต์’ แกะสลักอยู่บนกำแพงหินที่ข้างประตู เสี่ยวเอ้อผลักประตูเข้าไป “เชิญด้านในขอรับ!”อวิ๋นฝูหลิงก้าวข้ามธรณีประตู เมื่อเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมของดอกเหมยเห็นเพียงตรงมุมหนึ่งของลาน ปลูกต้นเหมยขี้ผึ้งไว้หลายต้น เวลานี้กำลังเบ่งบานดูเหมือนคำว่า ‘เหมันต์’ ของเรือนฤดูหนาวแห่งนี้ ก็มาจากดอกเหมยนั่นเองคิดว่าเรือนที่เหลือสามหลัง ก็ปลูกดอกไม้ที่ต่างกันมาเป็นทิวทัศน์ ขณะเดียวกันก็เข้ากับชื่อเรือนอวิ๋นฝูหลิงเดินสำรวจดูหนึ่งรอบ เรือนหลังนี้ได้รับการทำความสะอาดอย่างดี อีกทั้งยังกว้างมากด้วย เพียงพอที่จะรองรับพวกเขาทั้งหมดยิ่งกว่านั้นพวกเขามา
คนในเมืองหลวงที่ไปมาหาสู่กับอวิ๋นฝูหลิงได้ยินว่านางไปถือศีลที่วัดหลิงเจวี๋ย และยังทำเพื่อสักการะบรรพบุรุษ ย่อมไม่มีใครไปรบกวนที่วัดหลิงเจวี๋ยมีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่รู้ว่า วัดหลิงเจวี๋ยเป็นเพียงการบังตาเท่านั้นในความเป็นจริงอวิ๋นฝูหลิงไปเจียงหนานแล้วหลังจากอวิ๋นฝูหลิงที่แต่งตัวเป็นบุรุษออกจากประตูเมืองทางใต้ และรวมตัวกับเหล่าองครักษ์ในเมืองที่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด ก็ทิ้งรถม้า แล้วเดินทางต่อด้วยม้า พวกเขาเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ใช้เวลาแค่สามวันก็ไปถึงเมืองอวี่แล้ว ผ่านเมืองอวี่ นั่งเรือข้ามแม่น้ำ ก็ถึงจินโจวแล้วตามข้อมูลของหน่วยกระบี่เงา เซียวจิ่งอี้หายตัวไปในจินโจวตอนที่ทางเมืองหลวงได้รับข่าว เซียวจิ่งอี้หายตัวไปสามวันแล้วและตอนนี้ก็ผ่านไปอีกสามวันแล้วอวิ๋นฝูหลิงยืนบนถนนจินโจว ถนนสายนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร้านค้าเรียงรายอยู่สองข้างทาง ทำให้เกิดบรรยากาศที่รุ่งเรืองบนแม่น้ำชวีหลานที่ล้อมรอบเมืองจินโจวครึ่งหนึ่ง มีเรือที่หรูหราจอดอยู่หลายลำ และมีเสียงดนตรีกับเสียงหัวเราะลอยมาจากแม่น้ำเป็นระยะเสียงที่รื่นรมย์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนเพลินจนลืมกลับบ้านจริงๆทว่าอวิ๋นฝ
เซียวจิงมั่วยื่นนิ้วก้อยออกไป“ได้ พวกเราเกี่ยวก้อยกัน” อวิ๋นฝูหลิงก็ยื่นนิ้วก้อยออกไปเช่นกันทั้งสองเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากันคืนนี้อวิ๋นฝูหลิงนอนกับเซียวจิงมั่วเช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝูหลิงนั่งรถม้าที่มีสัญลักษณ์ของจวนอี้อ๋อง พาเซียวจิงมั่วไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแล้วองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้รับจดหมายของอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วดังนั้นวันนี้จึงมารอตั้งแต่เช้าแล้วอวิ๋นฝูหลิงจูงมือเซียวจิงมั่วเข้ามา หลังจากคำนับก็กล่าว “ท่านป้า ต้องรบกวนท่านดูแลจิงมั่วสักระยะแล้ว”องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อชอบเซียวจิงมั่วมาก ย่อมยินดีที่จะดูแลเขาสักระยะอยู่แล้วเซียวจิงมั่วเงยหน้า ยิ้มหวานให้องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อ “ท่านย่า จิงมั่วเป็นเด็กดี เลี้ยงง่ายมาก จิงมั่วยังสามารถเล่นเป็นเพื่อนท่านย่า และเล่าเรื่องตลกให้ท่านย่าฟังขอรับ”เมื่อองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้ยินเช่นนี้ ก็ดึงเซียวจิงมั่วเข้ามาในอ้อมแขน หยิกแก้มเขาทีหนึ่งแล้วกล่าว “แก้วตาดวงใจของย่า เจ้าอยู่ที่นี่ก็คิดเสียว่าอยู่บ้านของตัวเอง ย่าชอบจิงมั่วของเรามาก!” องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อบีบนวดเซียวจิงมั่วครู่หนึ่ง จึงจะเงยหน้ากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิง“ฝากจิง