อวิ๋นฝูหลิงมีสีหน้าประหลาดใจ “ฝ่าบาทหมายความว่า ทรงไม่คัดค้านแล้วหรือเพคะ?”ฮ่องเต้จิ่งผิงโบกมือ “ไทเฮามีคำสั่งลงมาแล้ว สถานะก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจขัดไทเฮาได้”“ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”อวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้แล้ว“ข้าจำได้ว่าบิดาของเจ้าเป็นหมอที่ไม่มีใครเทียบได้ ยามนั้นช่วงการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เขาตายไปเพราะพยายามช่วยชีวิตคน”“พ่อแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรีเพียงคนเดียว ยามนั้นข้ามอบตำแหน่งท่านหญิงแห่งหย่งหนิงให้เจ้า ทั้งยังรับปากว่าหากในอนาคตมีลูกชาย จะเลือกคนหนึ่งให้มาสืบทอดตำแหน่งจี้ชุนโหว”“ตั้งแต่บิดาของเจ้าจากไป รายงานการมอบตำแหน่งจี้ชุนโหว ข้าระงับมันเอาไว้มาโดยตลอด”“ยามนี้เจ้ามีบุตรชายแล้ว ทั้งยังใช้สกุลอวิ๋น แต่เขาก็เป็นบุตรชายคนโตของอี้เอ๋อร์ด้วย และอี้เอ๋อร์ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อแล้ว”“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อฮ่องเต้จิ่งผิงจากใจจริงหากมิใช่เพราะเขาระงับการสืบทอดตำแหน่งของอวิ๋นกานซงไว้ ตำแหน่งจี้ชุนโหวคงถูกอวิ๋นกานซงสืบทอดไปแล้วจริง ๆ และการจะขับไล่อวิ๋นกานซงออ
เซียวจิ่งอี้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอวิ๋นฝูหลิง ก็พูดด้วยเช่นกันว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ ช่วงบ่ายเสวยแตงหอมมากเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้จิ่งผิงเป็นผู้ที่ชอบกิน แต่ปกติมักจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แม้แต่การกินก็ยังถูกจำกัดไว้ไม่เกินสามมื้อหากเขากินของที่ชอบมากเกินไปหน่อย ก็จะถูกทุกคนเตือนวันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงฉวยจังหวะที่อ้างว่าอวิ๋นจิงมั่วชอบกิน ในการกินแตงหอมเพิ่มอีกหลายชิ้นเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้พูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงก็หาได้สนใจมากนัก มิใช่ว่าแค่กินแตงหอมมากกว่าเดิมไม่กี่ชิ้นหรือ จะเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน?เขาโบกพระหัตถ์อย่างไม่ยี่หระ พลางตรัสอย่างขอไปที “เข้าใจแล้ว”เซียวจิ่งอี้ยังไม่วางใจ หลังจากเกาโหย่วฝูมาส่งพวกเขาออกจากตำหนักจื่อเฉิน ก็กำชับกับเขาว่า “เกากงกง หลังจากนี้อย่าลืมเตือนเสด็จพ่อให้เรียกโอวหยางย่วนมาตรวจร่างกายด้วย อย่าให้เสด็จพ่อเป็นหวัด”เกาโหย่วฝูโค้งคำนับพลางตอบรับ “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเซียวจิ่งอี้ออกไป เกาโหย่วฝูก็กลับมาที่ตำหนักจื่อเฉิน และหาโอกาสเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่เรียกโอวหยางย่วนมาสักคราหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่อง
เดิมทีทายาทคือเครื่องมือที่องค์ชายใช้ในการช่วงชิงบัลลังก์เดิมเซียวจิ่งอี้ก็ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอยู่แล้ว ยามนี้ยังมีทายาทอีก เช่นนั้นตำแหน่งก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นมิใช่หรือ?ทว่าทายาทกลับเป็นจุดอ่อนขององค์ชายสามตั้งแต่เขาแต่งงานมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงพระราชธิดาสามคนเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีพระราชโอรสเลยเซียวจิ่งอี้กลับชิงมีพระราชโอรสก่อนเขาเสียแล้วแล้วจะไม่ให้องค์ชายสามร้อนใจได้อย่างไร?ยามนี้เองท่านจอมปราชญ์เหวินก็กล่าวว่า “องค์ชายสามอย่าทรงร้อนใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ความผิดถูกโยนไปให้องค์ชายรองแล้ว ต่อให้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่อาจวางยาสังหารเขาได้ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ แต่หลังจากนี้ต้องมีโอกาสอีกเป็นแน่”“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนอยากให้เขาตายตั้งมากมาย เหตุใดพระองค์จึงไม่นั่งดูการต่อสู้จากด้านบนเฉย ๆ เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”แววตาขององค์ชายสามสว่างวาบขึ้นมา “เจ้าหมายถึงเสด็จพี่ใหญ่หรือ?”ตามกฎเกณฑ์ผู้สืบทอดล้วนเป็นโอรสคนโต ในเมื่อไม่มีโอรสกับฮองเฮา ดังนั้นฮ่องเต้จิ่งผิงจึงยังไม่มีผู้สืบทอดตามกฎเกณฑ์ดังนั้นสถานะองค์ชายใหญ่ จึงทำให้ได้เปรียบมาต
อวิ๋นฝูหลิงในฐานะพระชายาอี้อ๋อง หลังจากได้รับการทำความเคารพจากเหล่าคนใช้ของจวนอี้อ๋อง ก็กลับไปที่เรือนหลักกับเซียวจิ่งอี้เทียนเฉวียนที่กลับมาพอดีกล่าวว่า “พระชายา พวกผู้ดูแลหลิงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ยามที่อวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัวกลับเข้าเมืองหลวง ก็ส่งพวกหลิงโหยวให้พาคนล่วงหน้ามาก่อน เพื่อทำธุระบางอย่างให้นางที่เมืองหลวงยามนี้หลิงโหยวกลับมา คาดว่าคงทำธุระเสร็จแล้วอวิ๋นฝูหลิงพูดกับเซียวจิ่งอี้เล็กน้อย ก่อนจะไปเจอคนที่สวนดอกไม้หลังจากหลิงโหยวทักทาย ก็รายงานว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าซื้อร้านค้าที่ท่านให้ข้าไปซื้อมาหมดแล้วขอรับ นี่คือโฉนดที่ดินขอรับ”กล่าวจบ หลิงโหยวก็ยื่นโฉนดที่ดินสามฉบับให้อวิ๋นฝูหลิงรับมาดู ทั้งสามร้านต่างซื้อมาตามที่นางต้องการ“ทำดีมาก!”อวิ๋นฝูหลิงเก็บโฉนดที่ดิน ก่อนจะถามอีกคราว่า “เพลงกล่อมเด็กที่ข้าให้คนไปร้องเผยแพร่ในเมือง ได้ผลเป็นเช่นไรบ้าง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลิงโหยวก็อดไม่ได้ที่จะผุดรอยยิ้มขึ้นมา“เพลงกล่อมแพร่กระจายไปทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงแล้วขอรับ ยามนี้ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าอวิ๋นกานซงมิใช่สายเลือดของสกุลอวิ๋น แต่เป็นลูกนอกสมรสซึ่งเกิดจากลูกเขยสกุลอว
“ถึงครานั้นทุกคนอาจจะคิดว่าเพลงกล่อมเด็กเป็นเพียงข่าวลือและไม่น่าเชื่อถือ”“หากเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำไปมิใช่ว่าสูญเปล่าหรือขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงลูบแขนเสื้อ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน จะตีงูต้องตีให้ตรงจุดอ่อน!”“ต้องลงดาบครั้งแรกที่ใด ข้าคิดไว้ในใจแล้ว”หลิงโหยวเห็นอวิ๋นฝูหลิงมีแผนการในใจแล้ว ก็ไม่พูดสิ่งใดให้มากความอีกอวิ๋นฝูหลิงมองพวกลูกพี่อู๋ และกล่าวว่า “ท่านลุงหลิง พวกลูกพี่อู๋ทั้งสามคนฝากท่านดูแลด้วย”หลิงโหยวรู้ว่าในมืออวิ๋นฝูหลิงมีคนที่ใช้งานได้ไม่มาก นอกจากพวกลูกพี่อู๋ ที่เหลือทั้งหมดก็ล้วนเป็นลูกน้องของอี้อ๋อง“คุณหนูใหญ่โปรดอย่ากังวล ข้าจะฝึกฝน ให้พวกเขาประสบความสำเร็จในเร็ววัน จะได้สามารถช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ได้”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ก่อนจะกล่าวกับพวกลูกพี่อู๋ “ท่านลุงหลิงเป็นผู้ติดตามของพ่อข้า ยามนั้นก็เคยดูแลกิจการของสำนักช่วยชีพแทนท่านพ่อ เขาเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมของพ่อข้า”“พวกเจ้าควรเรียนรู้จากเขาให้ดี ในอนาคตพวกเจ้าจะได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่ดูแลกิจการเอง หรือกลายเป็นคนใช้ที่ทำได้เพียงวิ่งทำธุระให้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง!”อวิ๋นฝูหลิงถือว่าพวกลู
เมื่อชาติก่อนอวิ๋นฝูหลิงไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่รู้ว่าต้องถึงอายุสักกี่ปีเด็กถึงจะแยกห้องไปนอนคนเดียวได้ แต่ตอนนี้อวิ๋นจิงมั่วยังอายุไม่ถึงขวบก็จะให้เขาไปอยู่เรือนเดี่ยวต่างหากแล้ว นางรู้สึกว่าแบบนี้ออกจะเร็วไปสักหน่อยเซียวจิ่งอี้อธิบาย “สี่ขวบก็มิใช่เด็ก ๆ แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพอเหล่าองค์ชายอายุได้สามขวบก็ย้ายออกจากตำหนักของมารดา ออกไปเลือกตำหนักอยู่เองต่างหาก มีแม่นม หมัวหมัว กับข้าราชบริพารคอยดูแล หากมารดาผู้ให้กำเนิดมียศต่ำหรือฐานะไม่ดี พอเกิดมาก็จะถูกอุ้มไปให้พระสนมคนอื่น ๆ ที่มียศสูงเลี้ยงดูอยู่ใต้บารมี ต่อให้ไม่ถูกนำตัวไป ในเวลาหนึ่งปีก็ไม่ง่ายดายนักกว่าจะได้พบหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดสักสองสามครั้ง”“พอหกขวบ ก็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง”“การศึกษาของเหล่าราชนิกุลเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว ที่ข้าพาจิงมั่วกลับมาก็เพื่ออยากคิดเผื่อเขา มีบางเรื่องที่ต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”อวิ๋นฝูหลิงได้ฟังเช่นนี้ เลยคิดไปว่าที่เซียวจิ่งอี้พูดมาทั้งหมดนี้บางทีอาจจะเป็นประสบการณ์ตอนเด็ก ๆ ของเขาเองก็เป็นได้ นางจึงอดเจ็บปวดใจไม่ได้“ตอนเด็ก ๆ ท่านก็ทำเช่นนี้หรือ?” อวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถามเซียวจิ่งอ
เซียวจิ่งอี้ประทับจุมพิตอวิ๋นฝูหลิงเล็กน้อย แล้วก้มหน้าพูดอยู่ข้างหูของนาง “ข้ามีความคิดไม่ดีอันใดหรือ? แค่อยากมีลูกกับเจ้าอีกสักคนเท่านั้น”“ฝูหลิง พวกเรามีลูกสาวอีกสักคนดีหรือไม่?”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะมีความตั้งใจแรงกล้า ทว่ายามนี้ถูกเขายั่วเย้าจนหน้าแดงก่ำไปหมด“ท่านอย่าประเจิดประเจ้อ จิงมั่วยังอยู่ตรงนี้นะ!”เป็นครั้งแรกที่เซียงจิ่งอี้รู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้เกะกะสายตาดูท่าต้องรีบให้เขาย้ายออกไปอยู่เรือนคนเดียวให้ไวขึ้นถึงจะดีแต่ท่าทางที่ทั้งเขินอายทั้งตื่นตระหนกเช่นนี้ของอวิ๋นฝูหลิงช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน มันทำให้เขายิ่งรักใคร่จนแทบไม่ไหวอวิ๋นฝูหลิงกลัวว่าเซียวจิ่งอี้จะทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมาจริง ๆ จึงรีบลุกขึ้นพลางผลักเขาออก“นี่ก็ดึกแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน ท่านเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”เซียวจิ่งอี้กอดอวิ๋นฝูหลิงไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ขยับเข้าใกล้นางพลางกล่าวว่า “ที่นี่คือเรือนหลัก พระชายาไล่ให้สามีออกไปข้างนอก สามียังจะรักษาหน้าได้ที่ไหนกัน?”อวิ๋นฝูหลิงไม่หลงตามคำหลอกล่อของเขา “เมื่อก่อนพวกเราก็แยกห้องนอนกันมาตลอด”“เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ พ
ทั้งสองเพิ่งทำความเคารพเสร็จ จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงเหน็บแนมดังแทรกเข้ามาจากด้านข้าง“น้องเจ็ด เสด็จพ่อประชวรหนักเช่นนี้ เจ้ายังจะพาสตรีมาด้วยอีก ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย!”อวิ๋นฝูหลิงมองคนพูดเห็นเขาใส่ชุดคลุมผ้าไหมสีเลือดหมู สวมกวานทองบนศีรษะ ไว้หนวดเล็ก ๆ เหนือริมฝีปาก ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีดูธรรมดาสามัญดูมีอายุมากขึ้นคนผู้นี้อายุมากที่สุดท่ามกลางเหล่าองค์ชายทั้งหลาย ทั้งยังเรียกขานเซียวจิ่งอี้ว่าน้องเจ็ด ดูแล้วคนผู้นี้น่าจะเป็นองค์ชายใหญ่องค์ชายใหญ่ประสูติจากฉีเฟย พระบิดาของฉีเฟยเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายของรัชกาลนี้เพราะองค์ชายใหญ่เป็นพี่คนโตสุดในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม กอปรกับมีพระอัยกาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทำให้มีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดาตัวเลือกที่จะได้เป็นรัชทายาทแค่เริ่มพูดเขาก็เสียดสีเซียวจิ่งอี้เสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวคู่ปรับอย่างเซียวจิ่งอี้มากครั้นองค์ชายใหญ่กล่าวจบ บุรุษอีกคนที่มีหน้าผากรูปหัวใจเหมือนกับชุยไทเฮา และสวมชุดคลุมสีน้ำเงินก็เอ่ยปากพูดออกมาเช่นกัน“พี่ใหญ่ก็พูดหนักเกินไป ได้ยินว่าน้องเจ็ดได้คนงามมาหนึ่ง
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ