“หลังจากที่กระหม่อมได้ตรวจพระอาการ ก็ได้ปรึกษาช่วยกันจัดเทียบยาขึ้นมา แล้วต้มยาให้ฝ่าบาทเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“แต่ฝ่าบาทจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ หรือจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด กระหม่อมเองมิกล้า...”ครั้นชุยไทเฮาได้ยินเช่นนั้น ภาพเบื้องหน้าก็ดำมืดไปในทันตา แทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อเพราะการตายของเจียงโจวอ๋อง ไทเฮาจึงหมางใจกับฮ่องเต้จิ่งผิง ถึงขั้นเคียดแค้นอยู่ในใจพระนางเองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหนุนหลังให้องค์ชายสามผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลชุยขึ้นครองพระราชบัลลังก์ทว่ายามนี้องค์ชายสามนั้นถือได้ว่าไม่แกร่งมากพอ องค์ชายที่มีศักยภาพองค์อื่น ๆ ก็ไม่อาจดูเบาได้หากฮ่องเต้จิ่งผิงเสด็จสวรรคตในยามนี้ แม้จะมีนางกับสกุลชุยหนุนหลัง ทว่าก็ใช่ว่าองค์ชายสามจะขึ้นไปในครองบัลลังก์ในสงครามแย่งชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย แล้วกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดได้สำเร็จ ฉะนั้นแล้วฮ่องเต้จิ่งผิงจะยังสวรรคตไม่ได้ชุยไทเฮากับองค์ชายสยามยังต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อวางแผนและเตรียมตัว“ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ก็ต้องรักษาฮ่องเต้ให้หายให้ได้!”“มิเช่นนั้น สำนักหมอหลวงก็ตายตามไปด้วยเลยทั้งสำนัก!”ใบหน้าสุภาพเยือกเย็นและมีเมตตาอยู
แผนการเช่นนี้ เซียวจิ่งอี้รู้สึกนับถือพี่สามของเขาผู้นี้อยู่บ้างในเมื่อเขาพูดออกไปแล้ว หากถอนคำในยามนี้ ไม่ยอมรับผิดชอบ เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบไปในสายตาของคนข้างตัวแล้วคนที่ไร้ความรับผิดชอบ จะรับผิดชอบอำนาจอันใหญ่ยิ่งได้อย่างไร?แต่ถ้าหากเขาทำตามคำพูดขององค์ชายสาม ยอมแบกรับความรับผิดชอบนี้ เช่นนี้ก็นับว่าตกลงไปในหลุมพรางขององค์ชายสามพอดีหากมีอันใดผิดพลาดขึ้นมาเพียงนิด เช่นนั้นก็จะเล่นงานเขาได้เต็มที่ช่างเป็นแผนการที่ได้ทั้งรุกทั้งรับจริง ๆทว่าน่าเสียดายที่องค์ชายสามดีดลูกคิดความปรารถนาในใจผิดไป ทั้งยังดูเบาวิชาแพทย์ของอวิ๋นฝูหลิงมากเกินไปด้วยในเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเอ่ยปากแล้ว เซียวจิ่งอี้จึงมั่นใจว่านางสามารถรักษาฮ่องเต้จิ่งผิงให้หายได้จริงเห็นว่าใกล้จะเกิดการปะทะระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามกับเซียวจิ่งอี้ เหล่าองค์ชายที่เหลือถ้าไม่เงียบเป็นเป่าสาก หดศีรษะหดตัวราวกับนกกระทาไม่ยอมช่วยใครทั้งสิ้น ก็เข้าข้างฝั่งองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสาม ทั้งนังไม่ยอมให้อวิ๋นฝูหลิงทำการรักษาฮ่องเต้จิ่งผิงด้วยมีเพียงแค่องค์ชายห้ากับองค์ชายแปดเท่านั้นที่กล่าววาจาหาความยุติธร
ไทเฮา “ในเมื่อเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงเจิ้งกล่าวเช่นนี้ คิดดูแล้วแม่นางอวิ๋นผู้นี้คงจะมีความสามารถอยู่บ้างจริง”ยังไม่ทันที่พระนางจะกล่าวจนจบดี อยู่ ๆ หมอหลวงที่ยืนรั้งอยู่ด้านท้ายสุดผู้หนึ่งก็เดินออกมาประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอไทเฮาทรงคิดดูอีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้สตรีผู้นี้จะเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้าง ทว่านางยังอายุน้อยเช่นนี้ เกรงว่าคงมิได้พบเจอโรคมามากมายเท่าไรนัก”“ที่ช่วยชีวิตคุณชายน้อยสกุลลู่มาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแค่แมวตาบอดบังเอิญจับหนูตายได้ก็เท่านั้น”“พระวรกายของฝ่าบาทมีค่าดั่งทองคำหมื่นชั่ง จะให้หมอสตรีที่มีประสบการณ์เพียงไม่เท่าไรมากรักษาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”อวิ๋นฝูหลิงกวาดสายตามอง แล้วจำได้ทันทีว่าคนที่กล่าววาจาเช่นนี้ก็คืออวิ๋นกานซงนางยังไม่ได้คิดบัญชีกับอวิ๋นกานซงเลย นึกไม่ถึงว่าเขาจะกระโดดออกมาเองเช่นนี้อวิ๋นฝูหลิงยิ้มเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “แม้ข้าจะอายุน้อย แต่สกุลของข้านั้นเป็นหมอ ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก กอปรกับที่ข้ามีพรสวรรค์โดดเด่น วิชาแพทย์ของข้าย่อมไม่อาจพิจารณาได้ตามปกติทั่วไป”“ยิ่งไปกว่านั้น บุตรนอกจวนที่ขโมยเรียนวิชาแพทย์ยังเข้ามาเป็นหม
องค์ชายสามแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อก่อนเห็นว่าน้องเจ็ดของเขาผู้นี้นั้นฉลาดเฉียบแหลมยิ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง เขาถึงได้หน้ามืดตามัวขนาดนี้โรคที่กระทั่งเจ้าสำนักโอวหยางยังรักษาไม่ได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีอย่างอวิ๋นฝูหลิงจะรักษาได้ต่อให้นางจะมีความสามารถจริง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขอแค่เล่นอุบายกับตัวยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อให้นางเป็นฮว่าถัว[1]กลับชาติมาเกิด ก็ไม่อาจรักษาอาการของเสด็จพ่อได้ถึงตอนนั้นเซียวจิ่งอี้ก็จะถูกลงโทษไปพร้อมกันด้วยหากจะทำให้โทษทัณฑ์นี้ร้ายแรงมากขึ้น จะกล่าวหาว่าพวกเขาวางแผนปลงพระชนม์ฝ่าบาทก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงถึงตอนนั้นพอถูกตั้งข้อหาว่าวางแผนปลงพระชนม์ ไม่ว่าจะเซียวจิ่งอี้จะได้รับความโปรดปรานมากเพียงไร ก็สามารถขดรากถอนโคเขาออกมาได้ทั้งยวง แล้วเขาก็จะไม่อาจสร้างความคุกคามใด ๆ ได้อีกส่วนคนที่เหลือนั้น บางคนเป็นกังวล บางคนลำพองใจ แล้วก็มีคนที่ยืนมองดูอยู่เฉย ๆ โดยไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยไทเฮากวาดตามองอวิ๋นฝูหลิงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองเซียวจิ่งอี้ “ในเมื่อเจ้ากล้ารับรอง เช่นนั้นก็ให้นางรักษาฝ่าบาทเถิด”“รักษาหายย่อมได้รับพระร
มีบางคนที่เห็นแล้วไม่สบอารมณ์นัก ถึงกับอดเบ้ปากออกมาไม่ได้ ทั้งยังโน้มตัวไปกระซิบกระซาบกับคนข้าง ๆ อีก“นี่ยังไม่ทันได้ตรวจพระอาการเลย นางก็วางท่าใหญ่โตเสียแล้ว ถึงกับให้เจ้าสำนักโอวหยางไปเป็นลูกมือนางเชียวหรือ?”“พูดจาเสียใหญ่โต หากอีกประเดี๋ยวรักษาฝ่าบาทไม่ได้ นางได้เจอดีแน่!”“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าสำนักโอวหยาง ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพูดแทนแม่นางอวิ๋น ยามนี้ยังจะมาลดตัวเป็นฝ่ายออกตัวว่าจะเป็นผู้ช่วยให้นางอีก?”อวิ๋นกานซงพูดได้ถูกจังหวะยิ่ง ทั้งยังเติมเชื้อไฟความไหม้พอใจให้แก่ทุกคนอีก“พวกเราจะมีใครบ้างที่ไม่ใช่หมอมีชื่อ นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวก็ยังคิดจะปีนขึ้นไปเหยียบอยู่บนหัวพวกเราหรือไร?”“ข้ากลับละอยากดูนักว่านางจะมีความสามารถอะไร โรคที่แม้แต่พวกเรายังรักษาไม่ได้ นางที่ยังอ่อนเยาว์จะรักษาได้?”“ออกจะพูดจาใหญ่โตไปสักหน่อย หากนางรักษาไม่ได้ ตัวนางจะตายไปคนเดียวก็แล้วไปเถิด หากพัวพันมาถึงพวกเรา...”ครั้นเหล่าหมอหลวงทั้งหลายได้ยินคำพูดเช่นนี้ของอวิ๋นกานซง ใบหน้าของพวกเขาจึงยิ่งไม่พอใจหนักภายในชั่วพริบตาหมอหลวงเจิ้งมองอวิ๋นกานซงด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้
อวิ๋นฝูหลิงหยิบห่อเข็มที่พกติดตัวขึ้นมาใช้มือหนีบเข็มทองขึ้นมาหนึ่งเล่ม ปักลงไปที่จุดชวีฉือของฮ่องเต้จิ่งผิง ตามด้วยจุดเหอกู่...กระทั่งฝังจนถึงเข็มที่เก้า หน้าผากของอวิ๋นฝูหลิงจึงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อส่วนเหล่าหมอหลวงในตำหนักทั้งหลาย พอเห็นศาสตร์ฝังเข็มของอวิ๋นฝูหลิง ยามนี้จึงเงียบเสียงไม่ปริปากพูด ทั้งยังตกตะลึงกันทั้งหมดกระทั่งหลังฝังเข็มที่สิบสามแล้วเสร็จ มีบางคนถึงกับอดพูดเสียงหลงออกมาไม่ได้ “หรือว่านี่จะเป็นศาสตร์สิบสามเข็มสกุลอวิ๋น!”โอวหยางหมิงมองไปทางคนที่พูด พยักหน้าให้แล้วกล่าวชมเชย “ไม่เลว เป็นศาสตร์สิบสามเข็มสกุลอวิ๋นจริงๆ!”ในใจของโอวหยางหมิงทั้งตื่นเต้นทั้งภาคภูมิใจศาสตร์ฝังเข็มของท่านอาจารย์นั้นใต้หล้านี้ไม่เป็นสองรองใคร ถึงขนาดที่เขียนคัมภีร์ศาสตร์ฝังเข็มออกมาเล่มหนึ่งโดยเฉพาะเขาถือเป็นศิษย์ที่เรียนศาสตร์ฝังเข็มได้ดีที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ทว่าเรียนมาได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วนของท่านอาจารย์เท่านั้นทว่าเมื่อได้เห็นอวิ๋นฝูหลิงคลำหาจุดแล้วฝังเข็มได้อย่างชำนาญ เห็นได้ชัดว่าศาสตร์ฝังเข็มของนางอยู่เหนือกว่าเขาอีกทั้งศาสตร์ฝังเข็มที่อวิ๋นฝูหลิงใช
“เทียบยานี้...” โอวหยางหมิงมีใบหน้าสองจิตสองใจอวิ๋นฝูหลิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วกล่าวว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรเหล่านี้ รบกวนท่านปู่โอวหยางหาคนไปจัดยามาให้ข้าอย่างครบถ้วนก็พอเจ้าค่ะ”โอวหยางหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย เรียกหมอคนหนึ่งที่ตามมาได้ให้ไปจัดยาที่โรงโอสถหลวงมาเดิมทีคนอื่น ๆ อยากจะดูเทียบยาที่อวิ๋นฝูหลิงเขียนขึ้นสักหน่อย จนใจที่โอวหยางหมิงทำการรวดเร็ว ไม่ได้ให้พวกเขาดูแม้แต่น้อยตอนนั้นเอง อยู่ ๆ เกากงกงที่คอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ลดแล้ว ฝ่าบาทพระปรอทลงแล้ว!”หมอหลวงเจิ้งและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น จึงพากันก้าวเข้ามาดู พบว่าความร้อนในพระวรกายของฮ่องเต้จิ่งผิงลดลงมาบ้างแล้ว พระปรอทมิได้สูงอย่างก่อนหน้านี้อีกคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางอวิ๋นผู้นี้จักเก่งกาจจริง ๆ ใช้เพียงแค่การฝังเข็มก็ทำให้ฮ่องเต้จิ่งผิงพระปรอทลดลงได้ครั้นข่าวกระจายไปถึงด้านหน้าตำหนัก ไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจออกมายาว ๆสวรรค์คุ้มครอง ในที่สุดพระอาการของฝ่าบาทก็ดีขึ้นเสียทีองค์หญิงใหญ่ผิงเล่อสวดพระนามของพระพุทธองค์ออกมา แล้วอิงแอบอยู่กับไทเฮาพลางตรัส “เสด็จแม่ ครานี้ต้องขอบคุณเ
โอวหยางหมิงเห็นดังนี้ก็ยิ่งสงสัยแล้วหมอหลวงท่านอื่นก็คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเช่นกันก่อนหน้านี้แม่นางอวิ๋นเขียนเทียบยา ให้คนไปจับยาที่โรงโอสถหลวงไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้ก็มาช่างวัตถุดิบยาที่นี่แล้ว?นี่นางจะทำอะไรกันแน่?หลังจากอวิ๋นฝูหลิงจับยาเสร็จหนึ่งชุด ก็ไปเลือกหม้อยาที่ใช้สำหลับต้มยาหนึ่งใบ ใส่วัตถุดิบยาที่เตรียมไว้ทั้งหมดลงไปในหม้อ แล้วเติมน้ำเข้าไปอีกทีหลังจากนั้นจึงจะสั่งให้ขันทีน้อยคนหนึ่งย้ายเตาเล็กไปที่ตำหนักของฮ่องเต้จิ่งผิงส่วนนางถือหม้อยาเดินตามหลังรอหลังจากไปถึงตำหนักแล้ว อวิ๋นฝูหลิงวางหม้อยาลงไปบนเตาเล็ก ทำการต้มยาด้วยตัวเองโอวหยางหมิงไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถาม “แม่นางอวิ๋น ยานี่?”อวิ๋นฝูหลิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ยาของฝ่าบาท ข้าต้มเองจึงจะวางใจ”เหมือนโอวหยางหมิงนึกถึงอะไรบางอย่าง เผยให้เห็นสีหน้าทีครุ่นคิดเมื่อหมอหลวงท่านอื่นได้ยิน กลับยิ่งงงงวยแล้วคนที่ถูกส่งไปจับยาที่โรงโอสถหลวงให้ฝ่าบาทยังไม่กลับมาไม่ใช่หรือ แล้วนี่นางต้มยาอะไร?ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ถูกส่งไปจับยาก็กลับมาแล้วอวิ๋นฝูหลิงรับห่อยามาดมดู หลังจากนั้นยื่นให้โอวหยางหมิง“ท่านเป็นเจ้าสำนักของส
“เป็นท่านพ่อท่านแม่ของข้าที่ต้องการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของสกุลอวิ๋นมา จึงจงใจวางเพลิงเพื่อให้อวิ๋นฝูหลิงตาย...”อวิ๋นซานหูยังไม่ทันพูดจบ เส้นเลือดที่หน้าผากของอวิ๋นกานซงก็โป่งพองขึ้นมา พลางตะโกนเสียงดังว่า “หุบปาก เจ้ามันลูกเนรคุณ เห็นอยู่ว่าเจ้าป่วยจนสับสน จึงมาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าฝ่าบาทอี้อ๋อง!”“ใครก็ได้ รีบมาพานางไปเสีย และส่งกลับไปคุมตัวที่ชนบท!”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวออกมาโดยพลัน “ข้าก็อยากเห็นว่าผู้ใดจะกล้า!”นางมองอวิ๋นกานซง ด้วยสายตาเย็นชา “อารอง มิใช่ว่าท่านรู้สึกอับอายจนโกรธ ถึงได้กินปูนร้อนท้องเช่นนี้หรือ?”“ยามนั้นข้ากำลังนอนหลับในห้องอยู่ดี ๆ ก็เกิดไฟไหม้อย่างกะทันหันขึ้นกลางดึก ไม่เพียงแต่ประตูหน้าต่างทั้งหมดถูกลงกลอนปิดสนิทจากภายนอก ทว่ายังมีกลิ่นน้ำมันในกองไฟด้วย”“หากไม่ใช่เพราะมีคนจุดไฟ วางแผนเอาชีวิตข้า เกรงว่าแม้แต่คนโง่ก็คงไม่เชื่อ!”“โชคดีที่สาวใช้ข้างกายข้าในยามนั้นเสี่ยงชีวิตปกป้องข้า นางจึงสามารถช่วยข้าออกมาได้”“ไม่เช่นนั้น เกรงว่าข้าคงถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว”แม้โอวหยางหมิงกับนายท่านผู้เฒ่าหางจะรู้เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงต้องออกมาร่อนเร่ข้างนอกอยู่แล้ว
อวิ๋นกานซงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่อาจถูกอวิ๋นฝูหลิงจูงจมูกได้ ไม่อย่างนั้นนางจะกุมอำนาจในการคุมสถานการณ์ตอนนี้เขาจึงชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฝูหลิง ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนในเรือนเสียหน่อยจะดีกว่ากระมัง หากมีเรื่องอันใดก็ค่อยพูดคุยกันคราวหลัง”“เรือนของเจ้าอารองยังเก็บไว้ให้เจ้าอยู่ ทั้งยังมีคนไปทำความสะอาดอยู่เสมอด้วย”“อีกเดี๋ยวจะให้อาสะใภ้รองของเจ้าจัดงานเลี้ยง เชิญญาติมิตรมา และประกาศข่าวการกลับมาของเจ้า”กล่าวจบก็มองไปทางอวิ๋นซานหู และแสร้งทำเป็นดุนาง “เจ้าลูกคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง กลับไม่ยอมพักฟื้นอยู่ที่ชนบท และวิ่งโร่มาทำอันใดถึงที่นี่กัน?”อวิ๋นหลิงจือได้ยินก็กำหมัดแน่น เรือนของอวิ๋นฝูหลิงเป็นเรือนที่ดีที่สุดในจวนจี้ชุนโหวนอกจากเรือนหลัก ซึ่งถูกนางครอบครองมานานแล้วยามนี้เมื่ออวิ๋นฝูหลิงกลับมา อวิ๋นกานซงไม่แม้แต่จะหารือกับนาง ก็คิดจะยกเรือนคืนให้อวิ๋นฝูหลิงเสียแล้วเช่นนั้นนางจะทำอย่างไรเล่า?อวิ๋นฝูหลิงมองอวิ๋นกานซงด้วยรอยยิ้มนางไม่เชื่อว่าอวิ๋นกานซงจะใจดีถึงเพียงนี้อวิ๋นหลิงจืออยากได้เรือนของนางมานานแล้ว นางจากไปนานถึงเพียงนี้ หากเรือนหลั
โอวหยางหมิงกับนายท่านผู้เฒ่าหางจ้องมองอวิ๋นกานซงด้วยสายตาเฉียบแหลมอันเย็นชานายท่านผู้เฒ่าหางกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นอย่างรุนแรง“หรือคิดว่านางสูญเสียพ่อแม่ไปหมดแล้ว จึงกลายเป็นเด็กกำพร้าโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง จนพวกเจ้าจะมารังแกได้?”“เหอะ คิดว่าพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องตายกันไปหมดแล้วหรือ?”“กล้ามารังแกยัยหนูฝูหลิง ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องนึกเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิต!”นายท่านผู้เฒ่าหางเดินทางเข้าเมืองหลวงมาครานี้ ก็เพื่อมาสนับสนุนอวิ๋นฝูหลิงโดยเฉพาะน่าเสียดายที่ศิษย์พี่รองสือฉีหลินออกเดินทางไปทั่วสารทิศ ยามนี้ไร้ซึ่งข่าวคราว ส่วนศิษย์น้องสี่ก็อยู่ห่างไกลถึงซีหนาน จึงไม่อาจเดินทางมาได้ทันเวลาดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงเขากับศิษย์พี่ใหญ่ที่มาแม้จะเป็นเช่นนั้น น้ำหนักของคำพูดของสองคนนี้ ก็ทำให้อวิ๋นกานซงทนรับไม่ไหวแล้วอวิ๋นกานซงเห็นอวิ๋นฝูหลิงนำหลักฐานยืนยันตัวตนออกมา อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากหลิงโหยว โอวหยางหมิง และนายท่านผู้เฒ่าหาง อุบายที่จะบอกว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นตัวปลอมจึงใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเขาเปลี่ยนอุบายโดยพลัน ท่าทีที่มีต่ออวิ๋นฝูหลิงก็กลายเป็นความรักใคร่และมีเมตตา“เจ้าคือฝูหล
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวิ๋นกานซงก็จิตใจสงบลงโดยพลันบนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา ประสานมือให้โอวหยางหมิงกับนายท่านผู้เฒ่าหางพลางกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าทั้งสองท่านทำให้ข้าสับสนแล้ว ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านผู้เฒ่าทั้งสองท่านหมายความว่าอย่างไร?”กล่าวจบ ก็ยังพูดกับอวิ๋นฝูหลิงว่า “แม่นางอวิ๋น ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าเคยพบกันในวังหลวงเพียงครั้งเดียว ทั้งยังมิได้สนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนั้น”อวิ๋นฝูหลิงคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าอวิ๋นกานซงจะต้องใช้อุบายเช่นนี้นางเอนหลังบนเก้าอี้ และพยายามกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ความหมายของท่านคือข้ามิใช่อวิ๋นฝูหลิงคุณหนูใหญ่แห่งจวนจี้ชุนโหว แต่เป็นเพียงตัวปลอมใช่หรือไม่?”“แน่นอนว่าเจ้าเป็นตัวปลอม!” เสียงแหลมสูงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาอย่างกะทันหันพวกฮูหยินรองอวิ๋นมิได้มีฝีเท้าที่เร็วเท่าอวิ๋นกานซง ในยามนี้จึงเพิ่งรีบเร่งไล่ตามมาจนทันทันทีที่นางเข้ามา ก็ได้ยินคำพูดของอวิ๋นกานซง ยามนี้ก็โชคดีที่มีความคิด จึงคิดตรงกันกับอวิ๋นกานซงเช่นกัน“ทุกคนต่างรู้ดีว่าอวิ๋นฝูหลิงตายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว เจ้ามาจากที่ใด จึงได้กล้าวิ่งโร่เข้ามาหลอกลวงจวนโหวของพวกเรา?”อวิ๋
อวิ๋นฝูหลิงก้าวเดินอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวกับหลิงโหยวว่า “แค่คนเฝ้าประตูผู้หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดคุยกับเขาหรอก”หลิงโหยวพยักหน้า และรีบนำคนเข้าไปโดยพลัน หลังจากนั้นก็แยกกันยืนอยู่ทั้งสองฝั่งอวิ๋นฝูหลิงหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองป้ายที่แขวนอยู่บนประตูหลักของจวนจี้ชุนโหวเซียวจิ่งอี้จับมืออวิ๋นฝูหลิง และกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เดิมทีสิ่งนี้เป็นของเจ้าอยู่แล้ว แค่ถึงเวลาที่ควรนำกลับมาเท่านั้น”อวิ๋นฝูหลิงยิ้มพลางพยักหน้าให้เซียวจิ่งอี้นางมิได้กลัวนางรอคอยวันนี้อยู่ รอคอยมาเนิ่นนานแล้วอวิ๋นฝูหลิงยืดหลังตรง ก้าวข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในประตูหลักอย่างผ่าเผยนายท่านผู้เฒ่าหางกับโอวหยางหมิงเดินตามหลังอวิ๋นฝูหลิงอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์สององค์เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นเช่นนั้น ก็รีบวิ่งไปรายงานที่สวนด้านหลังโดยพลันอวิ๋นฝูหลิงนั่งอยู่ที่โถงหลัก รอพวกอวิ๋นกานซงอยู่เงียบ ๆประตูหลักของจวนจี้ชุนโหวเปิดกว้าง โดยไม่มีความตั้งใจที่จะปิดบังแม้แต่น้อยการกระทำนี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้คนให้หยุดเดิน แม้แต่คนที่อาศัยอยู่ข้างเคียง ก็ยังมีคนใช้ออกมาถามไถ่ข้อมูล หากมีเรื่องน่าส
อวิ๋นซานหูเอายาที่ได้รับจากอวิ๋นฝูหลิงมาใช้ทันทีมิใช่นางไม่สงสัยว่าอวิ๋นฝูหลิงอาจทำร้ายนาง แต่ยามนี้รูปลักษณ์ของนางพังทลาย ทั้งยังถูกครอบครัวทอดทิ้งและโดนดูถูกเหยียดหยาม จึงไม่มีสิ่งใดจะเสียอีกแล้วหากยาที่อวิ๋นฝูหลิงมอบให้สามารถรักษาใบหน้าของนางได้จริง ๆ แม้ว่าต้องการจะใช้นางเพื่อทำเรื่องใด นางก็ยอมทำทั้งนั้นในช่วงที่รูปลักษณ์ของนางถูกทำลาย อวิ๋นซานหูสัมผัสได้ถึงช่องว่างใหญ่หลวงของการตกจากสวรรค์มาสู่ขุมนรกชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนี้ นางไม่อยากพบเจออีกแล้วขอเพียงรักษารอยแผลเป็นบนใบหน้า และฟื้นฟูรูปลักษณ์ให้กลับมาเป็นเช่นเดิมได้ นางก็จะเหมือนได้เกิดใหม่อีกครา ทั้งยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับมนุษย์อีกครั้งเพื่อความหวังเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดที่อวิ๋นซานหูทำไม่ได้วันรุ่งขึ้น เหยากวงไปรายงานอวิ๋นฝูหลิงว่า “พระชายา ทางด้านอวิ๋นซานหูได้ส่งข่าวมาว่า ไม่ว่าพระชายาจะให้นางทำสิ่งใด นางก็เต็มใจจะทำทุกอย่างเจ้าค่ะ”อวิ๋นฝูหลิงเลิกคิ้ว “ตอบรับเร็วถึงเพียงนี้เชียว ข้ายังคิดว่านางจะใคร่ครวญดูอีกสักสองสามวันเสียอีก ช่างเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวจริงๆ”เหยากวงกล่าวว่า “ความจริงเป็นเพราะยารักษารอยแ
“พวกเขาเป็นคนทำร้ายเจ้า!”“ข้าได้ยินทุกอย่างเลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าอยากได้ทรัพย์สินของสกุลอวิ๋น พี่หญิงข้าริษยาเจ้า นางชอบซื่อจื่ออันกั๋วกง อยากแย่งงานแต่งของเจ้า”“ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกัน วางแผนทำให้เจ้าเสียตัว”“คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ คนที่อยู่กับเจ้ากลายเป็นอี้อ๋อง”“พวกเขากลัวเจ้าเกาะอี้อ๋องติด เช่นนั้นก็ยิ่งกำจัดยากแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจวางเพลิง อยากเผาเจ้าให้ตายโดยตรง”“และพอดีกับเจ้าเสียตัวและยังถูกดูหมิ่น จึงสามารถบอกกับโลกภายนอกว่า เจ้ารู้สึกอับอายโกรธแค้นจึงฆ่าตัวตาย”“ที่ข้าพูดเป็นความจริงทั้งหมดนะ!”อวิ๋นซานหูนอนหลับก็ยังฝัน อยากรักษาหน้าตัวเองให้หายดี ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว นางย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมืออวิ๋นฝูหลิงคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซานหูจะติดเบ็ดง่ายเช่นนี้ ถึงกับไม่สงสัยนางเลย ก็สารภาพเรื่องราวในตอนนั้นออกมาอย่างหมดเปลือกแล้วนี่ทำให้นางไม่ได้ใช้แผนที่เตรียมมาล่วงหน้าเลย นางล้วงยาขวดหนึ่งออกจากแขนเสื้อแล้วกล่าว “ยานี่สามารถลบรอยแผลเป็นบนหน้าเจ้า เจ้าสามารถลองใช้ดูก่อน ดูว่าข้าหลอกเจ้าหรือไม่”“แต่ว่าแผลเป็นบนใบหน้าเจ้าลึกเกินไป อยากรักษาให้หายทั้งหมด อย่างน้อยก็
อวิ๋นฝูหลิงหอมแก้มอวิ๋นจิงมั่ว “ขอโทษนะ แม่มีธุระต้องทำ ไม่ได้ตั้งใจ”อวิ๋นจิงมั่วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนอวิ๋นฝูหลิง“ไม่เป็นไรขอรับ มั่วเอ๋อร์ไม่โทษท่านแม่ขอรับ”สองแม่ลูกกอดกันอบอุ่นมาก เซียวจิ่งอี้ที่อยู่ข้างๆ ดูจนน้อยใจเจ้าเด็กนี่ ในสายตามีแต่แม่ ไม่มองเขาที่เป็นพ่อคนนี้เลยสักนิด!ผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ๋นจิงมั่วเหมือนเพิ่งจะเห็นเซียวจิ่งอี้ เขาเงยหน้าเรียก “ท่านพ่อ” อย่างอ่อนหวานหลังจากนั้นก็ถาม “เสด็จปู่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”เซียวจิ่งอี้ลูบศีรษะของเขา “เสด็จปู่ของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พรุ่งนี้ข้าพาเจ้าเข้าวังไปพบเสด็จปู่ดีหรือไม่?”“ได้!” อวิ๋นจิงมั่วพยักหน้าอวิ๋นฝูหลิงกับอวิ๋นจิงมั่วเล่นกันครู่หนึ่ง หลังจากกินอาหารเย็นด้วยกัน ก็ส่งอวิ๋นจิงมั่วให้เซียวจิ่งอี้แล้วส่วนนางพาเหยากวงไปที่เรือนเปลี่ยวหลังหนึ่งของจวนอ๋องประตูห้องถูกผลักออก ผู้หญิงที่ถูกมัดอยู่ในห้องได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองเมื่อเห็นว่าผู้มาคืออวิ๋นฝูหลิง สีหน้าของนางดุร้ายขึ้นมาทันที“เจ้าขังข้าไว้ที่นี่ คิดจะทำอะไรกันแน่?”อวิ๋นฝูหลิงเดินเข้าไป จ้องอวิ๋นซานหูตรงๆ “ยังจำชื่ออวิ๋นฝูหลิงได้หรือไม่?”ม่านตาอวิ๋
เพราะฮ่องเต้จิ่งผิงยังป่วยอยู่ ดังนั้นอาหารเช้าจึงจืดแต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่ใช่คนกินยาก อีกทั้งวัตถุดิบอาหารของยุคโบราณล้วนเป็นธรรมชาติไร้สิ่งเจือปน ของที่สามารถมาถึงโต๊ะอาหารของฮ่องเต้ มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ของคุณภาพสูงต่อให้เป็นข้าวต้มเปล่าหนึ่งชาม ก็ทำมาจากข้าวบรรณาการ ซึ่งส่งกลิ่นข้าวที่หอมโชยจมูก หลังจากฮ่องเต้เสวยข้าวต้มเปล่าหมดไปหนึ่งชาม จู่ๆ ก็เอ่ยปากกล่าว “เจ้าเจ็ด เจ้าหาลูกสะใภ้ให้เราได้ดีมาก!”มุมปากเซียวจิ่งอี้เผยอขึ้น “เพราะกระหม่อมโชคดี และอาศัยบุญบารมีของเสด็จพ่อ”ฮ่องเต้จิ่งผิงมองไปทางอวิ๋นฝูหลิง “เจ้ารักษาเราจนหายดี อยากได้รางวัลอะไร?”อวิ๋นฝูหลิงวางชามตะเกียบลง กล่าวตรงๆ “ฝ่าบาทจะประทานรางวัลแก่หม่อมฉันจริงหรือเพคะ?”ฮ่องเต้จิ่งผิงขมวดคิ้ว “คำพูดเราศักดิ์สิทธิ์ เจ้ารักษาเราหาย สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง ย่อมสมควรประทานรางวัล พูดมาเถอะ อยากได้อะไร?”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท คิดว่าพระองค์คงทราบเรื่องครอบครัวของหม่อมฉันหมดแล้ว เรื่องวุ่นวายเหล่านั้น หม่อมฉันจัดการเองได้ เพียงแต่อยากให้ฝ่าบาทหนุนหลังหม่อมฉันสักครั้งเพคะ!”เมื่อฮ่องเต้จิ่งผิงได้ยินก็ห