สาวโง่คนนี้ ทำให้ตัวเองเป็นลมจริง ๆ ...เยี่ยเป่ยเฉิงจับแขนของนางด้วยมือเดียวแล้วดึงนางขึ้นจากน้ำ โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย จากนั้นเขาก็คว้าเสื้อผ้าที่อยู่บนม่านบังลม พันไว้รอบร่างที่เปลือยเปล่าของหลินซวงเอ๋อร์ แขนของเขาโอบรอบเอวของนาง และเขาก็อุ้มนางออกไปอย่างเปียกหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึง ร่างกายของนางเต็มไปด้วยความชื้น ผมของนางก็เปียกหมด และมีน้ำหยดลงมาจากผมของนาง"เจ้ารู้ไหม แช่น้ำร้อนนานไม่ได้" เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางไปที่นั่งนุ่ม วางนางลงบนที่นั่งนุ่ม ๆ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชาหลินซวงเอ๋อร์หวาดกลัวมาก และตอนนี้นางถูกเยี่ยเป่ยเฉิงดุอีก น้ำตาก็ไหลออกมาทันทีเลยนางจะรู้ได้ยังไงล่ะ นางแค่รู้ว่าน้ำร้อนนั้นแช่ได้สบายมาก และนางก็ไม่อยากออกไปใครจะรู้ว่า การแช่น้ำนาน ๆ จะทำให้คนเป็นลมได้...ร่างกายของเยี่ยเป่ยเฉิงก็เปียกไปด้วยน้ำ เมื่อเห็นท่าทางที่เปียกชื้นของหลินซวงเอ๋อร์ ความโกรธที่เพิ่งดับลงในสายตาของเขาก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้งผ้าบนตัวของนางบางเบาอยู่แล้ว ตอนนี้มันเปียกด้วยน้ำ ทำให้มองชัดเจนยิ่งขึ้น เกือบจะราวกับว่ามันโปร่งใส...เยี่ยเป่ยเฉิงกลิ้งลูกกระเดือกอย่างลับ ๆ และรู้สึกถึงไฟชั
เสียงแหบแห้งของเยี่ยเป่ยเฉิงนั่นดังขึนในข้าง ๆ หูของนาง และฝ่ามือใหญ่ที่ปกคลุมเอวของนางก็ร้อนราวกับเหล็กร้อน เยี่ยเป่ยเฉิงฝังหัวของเขาไว้ที่ไหล่ของนาง และลมหายใจของเขาตกลงบนคอของนางด้วย ...ท่าทางแบบนี้ยั่วยวนเกินไป หลินซวงเอ๋อร์เคยเห็นมันในหนังสือ มันเป็นบทที่นางเพิ่งเรียนรู้ที่สอนให้ผู้คนรู้วิธียั่วยวน...เมื่อตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา หลินซวงเอ๋อร์ก็กลัวจนไม่กล้าขยับตัวอีก "ท่านอ๋องคะ... ถึงเวลาแล้วจริง ๆ ข้าต้องกลับไปแล้ว"กลับไปหรือจะกลับไปที่ไหนล่ะความคิดบ้า ๆ ผุดขึ้นในใจของเขา เขาไม่อยากให้นางกลับไปในคืนนี้เขาอ้าปาก แล้วกัดใบหูเล็ก ๆ ของนางไว้ หลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “คืนนี้อย่ากลับไปสิ…”นางตั้งใจจะผลักเขาออกไป แต่แรงของนางเล็กเกินไป จึงขยับเขาไม่ได้สักหน่อย “ท่านอ๋องคะ อย่า…”ร่างกายที่เพิ่งอาบน้ำใหม่ส่งกลิ่นหอมออกมา เมื่อกอดอยู่ในอ้อมแขนทั้งมีกลิ่นหอมและนุ่มนวล นุ่มจนราวกับว่าไม่มีกระดูกความฝันที่มีเสน่ห์ในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา เยี่ยเป่ยเฉิงตั้งใจที่โน้มตัวไปข้างหน้า และทำให้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นหลินซวงเอ๋อร์
เมื่อที่นางพูด ลมหายใจของนางมีกลิ่นหอมของเค้กหอมหมื่นลี้ และยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นของนางอีกด้วยเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมปล่อยนางไป เขาก็ยังจับนางไว้และไม่ปล่อยมือ"ตัวเจ้าหอมมากเลย ให้ข้ากอดเจ้าหน่อยเถอะ..." เขาเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบาลมหายใจอุ่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ หู ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกชาที่หนังศีรษะของนางเลย นางรีบหันหน้าไปทางด้านข้าง และเอวของนางก็ถูกอุ่นขึ้นด้วยฝ่ามือร้อนของเยี่ยเป่ยเฉิงแก้มของหลินซวงเอ๋อร์ก็แดงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้เสียงของนางสั่นมาก จนเหมือนกวางที่หวาดกลัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ ท่านอ๋องคะ… มันไม่ได้จริง ๆ นะ…”แต่นางยิ่งทำเช่นนี้ ความตื่นเต้นในตัวของเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยิ่งมากขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงดูเหมือนจะล้อเลียนนางโดยตั้งใจ “ไม่ได้อะไรหรือ”แน่นอนว่าคือห้ามกอดนาง ห้ามจูบนาง และห้ามกัดนาง...แต่นางพูดไม่ได้เขาเป็นเจ้านาย เป็นท่านอ๋องที่อยู่ชนชั้นสูง ส่วนนาง แค่เป็นคนรับใช้ที่ต่ำต้อย แม้ว่านางจะถูกประหารชีวิต นางก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกต่อต้านอย่างมากในใจ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา นางเป็นคนที่มีจิตใจเรียบง่ายเกินไปและไม่สามาร
“ หลินซวงเอ๋อร์ ช่วยดับไฟราคะให้ข้าหน่อย…”เสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงดังก้องอยู่ในหู ร่างของหลินซวงเอ๋อร์ถูกกดทับไว้ภายใต้ร่างของเขาอย่างแรงไม่ง่ายเลยที่จะติดกระดุมเสื้อได้แต่เขากลับปลดมันอย่างง่ายดายเมื่อนางตอบสนองได้ จูบอันเร่าร้อนก็จุมพิตไปลงบนลำคอของนางแล้ว...ร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์สั่นเทาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดันตนเองลุกขึ้นแล้วถอยหลังกลับไปตามสัญชาตญาณแต่เยี่ยเป่ยเฉิงดูเหมือนจะถูกปีศาจครอบงำ คว้าเอวของนางเอาไว้ แล้วดึงนางกลับมาน้ำในอ่างยังคงมีไอร้อนอยู่ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยไอน้ำ ท่ามกลางไอหมอกที่เปียกชื้น ผสมกับกลิ่นหอมที่คุ้นเคยกลิ่นนั้นคนที่อยู่ใต้ร่างกายนัยน์ตาเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา ดูเหมือนกำลังจะร้องขอความเมตตาอย่างเงียบๆ“อย่ากลัวเลย…” น้ำเสียงต่ำทุ้มอันแหบแห้ง ท่ามกลางไอหมอกที่ปกคลุม ทำให้มีความรู้สึกที่สับสนคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก“เจ้าต้องการอะไร ข้าจะให้เจ้าทั้งหมด...”สถานะ?หรือเครื่องประดับเงินทอง?หรือว่าจะเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง?ก็ได้ทั้งนั้น ถ้านางอยากได้ เขาให้นางได้ทั้งหมด!ในขณะนี้ แม้ว่าจะเป็นสุริยันจันทราบนท้องนภา ถ้าหลินซวงเอ๋อร์อยากได้ เขาก็จะเด็ด
ดูเถิด นายท่านก็คือนายท่าน มีเหตุผลก็จะต้องเลือกเวลาเยี่ยเป่ยเฉิงสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของนาง ดังนั้นจึงเคลื่อนไหวอ่อนโยนมากขึ้น พร้อมกับกระซิบข้างหูนางว่า "ข้าบอกแล้วว่า เจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ้าได้ทั้งหมด"ไม่ว่านางอยากจะเป็นอนุภรรยา หรือว่าอยากจะเป็นพระชายา เขาสามารถทำให้นางได้ทั้งหมดขอแค่นางเอ่ยปากขอ เขาเยี่ยเป่ยเฉิงสามารถฟูมฟักทะนุถนอมนางไว้ในอุ้งมือเป็นอย่างดีได้หลินซวงเอ๋อร์ยังคงส่ายหัว: "ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น... "ไม่ต้องการอะไรเลยหรือ?เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเป็นไปได้ไหมว่า นางจะอยากได้พระจันทร์บนท้องฟ้าจริงๆ?หรือนางคิดว่าเขาเยี่ยเป่ยเฉิง ไม่สามารถให้สิ่งที่ดีๆแก่นางได้?“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่อยากได้?”เขาก็ไม่รู้ว่าจะถามนางเกี่ยวกับด้านไหน สรุปคือ เขาอยากที่จะยืนยันอีกครั้งก็เท่านั้นนัยน์ตาของหลินซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา พยักหน้าอย่างแน่วแน่มั่นคงเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า…” เยี่ยเป่ยเฉิงเข้าจู่โจมอีกครั้ง เขาไม่เคยควบคุมตนเองไม่ได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะรักษาพรหมจรรย์มาเป็นเวลายี่สิบปี จึงทำให้เก็บกดมาจนถึงตอนนี้เขาโน้มต
หลินซวงเอ๋อร์วิ่งร้องไห้กลับไปที่ห้องสาวใช้หลายคนที่กำลังทำงานอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของหลินซวงเอ๋อร์ ก็เริ่มกระซิบถกเถียงกันเบาๆ หนึ่งในนั้นก็มีชิวจวี๋อยู่ด้วยพอชิวจวี๋เห็นหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกคันเกลียดชังเป็นอย่างมากนางว่าแล้วทำไมท่านอ๋องถึงไม่ค่อยอยากพบนาง ทันทีที่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ นางก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ท่านอ๋องจะต้องถูกนังจิ้งจ้องคนนี้ล่อลวงเป็นแน่!เมื่อชิวจวี๋เห็นสีแดงสดบนกางเกงของนาง ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมลงแล้วกล่าวอย่างเกลียดชังว่า: "เห็นไหม? เป็นนาง ที่ปลอมตัวเข้ามาในจวนอ๋อง เพื่อจงใจล่อลวงท่านอ๋อง ข้าบอกแล้วว่าหน้าตางของนางเหมือนนังจิ้งจอก ที่แต่นางก็เป็นสตรีจริงๆ"สาวใช้อีกคนชื่อจื่ออวิ๋นกล่าวว่า: "แต่ข้าเห็นว่าปกติแล้วนางเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์มากเลยนะ นางจะทำสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร?"ชิวจวี๋เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "สุนัขที่กัดคนไม่เคยเห่า! ไม่เห็นหรือ? เมื่อสักครู่นางเพิ่งจะออกมาจากห้องของท่านอ๋องด้วยการแต่งตัวแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่!"“พวกเจ้าดูท่าทางที่นางร้องไห้สิ คงจะถูกท่านอ๋องดุ
หลินซวงเอ๋อร์ขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่ท่านอ๋องทำกับนางเมื่อเมื่อสักครู่นี้ให้ตงเหมยฟัง"ท่านอ๋อง... เขาทำต่อเจ้าหรือ? ใช่หรือ?"ตงเหมยปล่อยมือ และพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่ตกตะลึงไปสักครู่ใหญ่ๆ ตงเหมยก็ตั้งสติได้ และพูดด้วยความประหลาดใจว่า: "ไม่น่าแปลกใจที่นายหญิงไม่ได้ลงโทษเจ้า แถมยังปล่อยให้เจ้ารับใช้ท่านอ๋องต่อไป เป็นไปได้ไหมว่าท่านอ๋องจะขอร้องแทนเจ้า"หลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ ตอนนี้สมองของนางสับสนมากตงเหมยคาดเดาว่า: "เจ้าว่า ท่านอ๋องปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น คงจะไม่ได้ชื่นชอบเจ้าจริงๆใช่ไหม?"ก่อนที่หลินซวงเอ๋อร์จะปฏิเสธ ตงเหมยก็ส่ายหัวปฏิเสธด้วยตนเอง: "เป็นไปไม่ได้ ท่านอ๋องสถานะสูงส่ง มีสตรีแบบไหนบ้างที่ท่านไม่เคยพบเจอ บางที อาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของผู้ชาย ที่ชอบความแปลกใหม่.... "หลินซวงเอ๋อร์เห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากตงเหมยเหลือบมองหลินซวงเอ๋อร์อย่างมีนัยความหมาย จากนั้นก็ลดเสียงลง แล้วกล่าวว่า "ถ้าท่านอ๋องต้องการเจ้าจริงๆ เขาอาจจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าเป็นอนุภรรยา เมื่อถึงเวลานั้น ที่เรือนฝั่งตะวันออกแห่งนี้ เจ้าก็
ในที่สุดกงชิงเยวี่ยก็อดรนทนไม่ไหว เรียกหลินซวงเอ๋อร์ไปที่ลานจวนของนางเพื่อซักถามบนขั้นบันได กงชิงเยวี่ยถือลูกปัดพุทธเอาไว้ในมือ และจ้องมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ด้วยนัยน์ตาที่เหยียดหยามผู้หญิงคนนี้ที่คุกเข่าอยู่ในลานจวน เป็นเพียงสาวรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดในจวน ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้บุตรชายของนางเสียด้วยซ้ำ!นางพินิจผู้หญิงคนนี้ คิ้วที่ยาวและเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาที่สดใส จมูกอันเรียวเล็ก และริมฝีปากที่เม้มเล็กน้อยนั้น ดึงดูดผู้คนยิ่งกว่านังจิ้งจอกเสียอีกกงชิงเยวี่ยหลับตา ลูกปัดในมือของนางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ไฟโทษะที่อยู่ในใจทำอย่างไรก็ดับไม่ได้หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าสองชั่วยามแล้ว กงชิงเยวี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นนางจึงทำได้แค่คุกเข่าต่อไปแสงอาทิตย์ยามบ่ายทั้งแสบทั้งร้อน และแผดเผาแผ่นดินอย่างโหดร้าย และไม่มีวี่แววว่าลมจะพัดผ่านมาเลย ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วรูขุมขน แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออกก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นทำให้เข่าของหลินซวงเอ๋อร์เจ็บ ผมเผ้าของนางก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาที่สดใสคู่นั้น ในเวลานี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกำลัง และเต็มไปด้วยความสับสนในท้ายที่สุด ท่านป้า
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก