หลินซวงเอ๋อร์วิ่งร้องไห้กลับไปที่ห้องสาวใช้หลายคนที่กำลังทำงานอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของหลินซวงเอ๋อร์ ก็เริ่มกระซิบถกเถียงกันเบาๆ หนึ่งในนั้นก็มีชิวจวี๋อยู่ด้วยพอชิวจวี๋เห็นหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกคันเกลียดชังเป็นอย่างมากนางว่าแล้วทำไมท่านอ๋องถึงไม่ค่อยอยากพบนาง ทันทีที่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ นางก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ท่านอ๋องจะต้องถูกนังจิ้งจ้องคนนี้ล่อลวงเป็นแน่!เมื่อชิวจวี๋เห็นสีแดงสดบนกางเกงของนาง ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมลงแล้วกล่าวอย่างเกลียดชังว่า: "เห็นไหม? เป็นนาง ที่ปลอมตัวเข้ามาในจวนอ๋อง เพื่อจงใจล่อลวงท่านอ๋อง ข้าบอกแล้วว่าหน้าตางของนางเหมือนนังจิ้งจอก ที่แต่นางก็เป็นสตรีจริงๆ"สาวใช้อีกคนชื่อจื่ออวิ๋นกล่าวว่า: "แต่ข้าเห็นว่าปกติแล้วนางเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์มากเลยนะ นางจะทำสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร?"ชิวจวี๋เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "สุนัขที่กัดคนไม่เคยเห่า! ไม่เห็นหรือ? เมื่อสักครู่นางเพิ่งจะออกมาจากห้องของท่านอ๋องด้วยการแต่งตัวแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่!"“พวกเจ้าดูท่าทางที่นางร้องไห้สิ คงจะถูกท่านอ๋องดุ
หลินซวงเอ๋อร์ขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่ท่านอ๋องทำกับนางเมื่อเมื่อสักครู่นี้ให้ตงเหมยฟัง"ท่านอ๋อง... เขาทำต่อเจ้าหรือ? ใช่หรือ?"ตงเหมยปล่อยมือ และพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่ตกตะลึงไปสักครู่ใหญ่ๆ ตงเหมยก็ตั้งสติได้ และพูดด้วยความประหลาดใจว่า: "ไม่น่าแปลกใจที่นายหญิงไม่ได้ลงโทษเจ้า แถมยังปล่อยให้เจ้ารับใช้ท่านอ๋องต่อไป เป็นไปได้ไหมว่าท่านอ๋องจะขอร้องแทนเจ้า"หลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ ตอนนี้สมองของนางสับสนมากตงเหมยคาดเดาว่า: "เจ้าว่า ท่านอ๋องปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น คงจะไม่ได้ชื่นชอบเจ้าจริงๆใช่ไหม?"ก่อนที่หลินซวงเอ๋อร์จะปฏิเสธ ตงเหมยก็ส่ายหัวปฏิเสธด้วยตนเอง: "เป็นไปไม่ได้ ท่านอ๋องสถานะสูงส่ง มีสตรีแบบไหนบ้างที่ท่านไม่เคยพบเจอ บางที อาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของผู้ชาย ที่ชอบความแปลกใหม่.... "หลินซวงเอ๋อร์เห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากตงเหมยเหลือบมองหลินซวงเอ๋อร์อย่างมีนัยความหมาย จากนั้นก็ลดเสียงลง แล้วกล่าวว่า "ถ้าท่านอ๋องต้องการเจ้าจริงๆ เขาอาจจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าเป็นอนุภรรยา เมื่อถึงเวลานั้น ที่เรือนฝั่งตะวันออกแห่งนี้ เจ้าก็
ในที่สุดกงชิงเยวี่ยก็อดรนทนไม่ไหว เรียกหลินซวงเอ๋อร์ไปที่ลานจวนของนางเพื่อซักถามบนขั้นบันได กงชิงเยวี่ยถือลูกปัดพุทธเอาไว้ในมือ และจ้องมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ด้วยนัยน์ตาที่เหยียดหยามผู้หญิงคนนี้ที่คุกเข่าอยู่ในลานจวน เป็นเพียงสาวรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดในจวน ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้บุตรชายของนางเสียด้วยซ้ำ!นางพินิจผู้หญิงคนนี้ คิ้วที่ยาวและเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาที่สดใส จมูกอันเรียวเล็ก และริมฝีปากที่เม้มเล็กน้อยนั้น ดึงดูดผู้คนยิ่งกว่านังจิ้งจอกเสียอีกกงชิงเยวี่ยหลับตา ลูกปัดในมือของนางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ไฟโทษะที่อยู่ในใจทำอย่างไรก็ดับไม่ได้หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าสองชั่วยามแล้ว กงชิงเยวี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นนางจึงทำได้แค่คุกเข่าต่อไปแสงอาทิตย์ยามบ่ายทั้งแสบทั้งร้อน และแผดเผาแผ่นดินอย่างโหดร้าย และไม่มีวี่แววว่าลมจะพัดผ่านมาเลย ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วรูขุมขน แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออกก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นทำให้เข่าของหลินซวงเอ๋อร์เจ็บ ผมเผ้าของนางก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาที่สดใสคู่นั้น ในเวลานี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกำลัง และเต็มไปด้วยความสับสนในท้ายที่สุด ท่านป้า
หลินซวงเอ๋อร์กำฝ่ามือเอาไว้แน่น ระงับอารมณ์ในใจ พูดด้วยน้ำเสียงไม่หยิ่งยโสและไม่ทำตนให้ต่ำต้อยว่า: "ข้ามีคนรักแล้ว ความหวังดีนายหญิง ข้าขอน้อมรับเอาไว้"“มีคนรักแล้ว?” กงชิงเยวี่ยเลิกคิ้ว แล้วจ้องมองนางด้วยความสนใจ: "เป็นบ่าวรับใช้ที่ทำงานเบ็ดเตล็ดในจวนหรือ? เดี๋ยวข้าจะให้ท่านป้าจ้าวเลือกวันมงคลให้กับเจ้า และกำหนดวันแต่งงานให้ ให้คุ้มกับที่เจ้าทุ่มเททำงานให้กับจวนโหวในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานี้"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "เรื่องแต่งงานของข้าข้าจะตัดสินใจด้วยตนเองค่ะ"อยู่ในจวนโหว ไม่อาจทำตามใจตนเองได้ นางสามารถประพฤติตนเหมาะสมได้อย่างไม่ละอายใจ แต่เรื่องแต่งงาน นางอยากตัดสินใจด้วยตนเอง แม้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางจะเป็นกงชิงเยวี่ย แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจเรื่องแต่งงานแทนหลินซวงเอ๋อร์!นางนั่งหลังตรง นัยน์ตาที่ชัดใสคู่นั้นจ้องมองไปที่กงชิงเยวี่ย กงชิงเยวี่ยมองเห็นท่าทีที่โอหังถือดีในตัวนาง“ช่างเถิด แล้วแต่เจ้า วันนี้ที่เรียกเจ้ามา ข้ามีเพียงคำขอเดียว จำสถานะของเจ้าเอาไว้ เจ้าเข้าใจไหม?” น้ำเสียงของกงชิงเยวี่ย เย็นชาขึ้นเรื่อยๆคนที่นางหลินซวงเอ๋อร์ชื่นชอบจะมีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่
เยี่ยเป่ยเฉิงพานางไปที่เรือนฝั่งตะวันออก เตะประตูให้เปิดออก แล้วอุ้มหลินซวงเอ๋อร์เข้าไปในเรือนอวิ๋นซวนหลินซวงเอ๋อร์ทั้งรู้สึกอายทั้งรู้สึกกลัดกลุ้ม สีหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธนางเพิ่งจะรับปากกับกงชิงเยวี่ย ว่าจะระวังสถานะของตนเอง และรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับเยี่ยเป่ยเฉิงสุดท้าย... เขากลับอุ้มนางกลับไปที่เรือนฝั่งตะวันออกต่อหน้ากงชิงเยวี่ย...ถ้าเป็นเช่นนี้ ต่อไปคนในจวนจะคิดกับนางอย่างไร?แล้วนางจะปักหลักอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ได้อย่างไร?หลังจากเข้าไปในเรือน เยี่ยเป่ยเฉิงก็วางนางลง เค้กหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนโต๊ะเป็นของที่ตั้งใจซื้อมาให้ตอนที่เขากลับจวนทันทีที่เยี่ยเป่ยเฉิงวางนางลง หลินซวงเอ๋อร์ก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างกับเยี่ยเป่ยเฉิง ด้วยสีหน้าท่าทางที่ระแวดระวังนางอยากจะเงยหน้าขึ้นแล้วเผชิญหน้ากับเขา และถามเขาว่าเหตุใดถึงมักจะทำให้นางลำบากใจ เหตุใดถึงต้องอุ้มนางกลับเรือนต่อหน้าทุกคน ทำให้นางรู้สึกละอายใจ!แต่นางไม่กล้าต่อหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง นางยังคงขี้ขลาดราวกับว่าเป็นหนู ความกดดันที่มองไม่เห็นของเยี่ยเป่ยเฉิงทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำเยี่ยเป่ยเฉ
นางโค้งคำนับให้เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างสุดซึ้ง แล้วกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า "ขอบพระคุณท่านอ๋อง ท่านอ๋องช่างดีจริงๆ"นัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองไปที่ลักยิ้มลูกแพร์ที่สวยงามทั้งสองข้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เบี่ยงเบนสายตาดูท่าทางที่ไม่เอาถ่านของนางสิ แค่ให้ผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ ก็ดีอกดีใจขนาดนี้ ไม่เอาไหนเลยจริงๆ...แต่ว่า คำเหล่านี้ใช้ได้ผลกับเยี่ยเป่ยเฉิงมาก อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขหลินซวงเอ๋อร์รีบนั่งลงทันที แล้วยัดเค้กดอกหอมหมื่นลี้หอม เข้าปากอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าเล็กๆของนางก็นูนขึ้นมาทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่กินเช่นกัน นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งเขาพบว่าหลังจากที่ได้รับการพักฟื้นในช่วงนี้ ผิวพรรณของนางดูสดใสขึ้นมามาก ร่างกายก็ดูอวบอิ่มมากขึ้น และดูดีมีเสน่ห์มากกว่าแต่ก่อน ทำให้เขามองอย่างไรก็มองไม่พอ“กินช้าๆ จะไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”ทันทีที่พูดจบ หลินซวงเอ๋อร์ก็สำลักอย่างรุนแรงเยี่ยเป่ยเฉิงรีบรินน้ำให้นางหนึ่งแก้ว: "ข้าบอกให้เจ้ากินช้าๆ ถ้าชอบ ครั้งหน้าข้าจะซื้อมาให้เจ้าอีก"หลินซวงเอ๋อร์แทบจะทนรอไม่ไหว ที่จะออกจากจวนไปดูผลการประกาศ เพราะนางอยากรู้ว่าฉีห
ทั้งสองขึ้นรถม้าและมาถึงถนนฉางอานอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งก่อนหน้านี้หลินซวงเอ๋อร์ได้ยินตงเหมยพูดว่า ร้านนี้เป็นร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ดีที่สุดในเมืองหลวง และตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองฉางอานต่างก็มาสั่งตัดเสื้อผ้าที่นี่ แค่เลือกเสื้อผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยู่ข้างในก็มีราคาเท่ากับเงินเดือนทั้งปีของหลินซวงเอ๋อร์แล้วเธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเป่ยเฉิงจึงพานางมาที่นี่ เพราะอย่างไรเสีย เสื้อผ้าของเขาทำโดยช่างตัดเสื้อที่เก่งที่สุดในเจียงหนาน จึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อซื้อเสื้อผ้าเลย“เข้าไปเลือกสิ ชอบชุดไหนก็ซื้อชุดนั้น” เยี่ยเป่ยเฉิงพูดกับนางหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจนางจะซื้อเสื้อผ้าที่นี่ได้อย่างไร...จึงโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยการต่อต้าน เพราะนางต้องการเก็บเงินไว้เพื่อไถ่ถอนตนเอง“ท่านอ๋อง ไม่จำเป็น จวนโหวแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ข้าฟรีทุกปี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนนี้”จวนโหวแจกจ่ายเสื้อผ้า?เยี่ยเป่ยเฉิงนึกถึงชุดผ้าลินินหยาบที่หลินซวงเอ๋อร์สวมใส่อยู่เป็นประจำ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเดิมท
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่เป็นไร"หลินซวงเอ๋อร์แอบพินิจมองเขา และพบว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธเลย แถมตรงมุมปากยังมีรอยยิ้มเบาๆอีกด้วยมีอะไรน่าขันหรือ?หลินซวงเอ๋อร์กะพริบตา เพราะกลัวว่าตนเองจะมองผิดไป“ชอบไหม สามารถลองได้หมดเลยนะ” จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็ลดระดับสายตาลงแล้วมองไปที่นาง และได้สบสายตากับนางเข้าพอดีอารมณ์ประมาณว่าแอบมองแล้วถูกจับได้ หลินซวงเอ๋อร์รีบเบี่ยงเบนสายตา หัวใจก็เต้นแรงเถ้าแก่เนี้ยประหลาดใจเล็กน้อย ดูไปดูมา คุณชายท่านนี้คงจะอยากซื้อเสื้อผ้าให้สาวน้อยผู้นี้?ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เถ้าแก่เนี้ยรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแนะนำรูปแบบเสื้อผ้า ให้หลินซวงเอ๋อร์ด้วยความกระตือรือร้น แต่รูปแบบที่นางแนะนำล้วนเป็นรูปแบบเก่าของปีที่แล้ว ในเมื่อเป็นสาวใช้ สวมใส่เสื้อผ้าที่สูงส่งเหล่านั้นคงจะไม่สมควร เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้...หลินซวงเอ๋อร์ก็ดูรูปแบบเสื้อผ้าตามที่เถ้าแก่เนี้ยแนะนำ แต่รูปแบบที่สีสันฉูดฉาด ไม่ใช่รูปแบบที่นางชื่นชอบ แต่เเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ด้วย แม้ว่านางจะไม่ชื่นชอบ นางก็ไม่กล้าแสดงออกมา จึงทำ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก