ทั้งสองขึ้นรถม้าและมาถึงถนนฉางอานอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งก่อนหน้านี้หลินซวงเอ๋อร์ได้ยินตงเหมยพูดว่า ร้านนี้เป็นร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ดีที่สุดในเมืองหลวง และตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองฉางอานต่างก็มาสั่งตัดเสื้อผ้าที่นี่ แค่เลือกเสื้อผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยู่ข้างในก็มีราคาเท่ากับเงินเดือนทั้งปีของหลินซวงเอ๋อร์แล้วเธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเป่ยเฉิงจึงพานางมาที่นี่ เพราะอย่างไรเสีย เสื้อผ้าของเขาทำโดยช่างตัดเสื้อที่เก่งที่สุดในเจียงหนาน จึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อซื้อเสื้อผ้าเลย“เข้าไปเลือกสิ ชอบชุดไหนก็ซื้อชุดนั้น” เยี่ยเป่ยเฉิงพูดกับนางหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจนางจะซื้อเสื้อผ้าที่นี่ได้อย่างไร...จึงโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยการต่อต้าน เพราะนางต้องการเก็บเงินไว้เพื่อไถ่ถอนตนเอง“ท่านอ๋อง ไม่จำเป็น จวนโหวแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ข้าฟรีทุกปี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนนี้”จวนโหวแจกจ่ายเสื้อผ้า?เยี่ยเป่ยเฉิงนึกถึงชุดผ้าลินินหยาบที่หลินซวงเอ๋อร์สวมใส่อยู่เป็นประจำ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเดิมท
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่เป็นไร"หลินซวงเอ๋อร์แอบพินิจมองเขา และพบว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธเลย แถมตรงมุมปากยังมีรอยยิ้มเบาๆอีกด้วยมีอะไรน่าขันหรือ?หลินซวงเอ๋อร์กะพริบตา เพราะกลัวว่าตนเองจะมองผิดไป“ชอบไหม สามารถลองได้หมดเลยนะ” จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็ลดระดับสายตาลงแล้วมองไปที่นาง และได้สบสายตากับนางเข้าพอดีอารมณ์ประมาณว่าแอบมองแล้วถูกจับได้ หลินซวงเอ๋อร์รีบเบี่ยงเบนสายตา หัวใจก็เต้นแรงเถ้าแก่เนี้ยประหลาดใจเล็กน้อย ดูไปดูมา คุณชายท่านนี้คงจะอยากซื้อเสื้อผ้าให้สาวน้อยผู้นี้?ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เถ้าแก่เนี้ยรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแนะนำรูปแบบเสื้อผ้า ให้หลินซวงเอ๋อร์ด้วยความกระตือรือร้น แต่รูปแบบที่นางแนะนำล้วนเป็นรูปแบบเก่าของปีที่แล้ว ในเมื่อเป็นสาวใช้ สวมใส่เสื้อผ้าที่สูงส่งเหล่านั้นคงจะไม่สมควร เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้...หลินซวงเอ๋อร์ก็ดูรูปแบบเสื้อผ้าตามที่เถ้าแก่เนี้ยแนะนำ แต่รูปแบบที่สีสันฉูดฉาด ไม่ใช่รูปแบบที่นางชื่นชอบ แต่เเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ด้วย แม้ว่านางจะไม่ชื่นชอบ นางก็ไม่กล้าแสดงออกมา จึงทำ
เยี่ยเป่ยเฉิงนำเก้าอี้มาแล้วนั่งลงทันทีจากนั้นไม่นาน หลินซวงเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากห้องลองเสื้อเสื้อผ้าสูงส่งเช่นนี้ นางสวมด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าตนเองจะทำให้เสื้อผ้าเสียหายตอนที่นางออกมาจากในนั้น ใบหน้าที่สวยงามของหลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะเจือปนไปด้วยสีแดงเล็กน้อยเถ้าแก่เนี้ยเคยเห็นสตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงมานับไม่ถ้วน แต่นางไม่เคยเห็นหญิงสาวคนไหนที่งามสง่าเท่ากับหลินซวงเอ๋อร์มาก่อนเลย ชุดกระโปรงนี้นางเห้นสตรีผู้สูงศักดิ์สวมใส่มานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีใครสามารถสวมใส่มันได้อย่างมีเสน่ห์เหมือนนางเลยเถ้าแก่เนี้ยเดินไปรอบๆหลินซวงเอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า นัยน์ตาของนางไม่อาจซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ นางแทบจะอยากยกย่องชื่นชมหลินซวงเอ๋อร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าหลินซวงเอ๋อร์ไม่มีความเบิกบานใจเลย แต่บนใบหน้ากลับมีความรู้สึกที่ลำบากใจตั้งแต่นางเกิดมา นางไม่เคยสวมชุดราคาแพงเช่นนี้มาก่อนเลย ในอดีตมีเพียงช่วงตรุษจีนเท่านั้น ที่แม่ของนางจะเย็บชุดลายดอกไม้ให้นางด้วยตนเองแม้ว่าจะใช้วัสดุธรรมดา แต่นางก็ถือว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า และสวมใส่เพียงครั้งเดียวในช่วงเทศกาลวันตรุษจีน
แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำไมดุร้ายขนาดนี้ด้วย... หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย“เปลี่ยนอะไร? สวมชุดนี้นี่แหละ” เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเสื้อผ้าแบบนั้นควรจะทิ้งไปตั้งนานแล้ว แต่นางก็ยังถือว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่า!"แต่...แต่ว่า" หลินซวงเอ๋อร์ยังคงพยายามอีกครั้ง“แต่อะไรล่ะ? แทนที่จะรู้สึกเสียใจกับชุดนั้น ควรจะคิดตรึกตรองว่า ควรจะทำอย่างไรถึงจะสลัดสถานะนี้ออกไปได้ไม่ดีกว่าหรือ!”เมื่อพูดประเด็นนี้ขึ้นมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็โกรธโดยไม่มีเหตุผลเขาบอกเป็นนัยชัดเจนมากเพียงพอแล้ว และปฏิบัติต่อนางยังไม่ดีพอหรือ?เขาเก็บนางไว้ข้างกายของตนเอง ให้นางเข้าใกล้เขา สอนให้นางฝึกอ่านเขียน พาเนางออกไปเที่ยวกลางคืน ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้นาง หรือแม้แต่จูบนางอย่างดูดดื่ม...นางไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?หรือว่านางไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา?หัวใจของนางทำด้วยหินหรือ?ผู้หญิงโง่คนนี้ แม้ว่าจะส่งสัญญาณยังไงก็ไม่เข้าใจ หรือว่านางอยากให้เยี่ยเป่ยเฉิงลดศักดิ์ศรีของตนเอง มาขอร้องนางอย่างนั้นหรือ?จะเป็นไปได้อย่างไร!เขาเยี่ยเป่ยเฉิงจะยอมลดศักดิ์ศรีลงได้อย่างไร!เมื่อเห็นว่าสีหน้าเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมมาก ร
หลังจากที่หลินซวงเอ๋อร์เบียดตัวอยู่ในฝูงชน นางก็เขย่งเท้ามองเข้าไปข้างใน แต่นางไม่สูงพอ อีกทั้งยังผอมบาง ทำให้ไม่สามารถเบียดสู้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เหล่านั้นได้ ไม่นานนางจึงถูกเบียดออกมาจากฝูงชนทันใดนั้นหลังของนางก็สัมผัสกับกำแพงเนื้อ และมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู“อยากดูหรือ?” ไม่รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงมายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นเขาก็เอามือใหญ่ๆทั้งสองข้างพยุงเอวของนางเอาไว้หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้า มอง เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับนัยน์ตาที่สดใสนัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงทั้งลังเลทั้งอ่อนโยน ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลง แล้วอุ้มนางขึ้นมาหลินซวงเอ๋อร์อุทาน แล้วเอามือทั้งสองข้างโอบรอบคอของเขาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ"ท่านอ๋อง... " ทันใดนั้นนางก็สูงขึ้นมาก เมื่อก้มศีรษะลง ทั้งสองก็อยู่ใกล้กันมาก ลมหายใจของเยี่ยเป่ยเฉิงกระทบที่ระหว่างคอของนาง“ตอนนี้มองเห็นแล้วหรือยัง?” เยี่ยเป่ยเฉิงกระชับแขนของเขา หลินซวงเอ๋อร์ก็นั่งบนแขนของเขาอย่างมั่นคงจากนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปตรงที่ที่มีการติดประกาศผลของทางการ“ตอนนี้ข้าเห็นแล้ว” ไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นได้ แต่สา
ไม่สิ นางคิดเรื่องเหล่านี้ไปเพื่ออะไร?หลังจากฉุกคิดได้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ดูรายชื่อปิดประกาศอีกครั้ง พอยืนยันว่าชื่อของ ฉีหมิงอยู่ลำดับที่หนึ่งแล้ว จากนั้นนางก็รู้สึกโล่งใจ“ท่านอ๋อง ท่านปล่อยข้าพระองค์ลงเถิด ข้าไม่อยากดูอีกต่อไปแล้ว”ไม่เพียงแต่เยี่ยเป่ยเฉิงจะไม่ปล่อยนางลงมาในทันที แขนทั้งสองข้างของเขา ยังโอบกอดนางเอาไว้แน่นอีกด้วยเขากล่าวว่า: "ไม่ดูอีกสักพักหรือ?"ร่างกายของนางเบามาก และนุ่มนวลไปทั้งตัว นอกจากนี้เยี่ยเป่ยเฉิงยังได้กลิ่นหอมพิเศษที่เล็ดลอดออกมาจากบนตัวนางเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นกลิ่นที่สดชื่นสง่างาม ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขเป็นอย่างมากเยี่ยเป่ยเฉิงจึงไม่สามารถวางนางลงได้ชั่วขณะหนึ่ง ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะกอดนางให้นานขึ้นแต่ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าความคิดของเขาค่อนข้างที่จะตลกเขาอยากจะกอดก็ดอดเได้ทุกเมื่อ เหตุใดต้องหาข้อแก้ตัวเหล่านี้ทุกครั้งไปหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้าไม่อยากดูแล้ว ข้าอยากจะลงมา"การที่เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางไว้แบบนี้ ค่อนข้างสะดุดตาคน หลินซวงเอ๋อร์แทบอยากจะลงมาจากบนตัวของเขาเดี๋ยวนั้นเลยเมื่อเห็นนางดิ้นรน เยี่ยเป่ยเฉิงก็ปล่อยตัวน
ไป๋อวี้ถังกำลังจะให้คนขับรถม้าหยุดรถ เมื่อรถม้าไปถึงถนนกว้าง คนขับรถม้าก็ยกแส้ขึ้น ล้อรถก็หมุนไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวผู้นั้นก็หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วไป๋อวี้ถังปิดม่านลงอย่างเสียใจ นั่งอยู่บนเกี้ยว ไม่สามารถฟื้นฟูความรู้สึกได้เป็นเวลานาน“โลกใบนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีหญิงสาวที่สวยงามหยาดเยิ้มขนาดนี้…” โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น ที่ปราศสิ่งสกปรก และเป็นนัยน์ตาที่สะอาดสะอ้านที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาแต่น่าเสียดาย ที่ทำได้แค่มองอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันได้ถามชื่อของนางก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นนางในเมืองฉางอานมาก่อนเลย และไม่รู้ว่านางมาจากไหน และไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะได้พานพบนางอีก...ความเสียใจนี้กลายเป็นโรคใจของไป๋อวี้ถัง และไม่สามารถสลัดความทุกข์นี้ไปได้เป็นเวลานาน…...เยี่ยเป่ยเฉิงห่อนกพิราบตุ๋นให้นางหนึ่งตัว และยังซื้อเค้กดอกหมื่นลี้หอมให้นางอีกหนึ่งกล่อง เพื่อจะได้นำกลับไปกินที่จวนหลังจากกลับมาถึงจวนแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยื่นนกพิราบตุ๋นและเค้กขนมหมื่นลี้ให้กับหลินซวงเอ๋อร์ และพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ออกคำสั่งว่า: "กินให้หมด ห้ามเหลือ"หลินซวงเอ๋อร์คุ้นเคยกับท่าทีที่เผด็จการของเยี่ยเป่ยเฉิ
หลินซวงเอ๋อร์อยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ตงเหมยก็รีบห้ามนางเอาไว้: "เปลี่ยนเพื่ออะไร? อีกสักพักให้ชิวจวี๋ได้เห็น นางจะต้องอกแตกตายเป็นแน่!" หลังจากนั้นไม่นาน ตงเหมยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่ประหยัด จะยอมซื้อเสื้อผ้าสวยๆแบบนี้ได้อย่างไร?ตงเหมยมองดูหลินซวงเอ๋อร์อย่างมีนัยความหมาย แล้วถามว่า "หรือว่าท่านอ๋องเป็นคนซื้อให้เจ้า?"หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้า ก็เขานั่นแหละที่เป็นคนซื้อให้!ก่อนที่ตงเหมยจะรู้สึกประหลาดใจ ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนใจ แล้วมองตามกลิ่นหอมนั้นไป ก็เห็นนกพิราบตุ๋นและขนมเค้กจำนวนหนึ่งอยู่บนโต๊ะ จากนั้นนัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายทันที“ว้าว นกพิราบตุ๋นฃหอมจัง เอ๊ะ? นี่คือเค้กดอกหอมหมื่นลี้หอมใช่ไหม?”ตงเหมยหยิบเค้กดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วนั่งข้างๆหลินซวงเอ๋อร์ พลางกินพลางถามว่า "ท่านอ๋องซื้อทั้งหมดนี้ให้เจ้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ยอมรับตงเหมยกล่าวว่า: "ท่านอ๋องใจดีกับเจ้ามากเลยนะ ทั้งซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้า ทั้งซื้อเค้กขนมดอกหอมหมื่นลี้ให้เจ้า เหตุใดตอนที่ชิวจวี๋เป็นสาวใช้ถึงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้?เป็นเพราะซวงเอ๋อร์
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก