เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
เยี่ยเป่ยเฉิงติดตามเสิ่นป๋อเหลียงเข้าไปในเรือนอวิ๋นซวนก่อนหลินซวงเอ๋อร์จะจากไป นางเก็บไปเพียงเสื้อผ้าชุดเก่าบางตัวเท่านั้น ยาที่เจียงหว่านจัดเตรียมไว้ให้ นางไม่ได้เอาไปด้วย และตอนนี้ก็วางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเสิ่นป๋อเหลียงเดินเข้าไป นำยามามอบให้เยี่ยเป่ยเฉิง พลางกล่าว “ข้าน้อยเดาว่า ที่พระชายาตกโลหิต สาเหตุเพราะเกิดจากยาตัวนี้”เยี่ยเป่ยเฉิงมองดูยาในมือเสิ่นป๋อเหลียง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยคราวก่อนที่หลินซวงเอ๋อร์ขึ้นเขาไปจับงูให้เขา เดินทางเพียงลำพัง กลับมามีบาดแผลทั่วร่าง ยาตัวนี้เจียงหว่านเป็นคนปรุงให้นาง บอกว่ามีสรรพคุณในการรักษาแผลเป็นได้ดี ให้หลินซวงเอ๋อร์ใช้อย่างต่อเนื่อง...ถ้าหากว่ายาตัวนี้มีปัญหาจริง มิเท่ากับเจียงหว่านคิดร้ายต่อหลินซวงเอ๋อร์ตั้งแต่แรกพบหน้าแล้วรึ?มิหนำซ้ำ ยังอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาด้วย!เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร ยาตัวนี้ข้าได้ส่งให้หมอหลวงตรวจถึงสองครั้ง หมอหลวงก็บอกว่าไม่มีปัญหา...”แรกเริ่มนั้น เขาก็เคยสงสัยเจียงหว่านเช่นกัน จึงนำยาที่นางปรุงให้หลินซวงเอ๋อร์ไปให้หมอหลวงตรวจดู แต่หมอหลวงหลายคนต่างบอกว่าไม่มีปัญหา เขาจึงไม่ได้สงสัยนางอีก
เยี่ยเป่ยเฉิงขี่ม้าออกนอกเมือง ไม่นานก็ไล่ตามคนของตระกูลไป๋จนทัน คนของตระกูลไป๋คล้ายจะออกมาทั้งหมด ทั้งบ่าวไพร่และคนงานรับใช้ทั่วไปที่น่าแปลกก็คือ แต่ละคนมิได้พกอาวุธติดตัว เพียงถือจอบเสียมหรือพลั่วคนละอันเท่านั้นทุกคนคล้ายจะเร่งรีบมาก ควบม้าอยู่ตลอดแทบไม่ได้หยุดพัก หากไม่เพราะเยี่ยเป่ยเฉิงเร่งขี่ม้าให้เร็วขึ้น คงไม่อาจตามทันในเวลาอันสั้นแน่เมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงตามไปถึง ก็ได้รั้งตัวทหารผู้หนึ่งไว้ พร้อมกับซักถาม “ใต้เท้าของเจ้าอยู่ที่ใด?”ทหารของตระกูลไป๋ล้วนรู้จักเยี่ยเป่ยเฉิงดี ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นเขามาขวางทาง จึงรีบดึงเชือกให้หยุด พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ“ใต้เท้าออกไปแต่เช้าตรู่ขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงจึงกล่าวต่อ “เขาไปที่ใด? มีผู้ติดตามหรือไม่?”ทหารตอบตามความจริง “ใต้เท้าออกไปเพียงลำพัง ส่วนจะไปที่ใดนั้น ข้าน้อยไม่ทราบได้”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่าทหารคงไม่พูดโกหก จึงได้ถามต่อ “แล้วพวกเจ้าจะไปที่ใด? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”ทหารกล่าวตอบ “ได้รับคำสั่งด่วน ให้คนตระกูลไป๋ออกเดินทางทั้งหมด ไปช่วยเหลือที่อำเภออวิ๋นซีขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเบาๆ เกิดลางสังหรณ์ไม่สู้ดีในใจ “ช่วย
นางกล่าวตอบ “สูญเสียคนที่รัก อยู่อย่างโดดดายชั่วชีวิต...”เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเวลานี้ จึงจดจำคำพูดที่กล่าวอย่างเลื่อนลอยในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด รู้เพียงว่า หัวใจกำลังทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ“ซวงเอ๋อร์ รอข้าด้วย เจ้าจะต้องรอข้า...” เขารีบเฆี่ยนแส้อย่างแรง ห้อตะบึงต่อไปอีกในที่สุดก็มาถึงอำเภออวิ๋นซีเหตุเพราะหน้าดินถล่ม จึงทำให้เส้นทางราบเรียบแต่เดิมกลายเป็นเขาสูงที่ไม่อาจข้ามผ่านได้อีก เมื่อขบวนเดินทางต่อไม่ได้ จึงต้องใช้ทางอ้อมไปเยี่ยเป่ยเฉิงติดตามคนของตระกูลไป๋เดินอ้อมภูเขาสูง มาถึงปากทางหมู่บ้าน อยู่ไกลๆ ก็เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถือพลั่วพร้อมตั้งหน้าตั้งตาขุดดินอยู่ และหนึ่งในนั้นมีรูปกายที่คุ้นตายิ่งเขาคือไป๋อวี้ถัง...ยังจำได้ดีว่า ไป๋อวี้ถังเป็นคนที่ดูแลตัวเองอย่างดี มีความสำอางตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่วันนี้ ตัวเขากลับเลอะด้วยดินโคลน ผมเผ้ากระเซิงยังพอว่า สองมือยังเปื้อนเลือด แลดูมอมแมมเป็นอย่างมากแตกต่างจากบุคลิกสง่างามสูงส่งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิงความรู้สึกกังวลใจของเยี่ยเป่ยเฉิง มาถึงยามนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า ก้าวเท้าหนักตรงไปหาไป๋อวี้ถัง
“เป็นภัยธรรมชาติ...”“นางหนีไม่พ้น เป็นชะตากรรมของนาง...”คำพูดของชาวบ้านวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเขา เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ต้องการฟังคำชาวบ้านอีก ยังคงยืนกรานที่จะถามไป๋อวี้ถัง “ซวงเอ๋อร์เล่า? นางอยู่ที่ใด? เจ้าเอานางไปซ่อนไว้ที่ใด?”“คืนนางให้ข้าได้หรือไม่?”ไป๋อวี้ถังคล้ายอ่อนแรงไปทั้งร่าง ได้แต่นั่งทรุดบนพื้นราวกับเศษดินกองหนึ่งนัยน์ตาเขาดูพร่าเลือน ว่างเปล่าจ้องมองอย่างไร้จุดหมายที่ตรงนี้ เดิมเคยเป็นถนนที่ราบเรียบ แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นกองดินสูงพะเนินเทินทึกที่ยากจะข้ามผ่านได้อีกเยี่ยเป่ยเฉิงมองตามสายตาเขาไป ความสิ้นหวังเริ่มแผ่ซ่านอยู่ในใจ จนไปถึงอวัยวะทุกส่วนในร่างกายชาวบ้านที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น “คุณชาย คนที่ท่านตามหา ถูกฝังอยู่ใต้ดินนี้แล้ว...”ในที่สุด เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยากจะใจเย็นได้อีกเป็นไปได้อย่างไร?เขายังจำได้ดี เมื่อเช้าก่อนจะออกมา นางยังสบายดีอยู่ ยังส่งยิ้มให้แก่ตนเอง นางรับปากว่าจะรอเขากลับมาแล้วผ่านไปเพียงไม่นาน เหตุใดนางจึงถูกฝังอยู่ใต้ดินนี้ได้?“ไม่ ไม่จริง พวกเจ้าล้วนแต่หลอกข้าใช่หรือไม่?” เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระโหย“นางไปหลบซ
แต่ทุกอย่างกลับสายเกินแก้แล้วหลังจากทุกคนไม่หลับไม่นอนขุดดินมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ในที่สุดก็สามารถเปิดเป็นทางเส้นเล็กเบื้องหน้าสำเร็จชาวบ้านคุ้นเคยกับเส้นทางดี จึงรู้ว่าตำแหน่งใดที่หลินซวงเอ๋อร์ควรจะหยุดพัก จึงรีบพาคนขุดต่อไปตามเส้นทางนั้น เพื่อไม่ให้ขุดส่งเดชจนเสียแรงเกินไปภายใต้เศษหิน มีแผ่นไม้ผุพังหลายแผ่นถูกชาวบ้านคนหนึ่งขุดพบ“ขุดเจอแล้ว ขุดเจอแล้ว...”ทันทีที่ได้ยิน ทั้งเยี่ยเป่ยเฉิงและไป๋อวี้ถังต่างก็ใจสั่น“ขุดเจอแผ่นไม้ของรถม้าแล้ว น่าจะอยู่ข้างใต้นี้...”ผู้คนแห่กันไปมุงดู พร้อมถือพลั่วคนละอันไปขุดในตำแหน่งที่ชาวบ้านผู้นั้นบ่งชี้เพียงไม่นาน ล้อข้างหนึ่งของรถม้าก็ถูกขุดออกมา ตามด้วยข้างที่สอง ข้างที่สาม ข้างที่สี่...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบร่างของหลินซวงเอ๋อร์ไป๋อวี้ถังมือสั่นเสียจนแทบจับพลั่วไว้ไม่อยู่ เขากับเยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ด้านหลังชาวบ้าน มองดูภาพเบื้องหน้าจนแทบจะกลั้นหายใจชาวบ้านมีประสบการณ์ด้านนี้อยู่แล้ว เมื่อรู้ตำแหน่งแน่ชัดก็ย่อมทำงานง่ายขึ้น ต่างยกพลั่วขึ้นลง พร้อมช่วยกันขุดเป็นพัลวันเสียงพลั่วกระทบลงพื้น เกิดเสียงดังขึ้นเป็นระยะ แต่ละครั้งที่ลงไปคล
เสียงกระพรวนเงินดังขึ้นกรุ๊งกริ๊ง แม้เสียงจะเบาหวิว แต่กลับบาดหูยิ่งนักเยี่ยเป่ยเฉิงสีหน้าคล้ายกับว่างเปล่า ทันใดนั้น ดั่งมีบางสิ่งแตกสลายอยู่ในใจเงียบๆชาวบ้านขุดเอาสร้อยข้อมือขึ้นมาจากดิน สีเงินของกระพรวนเปื้อนไปด้วยดินโคลน และรูปทรงกลมแต่แรกก็ถูกทับจนผิดรูปไป มีเพียงเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ออกมาเบาๆ เท่านั้นชาวบ้านถืออยู่ในมือ พลางเอาชายเสื้อเช็ดคราบดินที่เปรอะเปื้อนจนสะอาด และถือมายังเบื้องหน้าไป๋อวี้ถัง พลางกล่าว “คุณชาย ท่านดูสร้อยข้อมือเส้นนี้ เป็นของแม่นางผู้นั้นหรือไม่?”ไป๋อวี้ถังไม่ตอบ มีเพียงดวงตาที่สิ้นหวังมองไปยังเยี่ยเป่ยเฉิงเพราะแท้จริงแล้ว สร้อยข้อมือเส้นนี้เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนเลือกให้นางเอง อีกทั้งใส่ให้นางกับมือ จึงจำได้มากกว่าแต่ไป๋อวี้ถังจะไม่เคยเห็นสร้อยข้อมือเส้นนี้จริงรึ?ครั้งหนึ่งหลินซวงเอ๋อร์เคยทำสร้อยข้อมือเส้นนี้ตกไปในน้ำ และเขาก็เป็นคนกระโดดลงน้ำไป เก็บขึ้นมาให้นางเอง...ลูกกระพรวนที่ผูกอยู่ เขาก็เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ไม่กล้าเผชิญกับความจริงเท่านั้นชาวบ้านเห็นดังนี้ จึงหันไปยื่นให้เยี่ยเป่ยเฉิงแทน พลางกล่าว “คุณชาย ท่านดูเองเถิด สร้อยเส้นนี้เป็นของแ
ไป๋อวี้ถังทำตามสัญญา จ่ายค่าตอบแทนให้ชาวบ้านเต็มที่ แต่ไม่ให้พวกเขาขุดต่อไปอีกท้องฟ้าครึ้มมาหลายวัน เพิ่งมีแดดออกวันนี้ แต่ไม่นานก็เริ่มมีสายฝนโปรยปรายลงมาอีกดินในจุดที่ฝังร่างหลินซวงเอ๋อร์เริ่มคลายตัวลงบ้าง เนื้อดินถูกฝนชะล้างจนไหลลงเขาไปบางส่วนและท้ายที่สุด ทุกอย่างหวนคืนสู่ธรรมชาติตามเดิม แม้แต่คราบโลหิตบนพื้นก็เลือนหายไปสิ้นไป๋อวี้ถังยืนอยู่ท่ามกลางฝนตกหนัก มองดูท้องฟ้าที่อึมครึมไปทั่ว เช่นเดียวกับจิตใจเขาในยามนี้เยี่ยเป่ยเฉิงยิ่งได้รับความสะเทือนใจ จนเลือดลมตีขึ้น หมดสติไม่ยอมฟื้นเสวียนอู่รีบพาเขากลับจวน กงชิงเยวี่ยเห็นเข้าก็ตกใจมาก รีบตามเสิ่นป๋อเหลียงให้มาดูแลเสิ่นป๋อเหลียงต้มยาให้เขากิน ทั้งยังฝังเข็มตาม แต่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้นกงชิวเยวี่ยร้อนใจยิ่ง แต่เสิ่นป๋อเหลียงกลับบอกว่าเพราะเขาไม่ยินยอมจะฟื้นเอง อาจเพราะได้รับความสะเทือนใจมากเกินไป จิตใต้สำนึกจึงไม่ยอมตื่นมาอีก“จะไม่ยอมตื่นได้อย่างไร เขาคือเทพสงครามแห่งต้าซ่ง มีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง เขาจะไม่ฟื้นได้อย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงลุกขึ้นยืน พลางส่ายหน้าและถอนหายใจ “ดั่งภาษิตที่ว่าผู้กล้ายากจะผ่านด่านสาวงาม ท่า
หลินซวงเอ๋อร์คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานสิ่งที่นางผ่านมาครึ่งชีวิตล้วนเกิดขึ้นในมโนภาพอีกครั้งท่ามกลางหิมะตกโปรยปราย กระท่อมเล็กใกล้ผุพัง ครอบครัวพ่อแม่ลูกสี่คนที่อยู่อย่างอบอุ่น หลินซวงเอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนมารดา สองตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาบิดาอยู่ด้านข้างกำลังทำกระบี่ไม้ให้นางกับพี่ชายอยู่ มารดาอุ้มนางพร้อมร้องเพลงขับกล่อมให้นอนหลับ ช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งมารดากล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ต้องรีบโตเร็วๆ อีกหน่อยโตเป็นสาวแล้ว คงไม่อ้อนแม่เช่นนี้อีก”หลินซวงเอ๋อร์เบิกตาโตขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์แนบที่อกมารดา “ซวงเอ๋อร์จะอ้อนท่านแม่เสียอย่าง ท่านแม่ต้องอยู่กับซวงเอ๋อร์ตลอดไป”พี่ชายกล่าว “ข้าก็จะรีบเติบใหญ่ไวๆ เมื่อโตขึ้นแล้ว จะซื้อของอร่อยมาให้น้องกิน พาน้องไปอยู่บ้านหลังใหญ่ กินขนมชิ้นใหญ่ที่สุดเลย”บิดาหัวเราะ พร้อมกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องรีบเติบใหญ่ จึงจะปกป้องน้องสาวได้”ในความฝันของนาง หวังจะหยุดอยู่ช่วงนั้นให้นานที่สุด มีความรักจากบิดามารดา มีพี่ชายคอยปกป้อง แม้จะกินไม่ค่อยอิ่ม เสื้อผ้าก็ไม่พอให้กันหนาว แต่กระท่อมน้อยหลังนี้ คือที่ๆ นางอาลัยอาวรณ์ที่สุดทันใดน
เขาย้อนถามเยี่ยเป่ยเฉิง “เหตุใดนางต้องจากไป? เป็นเพราะข้ากระนั้นรึ?”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้จะเอ่ยปากโต้เถียงอย่างไรใช่ เหตุใดนางต้องจากไป มิใช่เพราะความโง่เขลาของเขา ที่ทำให้นางเสียใจอย่างที่สุด จนต้องจากไปเพียงลำพังหรอกหรือ...ไป๋อวี้ถังกล่าว “เพราะเจ้าทำให้นางเสียใจ เพราะเจ้าไม่ได้ถนอนน้ำใจนางไว้!”“แต่รู้หรือไม่ว่า นางรักเจ้าเพียงไหน...”ไป๋อวี้ถังกล่าวเน้นยำทีละคำ “ในคืนวันไหว้พระจันทร์ เจ้าผิดนัดไม่ไปตามสัญญา นางรออยู่ริมน้ำทั้งคืน แต่ไม่ได้โกรธเคืองใดๆ ต่อเจ้า เพียงห่วงว่าเจ้าได้พักผ่อนหรือไม่ ทำงานหนักไปหรือเปล่า จึงได้ลืมวันสำคัญเช่นนี้ไป กระทั่งห่วงว่าเจ้าได้กินข้าวอิ่มท้องบ้างหรือไม่...”ได้ยินถึงตรงนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกคล้ายดวงตาพร่ามัวในคืนไหว้พระจันทร์นั้น เขายอมรับว่าลืมไปจริงๆ ลืมเสียสนิทด้วย! เขารีบกลับไปขอโทษนาง แต่นางก็มิได้โกรธเคือง แต่พอเขาเห็นภาพวาดในห้องลับของไป๋อวี้ถัง กลับคิดว่าเพราะนางอยู่กับไป๋อวี้ถังนั่นเอง จึงไม่นึกโกรธเคืองตนแม้แต่น้อย...นางมีแต่เขาผู้เป็นสามีอยู่ในใจเพียงผู้เดียว แต่เขากลับจิตใจคับแคบ หึงหวงส่งเดช แม้กระทั่งอารมณ์เสียใส่นาง...ห
“นางไม่เคยชอบพอข้ามาก่อน มีแต่ข้าที่คิดไปฝ่ายเดียว” ไป๋อวี้ถังจู่ ๆ ยื่นของในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยไปห้องลับของข้า และเห็นของเหล่านี้เข้า...”เยี่ยเป่ยเฉิงชะงักเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ รับของจากไป๋อวี้ถังมาเขาคลี่ออกดูทีละภาพ ข้างในล้วนเป็นภาพเขียนที่เห็นในห้องลับวันนั้น เป็นภาพที่นางได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ร่วมกับไป๋อวี้ถังมา แต่ละภาพล้วนมีความสมจริง และเป็นที่บาดตาของเขายิ่งไป๋อวี้ถังมองดูหญิงสาวในภาพด้วยความหลงใหล พลางกล่าวเสียงทุ้มเบา “ข้ายอมรับ ว่าเกิดความคิดที่ไม่เหมาะสมต่อนาง นับแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ข้าก็เกิดความคิดแล้ว...”“แต่เรื่องไม่ใช่เป็นเหมือนที่เจ้าคิด”“เหตุการณ์ต่างๆ ในรูป ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจินตนาการเอง...”เขาคลี่ภาพออกทีละภาพต่อ ชี้ไปที่ภาพนั้นๆ พลางอธิบายต่อเขา “เช่นภาพนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้พบนาง นางยืนอยู่ริมถนน บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเหมือนดั่งเทพธิดา เห็นครั้งแรกก็ตราตรึง ครั้งสองยิ่งซึ้งใจ...”เยี่ยเป่ยเฉิงมองตามภาพที่เขาชี้ เขาเพิ่งนึกได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่พานางไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ นางเลือกชุดยาวเป็นสีฟ้าคราม และเมื่อสวมใส่ก็งดงามราวเทพธิดาจำแลงจ
พ่อบ้านไม่รู้ว่าเขาถืออะไรออกมา แต่ดูเป็นม้วนๆ น่าจะเป็นภาพเขียนเรื่องบางอย่าง จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน......เยี่ยเป่ยเฉิงไม่คาดคิดว่าไป๋อวี้ถังจะมาหาเขาเพราะคิดว่า ระหว่างพวกเขาคงไม่มีเรื่องใดต้องคุยกันอีกนับแต่รู้ว่าไป๋อวี้ถังคิดเลยเถิดต่อซวงเอ๋อร์ของเขา ก็ไม่คิดว่าไป๋อวี้ถังเป็นเพื่อนอีก กระทั่งยังนึกอิจฉาในใจเสียด้วยซ้ำ!เพราะเทียบกับที่เขาทำร้ายจิตใจหลินซวงเอ๋อร์ ไป๋อวี้ถังคล้ายกับทำให้นางพอใจและมีความสุขมากกว่าเพียงแต่ซวงเอ๋อร์จะคิดอย่างไรต่อไป๋อวี้ถังกันนะ?หากเขาไม่ใช้วิธีบังคับให้นางมาอยู่ด้วย นางจะชื่นชมไป๋อวี้ถังมากกว่าหรือเปล่า?และหากวันที่จากลา ไม่มีเหตุการณ์ภูเขาถล่ม นางจะไปกับไป๋อวี้ถังจริงๆ ชาตินี้ไม่กลับมาพบเขาอีกหรือไม่?เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็รู้สึกปวดใจยิ่งเรื่องนี้เหมือนดั่งเสี้ยนหนามที่คาอยู่ในลำคอ ทำให้เขาไม่กล้าคิดต่อ ไม่กล้าไปซักถาม ได้แต่หลบเลี่ยงไปวันๆ...สำหรับไป๋อวี้ถังนั้น เขาควรจะโกรธแค้นคนผู้นี้ให้มาก!เพราะวันนั้น ที่หลินซวงเอ๋อร์จากไป ไป๋อวี้ถังก็ตั้งใจจะพาซวงเอ๋อร์ของเขาหนีไปให้ไกล แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ดูแลนางดีๆ จึงทำให้เส
ไป๋อวี้ถังกลับมาถึงจวน ก็เป็นยามค่ำคืนที่ดึกสงัดมากแล้วทันทีที่พ่อบ้านเปิดประตูให้เขา ก็ได้กลิ่นสุราฉุนโชยมาแต่ก่อนไป๋อวี้ถังไม่เคยดื่มเหล้า แต่หลายวันนี้ เขามักกลับมาพร้อมกลิ่นเหล้าติดตัวเสมอพ่อบ้านเป็นคนเก่าแก่ในจวน เห็นไป๋อวี้ถังมาตั้งแต่เล็กจนโต รู้นิสัยดีว่าเป็นคนอย่างไร เขาไม่เคยเห็นไป๋อวี้ถังปล่อยปละตนเองเช่นนี้มาก่อน แม้เจ้าตัวจะไม่ยอมพูดอันใด แต่พ่อบ้านก็รู้ดี ว่าไป๋อวี้ถังมีเรื่องกลัดกลุ้มในใจ จนทำให้เขาคล้ายหมดอาลัยตายอยากจนสิ้น“ใต้เท้า สุราทำลายสุขภาพ ท่านต้องดูแลตัวเองบ้างนะขอรับ” พ่อบ้านเดินตามไป๋อวี้ถังเข้าไปในจวน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ไป๋อวี้ถังดื่มสุราไปมาก เขานึกว่าการดื่มจะทำให้ลืมเลือนความทุกข์ไปได้บ้าง แต่แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไม่ว่าเขาจะดื่มมากเท่าใด ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดในห้วงคำนึงของเขา อย่างไรก็ไม่อาจลบล้าง...ที่แท้ การใช้สุราดับทุกข์ ทุกข์จะยิ่มเพิ่มพูนต่างหากเขารู้สึกก้าวเท้าเลื่อนลอย แต่สมองยังมีสติอยู่มาก“ข้าไม่เป็นไร ท่านออกไปก่อน อย่าให้ใครมารบกวนข้า” ไป๋อวี้ถังผลักประตูห้องหนังสือ ตรงดิ่งเข้าไปด้านในเดิมพ่อบ้า
ไหนๆ คนก็เสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีพยานหลักฐาน ใครจะยืนยันได้ว่านางเป็นคนทำ!แต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้ถามนางซ้ำอีก ไม่แม้แต่จะมองนางอีกสักนิด แต่กลับยืนขึ้น หันไปกล่าวต่อเสวียนอู่ซึ่งยืนอยู่เรือนด้านนอก “เตรียมยามาให้เจียงหว่าน!”เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจียงหว่านก็ค่อยเบาใจลงที่แท้ เขายังเชื่อใจนางอยู่เขาตัดใจฆ่านางไม่ได้หรอกเขายังนึกถึงบุญคุณที่ตระกูลเจียงมีต่อเขา...“ท่านอ๋อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด เจียงหว่านก็ไม่โทษท่าน หากท่านเข้าใจผิดเรื่องใด เจียงหว่านจะอธิบายให้รู้เอง”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้กล่าวเรื่องใดต่ออีก เขายืนที่ขั้นบันใด พร้อมเอามือไพล่หลัง ทั่วกายปรากฏลักษณะอันเย็นชา จนทำให้คนรู้สึกอึดอัดเสวียนอู่รับคำสั่งเดินเข้ามา พร้อมติดตามมาด้วยทหารอีกสองคน พอมาถึงก็คุมตัวเจียงหว่านไว้ ลากตัวนางเข้าไปห้องด้านข้างอย่างไม่ปรานีปราศรัยเจียงหว่านยังบาดเจ็บหนักอยู่ เมื่อถูกกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ นางย่อมตกใจเป็นอย่างมากนางเอื้อมมือไปจับชายเสื้อเยี่ยเป่ยเฉิงไว้ “ท่านอ๋อง เจียงหว่านรู้สึกกลัวนัก เจียงหว่านเจ็บเจ้าค่ะ...”เยี่ยเป่ยเฉิงแทบไม่มองหน้านางเสียด้วยซ้ำ ปล่อยให้ทหารสองคนเดินขึ
ดวงตาเยี่ยเป่ยเฉิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร กริชในมือแทงเข้าไปในอกเจียงหว่านทีละน้อย ทว่ากลับจงใจไม่ให้นางตายใบมีดหมุนวนอยู่ในบาดแผลลึกของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงมีท่าทางเยือกเย็น ไม่สงสารเลยแม้แต่น้อยฟ้ารู้ว่าเขาอยากฆ่านางมาก กระทั่งอยากสับนางเป็นหมื่นชิ้น!ทว่านี่หาได้คลายความเคียดแค้นที่อยู่ในใจเขาไปได้!ซวงเอ๋อร์ของเขาประสบกับความทรมานมากมาย เขาจะให้เจียงหว่านตายอย่างมีความสุขได้อย่างไร!สีหน้าเจียงหว่านซีดดั่งผีสาง เลือดแดงสดไหลออกมาจากทรวงอกนาง นางมองเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยความตกใจ ราวกับไม่กล้าเชื่อว่าเขาจะมีใจคิดฆ่าและอยากฆ่านางจริง…“ท่านอ๋อง…ข้าทำอะไรผิดหรือ…ไยจึงทำเช่นนี้กับข้า…”นางฝืนกลั้นความเจ็บปวด ดวงตาตกใจเผยความหวาดกลัวสุดขีดในใจออดมาเยี่ยเป่ยเฉิงชักกริชออกอย่างแรง พลันเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วราวกับเจียงหว่านถูกสูบแรงจนหมดไปทั่วร่าง จึงค่อยๆ ทรุดตัวไถลตามเสาตกลงพื้นเลือดไหลออกมาจากปากนาง มือกุมบาดแผลที่เลือดไหลไม่หยุดไว้แน่น พลางมองเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยสีหน้าเจ็บปวด พร้อมถามเขาด้วยความไม่เข้าใจอย่างมาก “ท่านจะฆ่าข้าจริงหรือ? พ่อข้ามีบุญคุณต่อท่านอย่างใหญ่หลวงดั่งภูเขา แม้แต่บุญคุณ
หากเป็นเช่นนี้จริงก็ดีเลย นางรอเวลานี้มานานโขแล้ว…นางถึงกับไม่เสียดายที่จะเป็นแทนของหลินซวงเอ๋อร์ สรุปแล้ว หาวิธีอยู่ข้างกายเข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน รอมาเนิ่นนาน รอเขาลืมหลินซวงเอ๋อร์นังผู้หญิงคนนั้นจนสิ้น ไม่แน่เขาอาจจะหันมาชอบตัวเองก็ได้ด้วยความตื่นเต้นเต็มเปี่ยม ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเจียงหว่านถือกระโปรงลงจากรถม้า ไม่รอให้เสวียนอู่นำทาง ก็วิ่งเบาๆ ไปยังเรือนตะวันออกนางถึงขั้นที่คิดได้แล้วว่าควรจะคำปลอบเขาอย่างไร สรุปแล้ว ต้องให้เขาเกิดความรู้สึกดีต่อตัวเองถึงจะได้…ไม่นานก็มาถึงเรือนตะวันออก เสวียนอีไม่ได้ตามเข้าไปอีก แค่ยืนอยู่นอกประตูเรือน ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เจียงหว่านไม่คิดสิ่งใด ยกเท้าก้าวเข้าไปในเรือนทันทีในเรือนว่างเปล่าไร้คน ดูแล้วเงียบเป็นพิเศษต้าหู่ถูกขังไว้ในรั้ว ตอนนี้กำลังหลับอยู่เมื่อเห็นต้าหู่ เจียงหว่านลดฝีเท้าเบาลงไปมากโดยไม่รู้ตัว ด้วยกลัวว่าจะไปทำให้มันตื่นแต่ต่อให้ฝีเท้านางจะเบาแค่ไหน ก็ยังดังจนทำให้ต้าหู่ตื่นอยู่ดีต้าหู่ลืมตาขึ้น ครั้นเห็นเจียงหว่านก้อ้าปากกว้าง คำรามใส่นาง ให้ความรู้สึกว่าอยากจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ เจียงหว่านสั่นเทาไปทั่วร่าง และ
ไม่กี่วันมานี้ เจียงหว่านพักอยู่ในจวนตระกูลเจียงอย่างสบายอกสบายใจคนที่นางส่งไปสอดแหนมหลินซวงเอ๋อร์กลับมารายงานว่า หลินซวงเอ๋อร์เสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก ร่างหายสาบสูญเมื่อได้ยินข่าวนี้ อย่าว่าเลยว่านางจะรู้สึกดีใจปานฉะไหนนางยังกังวลอยู่เลยว่าจะมีใครรู้เรื่องที่ตัวเองทำเข้า แต่ไม่คิดเลยว่าหลินซวงเอ๋อร์จะโชคไม่ดี ประสบภัยน้ำป่า! ดูท่า แม้แต่พระเจ้าก็ยังละเว้นโทษให้นาง!ตอนนี้ ตัวนางไม่อยู่แล้ว แม้แต่ศพก็หาไม่เจอ ก็จะไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องมาถึงนางได้แล้วแต่ไม่รู้ทำไม ไม่กี่วันมานี้หนังตานางกระตุกแรงมาก และมักจะรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ถูกเยี่ยเป่ยเฉิงไล่กลับมาจวนตระกูลเจียง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่เรียกหานางอีก ได้ยินว่า เสิ่นป๋อเหลียงกลับเมืองหลวงมาแล้ว จากนี้ไป เขาไม่มีทางใช้นางอีกแล้ว…ไม่กี่วันนี้นาวพักอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยม รอจังหวะ นางคิดว่ารอเรื่องนี้จบลงแล้ว นางก็จัคิดหาวิธีเข้าใกล้เยี่ยเป่ยเฉิงนางเชื่อว่า คนๆ หนึ่งที่อยู่ในความสิ้นหวังโดดเดี่ยวสุดๆ จะต้องการผู้หญิงสักคนมาเป็นห่วงปลอบใจที่สุด…ไม่คิดเลยว่า เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน