เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ แกะมือของหลินซวงเอ๋อร์ออก พลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงออกไปดูเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็กลับมา”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า พลางโผเข้าซบอกอีกครั้ง ทั้งยังกอดเขาไว้แน่น“ข้าไม่ให้ท่านไป” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอาแต่ใจเช่นนี้ ใช้คำพูดราวกับออกคำสั่งใส่เขาอาจเพราะคืนนี้ฝนตกหนักมาก เสียงฟ้าคำรามก็ยิ่งน่ากลัว อีกทั้งลมพัดแรง ครางกระหึ่มอยู่นอกหน้าต่างแต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด คืนนี้ นางไม่ยินยอมให้เขาออกไป แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้!เยี่ยเป่ยเฉิงหันมากอดนางไว้ พลางลูบผมนางเบาๆ ถามนางว่า “เป็นอะไรไป? เดี๋ยวนี้เจ้าก็เอาแต่ใจเป็นด้วยรึ?”หลินซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้เบาๆ มือน้อยจับเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย“ไม่ให้ไป อย่างไรก็ไม่ให้ไป ซวงเอ๋อร์ต้องการอยู่กับท่าน ห้ามท่านไปเยี่ยมนาง บอกให้นางไปเสีย ข้าเกลียดนางที่สุด” นางแทบจะตะโกนใส่เขา ดีที่เสียงฟ้าคำรามด้านนอกกลบเสียงนางไปสิ้นเยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจ กอดนางพร้อมล้มตัวลงนอน “ได้ ซวงเอ๋อร์อย่างอแง ข้าจะไม่ออกไป”ดวงตาสองข้างของหลินซวงเอ๋อร์แดงก่ำราวกับลูกเหอเถา นางย้ำเตือนเขาอีกครั้ง “หากท่านผิดคำพูดต่อข้า วันห
เจียงหว่านสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางเบา ยืนอยู่กลางสายฝน ปล่อยให้หยาดน้ำกระหน่ำลงสู่ร่างกายไม่ยั้งสภาพนางในยามนี้ สองเท้าเปลือยเปล่า บาดแผลที่ถูกห่อหุ้มไว้เริ่มมีโลหิตซึมออกมารางๆโลหิตสดรวมเข้ากับน้ำฝน ทำให้นางเปียกชุ่มไปเกือบทั่วร่างสีหน้านางซีดเผือด แลดูดั่งผีสาง บอบบางเสียจนหากมีลมพัดมาก็พร้อมจะหอบเอาร่างของนางไปได้เยี่ยเป่ยเฉิงเดินปรี่มายังเบื้องหน้าเจียงหว่าน สองตาดำขลับราวกับเหวลึกที่ไม่เห็นก้นบึ้ง จ้องเขม็งไปยังนาง ประหนึ่งจะอ่านให้ทะลุถึงหัวใจ“เจียงหย่าง เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่” น้ำเสียงเขาแหบต่ำ แฝงด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความอบอุ่นเจียงหว่านปล่อยให้น้ำตานองหน้า นางพาเอาหัวใจที่แตกสลายค่อยๆ เดินเข้าหาเขา รวมกับต้องการโอบกอดสักครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงถอยหลังกรูด ไม่ยอมให้นางมาประชิดตัวเจียงหว่านกัดริมฝีปากมองหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยความน้อยใจ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไยท่านอ๋องจึงไม่คิดเมตตาบ้าง ซ้ำยังเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ ข้ารู้สึกปวดใจนัก ท่านจะอยู่เป็นเพื่อนสักคืนก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ? ถือว่าเห็นแก่พ่อข้าก็ได้”“ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง ในคืนที่ท่านพ่อจากไป ก็มีฝนตกหนักดั่งเช่นวันนี้ ท
เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เจียงหว่านยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติง โม่อวิ๋นเรียกอยู่ด้านข้างเสียนาน นางจึงค่อยรู้สึกตัวกลับมาบ้าง“คุณหนู เรากลับไปจวนตระกูลเจียงเถอะนะเจ้าคะ ท่านอ๋องเค้า...”เจียงหว่านยืนกรานกล่าวตอบ “ไยจึงต้องกลับไป? เขาเคยสัญญากับพ่อข้าว่าจะดูแลข้าอย่างดี...”ฝนยังคงตกหนัก และเจียงหว่านก็ยืนอยู่กลางสายฝน ฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนใบหน้านางจนคล้ายกับภูตผี ดวงตาแข็งกร้าวราวกับคนเสียสติโม่อวิ๋นเองก็เจ็บหนักอยู่แล้ว ยังต้องยืนเป็นเพื่อนนางกลางสายฝนอีก นางไอเล็กน้อย มุมปากมีเลือดไหลซึมออกมา“ท่านอ๋องทำถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนท่านจึงยังยึดติดอีก เรากลับบ้านตระกูลเจียงเถิดนะเจ้าคะ อย่างน้อยคุณชายใหญ่ก็ยังดูแลท่านได้...”เจียงหว่านถลึงตาใส่โม่อวิ๋น พลางกล่าวเสียงดุ “ข้าบอกว่าไม่กลับก็คือไม่กลับ เขาสัญญาว่าจะดูแลข้าอย่างดี เขาเคยพูดไว้ชัดๆ...”โม่อวิ๋นเอามือค้ำเอวด้วยความเจ็บปวดก่อนก้มตัวลงเบื้องหน้าเจียงหว่าน กระดูกซี่โครงของนางถูกเตะจนหัก ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับจะแตกสลาย แต่เจียงหว่านแทบไม่เหลียวมองนาง ในใจนางมีเพียงเยี่ยเป่ยเฉิงผู้เดียว“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนั้นท่านอ๋องรับปากท่านแม่ท
และเจียงหว่านในเวลานั้น นิสัยเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบพูดจากับใคร จึงไม่อาจเทียบเท่าเจียงหลิงได้ แม้แต่พี่ชายของพวกนาง ก็ยังรักแต่เจียงหลิงมากกว่า ไม่ใคร่สนใจเจียงหว่านเท่าใดนักและทั่วทั้งตระกูลเจียง มีเพียงเจียงหลิงที่รักเจียงหว่านเป็นอย่างมากตอนนั้นโม่อวิ๋นเพิ่งมาอยู่ในจวน อายุราวเจ็ดแปดขวบ และนางก็คอยรับใช้เจียงหลิงเจียงหลิงดีต่อนางมาก ไม่เคยดุด่าเฆี่ยนตี เจ็บไข้ได้ป่วยก็เชิญหมอมาดู ช่วงเวลาที่อยู่กับเจียงหลิง เป็นชีวิตที่โม่อวิ๋นรู้สึกว่ามีความสุขเป็นอย่างมากเสียดายคนดีมักอายุสั้น เกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตของเจียงหลิงไปแปดปีก่อน ค่ำคืนที่มีหิมะตกหนัก คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียงพลัดตกบึงน้ำแข็งจนเสียชีวิตไป ทุกคนในบ้านต่างเศร้าโศกเป็นอย่างมากโม่อวิ๋นยังจดจำวันนั้นได้ดี ผู้คนในตระกูลเจียงต่างพากันร้องไห้ระงม มีเพียงเจียงหว่านที่นิ่งเฉย น้ำตาไม่มีสักหยด สองตาจ้องเขม็งไปยังป้ายชื่อของเจียงหลิงที่อยู่ในงานศพโม่อวิ๋นคิดเพียงว่านางคงเสียใจมาก จึงไม่ได้ใส่ใจนักและนับแต่นั้นมา ตระกูลเจียงก็ไม่มีทายาทอีก เจียงหว่านจึงกลายเป็นคุณหนูใหญ่ไปโดยปริยาย และโม่อวิ๋นก็ถูกส่งตัวไปรับใช้เจียงหว่
สตรีที่อยู่หน้าคันฉ่องค่อยๆ หันร่างมา ดวงตารื้นด้วยน้ำตาจ้องมองหลินซวงเอ๋อร์สีหน้านางซีดเผือด ปราศจากเลือดฝาดแม้แต่น้อย ลักษณะทั้งตัวคล้ายเพิ่งถูกงมขึ้นจากน้ำมา ทั้งผมและเสื้อผ้าล้วนเปียมชุ่มไปหมดดูแล้วคล้ายกับเป็นผีพรายหลินซวงเอ๋อร์สยองจนขนหัวลุกชัน ร่างกายสั่นไหวไปทั้งตัวสองมือที่อยู่ในแขนเสื้อแอบใช้แรง ใช้เล็บหยิกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางคิดใช้วิธีนี้ปลุกให้ตนเองตื่นขึ้น ให้รู้ว่านี่คือฝันร้ายจริงๆแต่นางก็ไม่อาจตื่นได้ ถูกกักอยู่ในความฝันไม่อาจหลีกหนี และเบื้องหน้าก็คือผีสาวที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำหมาดๆ...“เจ้าป็นใคร?” หลินซวงเอ๋อร์เดินถอยหลังช้าๆ ในขณะที่ความหวาดกลัวแผ่ขยายมากขึ้นหญิงสาวค่อยๆ ยืนขึ้น ร่างกายท่อนล่างแทบจะมองเห็นทะลุปรุโปร่งหลินซวงเอ๋อร์จ้องมองนาง มีแต่รู้สึกขนลุกขนชันหญิงสาวจ้องมองหลินซวงเอ๋อร์เขม็ง ในปากพูดประโยคเดียวกันซ้ำๆ“เจียงหว่านคิดปองร้ายเจ้า...”“เจียงหว่านคิดปองร้ายเจ้า...”“เจียงหว่านคิดปองร้ายเจ้า...”เสียงฟ้าคำรามด้านนอกปลุกให้หลินซวงเอ๋อร์ตื่นจากฝันขึ้นมานางลืมตาโพลงขึ้น เห็นเพียงรอบข้างมืดสนิท นางรีบหันหลังไปดู สายตาจ้องไปยังตำแหน่
เยี่ยเป่ยเฉิงไหนเลยจะยอมให้หลินซวงเอ๋อร์นอนในห้องตงเหมยได้ จึงไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เปิดผ้าที่คลุมถึงศีรษะหลินซวงเอ๋อร์ โน้มตัวลงเพื่อจะอุ้มนางขึ้นมา“ซวงเอ๋อร์อย่าได้โกรธเคือง ข้าจะอุ้มเจ้ากลับไปนอนเดี๋ยวนี้”หลินซวงเอ๋อร์ดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนเขา มือน้อยกำหมัดแน่น ทุบตีเยี่ยเป่ยเฉิงไม่หยุด“ข้าไม่ไป ข้าไม่กลับไปกับท่าน ข้าไม่อยากนอนคนเดียวในห้องนั้นอีก”นางกลัวมาก ตอนนี้รู้สึกกลัวจริงๆระยะหลังมานี้ นางเริ่มรู้สึกใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายมีบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่ในห้องนั้น ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานอน นางจะรู้สึกหวาดกลัว เกิดความอึดอัดในใจจนแทบหายใจไม่ออกนางแทบจำไม่ได้แล้วว่าได้อดนอนมากี่คืน จนรู้สึกอ่อนเพลียยิ่ง ทุกคืนพอใกล้จะนอนหลับ ก็คล้ายมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นมาฉุดนางลงสู่เหวลึก ให้นางค่อยๆ ดิ่งลงสู่ฝันร้าย จนยากจะถอนตัวนางรู้สึกเหนื่อยนักนางไม่ต้องการจะฝันร้ายอีก เพียงแค่อยากนอนหลับฝันดีแต่นางก็รู้ ถ้าไปอยู่ในเรือนอวิ๋นซวน นางจะไม่มีทางได้นอนหลับ ไม่เหมือนมาอยู่กับตงเหมย นางค่อยได้นอนอย่างหมดห่วงบ้าง แต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมให้นางนอนกับตงเหมย เพียงแค่คำขอเล็กๆ เท่านี
เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกปวดใจยิ่งที่แท้ตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่ นางต้องผ่านความทุกข์ทรมานเช่นนี้มาเคราะห์ดีที่ว่า ตอนนี้เขามีเวลาอยู่กับนางแล้ว จะไม่ยอมให้นางอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีก“เพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้ซวงเอ๋อร์ต้องลำบาก” เยี่ยเป่ยเฉิงกุมใบหน้าของนาง พร้อมจุมพิตด้วยความอ่อนโยนหลินซวงเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ฝืนทนต่อความไม่สบายในร่างกาย ปล่อยให้เยี่ยเป่ยเฉิงใช้กำลังรั้งตัวเข้าในห้อมแขนนางรู้ดี ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่ยอมให้นางออกจากห้องอย่างแน่นอน จึงไม่คิดจะดิ้นรนอีกนางนึกว่าถ้ามีเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่เป็นเพื่อน ตนคงไม่ฝันร้ายเหมือนที่แล้วมาอีก แต่พอหลับตาลง ฝันนั้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนจวบจนเที่ยงคืน หลินซวงเอ๋อร์สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอีกครั้ง เมื่อย้อนนึกถึงภาพในความฝัน นางก็ยิ่งใจเต้นแรงไม่หยุด เนื้อตัวเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในห้องยังจุดตะเกียงสว่างไสว นางหันกายมา ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงนอนหลับสนิทอยู่ข้างกายหลินซวงเอ๋อร์ยังคงขวัญผวาไม่หาย แม้จะอิงแอบอยู่แนบอกเยี่ยเป่ยเฉิง ใจนางก็ยังมีกังวลอยู่มากฝ่ามือรู้สึกเจ็บแสบขึ้น นางจึงพบว่าที่แท้เพราะตนกำหมัดแน่นเกินไป จนเล็บจิกเข้าไปใน
“ท่านพี่ ข้าเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งใดคือความฝัน สิ่งใดคือความจริง เพราะสิ่งที่เห็นเมื่อคืนนี้ เดิมทีอยู่แต่ในความฝัน...”“แต่จู่ๆ กลับปรากฏให้เห็นทั้งที่ข้ายังตื่นอยู่”“ตอนนี้แม้ข้าจะไม่นอน พวกมันก็ยังมารังควานอีก...”“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเคยบอกแล้วว่า ห้องนี้มีสิ่งประหลาดอยู่มากมาย เหตุใดท่านจึงไม่ยอมเชื่อข้า”หลินซวงเอ๋อร์นำความในใจของนางบอกกล่าวให้เยี่ยเป่ยเฉิงได้รับรู้ในที่สุดเขาจึงเริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลเดิมคิดว่านางเพียงพักผ่อนน้อย จึงชอบคิดฟุ้งซ่าน แต่บัดนี้ดูแล้ว อาการน่าจะหนักหน่วงกว่าที่คิด“ซวงเอ๋อร์อย่าดื้อ ข้าจะตามหมอหลวงมาดูเจ้า เจ้าคงจะล้มป่วย...”เขาไม่กล้ารอช้า รีบสั่งให้เสวียนอู่เข้าวังไปเชิญหมอหลวงผู้หนึ่งมาดูหมอหลวงรีบมาถึงจวนอย่างเร็วเขาตรวจชีพจรให้หลินซวงเอ๋อร์ ไม่นานก็พบสาเหตุแห่งโรคเยี่ยเป่ยเฉิงให้หมอหลวงมาพูดข้างหน้าหมอหลวงกล่าว “ร่างกายพระชายาอ่อนแอยิ่งนัก ดูจากอาการเช่นที่เป็นอยู่ คาดว่าเกิดจากความเครียดสะสม หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะยิ่งหนักหนาสาหัส เกินว่าจะเยียวยาได้...”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่อาจระงับความตกใจได้ ดวงตาดำขลับหรี่ลงรวด
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก