ฮุ่ยอี๋เกรี้ยวโกรธมาก จนดึงดาบออกจากมาจากเอวของผู้คุมขัง นางชี้ดาบไปที่ผู้คุมขัง แล้วกล่าวว่า "ข้าจะถามเจ้าคำถามเดียวเท่านั้น! ทาสหมา! เจ้าจะปล่อยเขาหรือไม่?"ดวงตาของนางแดงก่ำ ในนัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธ จิตสังหารอันดุร้ายแวบขึ้นในนัยน์ตาในขณะนี้ นางอยากจะฆ่าคนจริงๆผู้คุมขังตกใจจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะลงแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยจะไม่ปล่อยเขาไป เพียงแต่ว่ามีคนเบื้องบนสั่งมา ข้าน้อยจะรับปากองค์หญิง ว่าจะไม่เฆี่ยนตีเขาอีกแล้ว…”ฮุ่ยอี๋เอาดาบจ่อที่ลำคอของเขา แล้วกล่าวว่า "ข้าอยากให้เจ้าปล่อยเขา!"“ข้าน้อย... ข้าน้อย...” ผู้คุมขังตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก แต่คิดไม่ถึงว่า วินาทีต่อมา จะมีดาบอันแหลมคมจะแทงทะลุหน้าอกของเขาทันใดนั้น เลือดก็พุ่งออกมา และกระเซ็นเล็กไปบนกระโปรงของฮุ่ยอี๋เล็กน้อยฮุ่ยอี๋สะดุ้งตกใจ ดาบอันคมกริบที่อยู่ในมือหล่นลงพื้นจนมีเสียงดัง "เพล้ง"ทันทีที่หันกลับมา ฮุ่ยอี๋ก็เห็นทั่วป๋าจิ่นยืนอยู่ข้างหลังนางด้วยสีหน้าแววตาที่ไร้ความรู้สึก“เสด็จพี่..ท่านทำอะไรเนี่ย?” ฮุ่ยอี๋มีสีหน้าที่ซีดเผือดทั่วป๋าจิ่นดึงดาบออกอย่างสงบนิ่ง
หลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่นอกห้องหนังสือ รู้สึกสับสนอยู่ในใจเป็นอย่างมากนางไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูด และวิงวอนขอร้องอย่างไรเยี่ยเป่ยเฉิงถึงจะไปช่วยชีวิตฉีหมิงหลินซวงเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กำลังจะเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงของเสวียนอู่ดังมาจากข้างในเสวียนอู่กล่าวว่า: " ฉีหมิงทำให้องค์ชายใหญ่ขุ่นเคืองใจ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของทั่วป๋าจิ่น เกรงว่ามันจะไม่ง่ายนัก"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมากเมื่อสักครู่นี้ได้ยินเหยาซื่อบอกว่า ฉีหมิงมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ยอมโค้งหัวให้กับใคร นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ทำทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา ทำอะไรเสรีโดยไม่สนใจความคิดของคนอื่น ทำให้ขุนนางหลายคนในราชสำนักขุ่นเคืองใจไม่น้อย! แต่เนื่องจากสถานะของเขา องค์จักรพรรดิจึงให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ และไม่มีใครกล้าไม่พึงพอใจเขาหลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่า แม้แต่เชื้อพระวงศ์เขาก็กล้าทำให้ขุ่นเคืองใจ?ตอนนี้ตกต่ำผู้คนต่างก็พากันซ้ำเติม ตอนนี้ฉีหมิงกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เลยถูกคนแก้แค้น!ได้ยินมานานแล้วว่า คุกหลวงเป็นนรกที่กินคนโดยไม่ต้องคายกระดูกออกมา ฉีหมิงอยู่ในนั้นไม่รู้ว่าจะอดทนได้นานแค่ไหน...“อย่าแพร่
แต่ว่า คำพูดที่พูดในภายหลัง หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ยินเลยหลินซวงเอ๋อร์กลับไปที่เรือนอวิ๋นซวน หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว นางก็ตัดสินใจเข้าไปในวังเพื่อพบกับฮุ่ยอี๋แต่้าไม่มีการเรียกพบ นางไม่สามารถเข้าไปในวังได้เลยบนโต๊ะอาหารหลินซวงเอ๋อร์กัดตะเกียบ มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างระมัดระวัง และพูดเบาๆว่า: "สวามี ข้าอยากเข้าไปในวัง"เยี่ยเป่ยเฉิงหยุดเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้นมองนาง และถามอย่างสงบนิ่งว่า: " ซวงเอ๋อร์จะเข้าไปทำอะไรในวังหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้าอยากไปหาองค์หญิง"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "เพิ่งจะห่างกันเพียงไม่กี่วัน เหตุใดถึงอยากจะพบนาง ถ้าซวงเอ๋อร์รู้สึกเบื่อ สวามีจะเป็นเดินเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนซวงเอ๋อร์เอง "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "แต่ข้าอยากจะพบองค์หญิง สวามีส่งซวงเอ๋อร์เข้าวังได้หรือไม่?"สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่อ่อนโยนเหมือนเมื่อสักครู่นี้ และแฝงไปด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อย: " ซวงเอ๋อร์ต้องเชื่อฟังนะ หากคุณคิดถึงองค์หญิง อีกสักสองสามวัน สวามีจะไปรับองค์หญิงมาที่จวนเอง"หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และค่อยๆวางตะเกียบที่อยู่ในมือลงเยี่ยเป่ยเฉ
ฟ้ายังไม่สว่าง ขอบท้องฟ้ามีแค่แสงสีขาวรำไรเท่านั้นหลินซวงเอ๋อร์เลิกผ้าห่มแล้วลุกขึ้นยืน นางเคลื่อนไหวเบาๆ ไม่กล้ารบกวนคนที่อยู่บนเตียงก่อนเข้านอน นางได้เติมยาที่ทำให้จิตใจสงบและยาที่ช่วยในการนอนหลับ ลงไปในยาต้มให้ต้มให้เยี่ยเป่ยเฉิงอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ระวังอะไรนาง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาดื่มยาต้มในชามจนหมด ตอนนี้กำลังนอนหลับสนิทตงเหมยกำลังรออยู่นอกประตู เมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์เดินออกมา ก็ถามด้วยความสงสัยว่า: "ดึกป่านนี้ พระชายาจะไปที่ไหนหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์พูดไปตามความเป็นจริง: "พี่ฉีกำลังเดือดร้อน ข้าจะเข้าวังเพื่อไปเข้าเฝ้าองค์หญิง "ตงเหมยมองไปที่ข้างหลังหลินซวงเอ๋อร์ ก็เห็นว่าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้ออกมาด้วย จึงด้วยที่หน้าที่กระวนกระวายใจว่า " ท่านอ๋องจะเห็นด้วยกับการไปของท่านหรือไม่"?หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้"ตงเหมยตกใจมาก รีบห้ามหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้ แล้วกล่าวว่า "ในเมื่อท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ท่านเข้าไปในพระราชวังเด็ดขาด "หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าจะทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงตื่น จึงรีบดึงนางออกไปทางด้านข้าง แล้วกล่าว
ในเวลานั้น แสงบนท้องฟ้าทะลุผ่านความมืด ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้น บรรดานางกำนัลและขันทีในวังก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน แล้วก็เริ่มยุ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆหลินซวงเอ๋อร์ลงมาจากม้า และเอาม้าผูกไว้ที่ประตูพระราชวังพระราชวังใหญ่มาก นางไม่รู้ว่าตำหนักของฮุ่ยอี๋อยู่ที่ไหน ข้างกายมีองครักษ์และนางกำนัลลาดตระเวนเดินผ่านอยู่เป็นระยะๆหลินซวงเอ๋อร์เรียกหยุดนางกำนัลคนหนึ่งเอาไว้แล้วถามว่า "พี่สาว ข้าอยากจะถามว่า ตำหนักขององค์หญิงอยู่ที่ไหน?"นางกำนัลกระทืบเท้า พินิจมองหลินซวงเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่านางแต่งตัวเรียบหรู ไม่เหมือนคนในวัง ในคำพูดจึงแฝงไปด้วยท่าทีที่ต่อต้านมากขึ้น: "ท่านเป็นใคร? ถึงได้กล้าถามเรื่องขององค์หญิง! "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้ามีเรื่องด่วนอยากจะเข้าเฝ้าองค์หญิง รบกวนพี่สาวช่วยไปรายงานด้วย บอกว่าหลินซวงเอ๋อร์ต้องการเข้าเฝ้านาง "นางกำนัลพูดด้วยความโกรธ: "ท่านจะเข้าเฝ้าองค์หญิงตามที่ท่านต้องการได้อย่างไร?ท่านเป็นบุตรีของขุนนางตระกูลไหนหรือ?อยากจะเข้าเฝ้าองค์หญิง ได้ถูกเรียกตัวมาหรือเปล่า?"หลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าเข้ามาในวังเพื่อพบฮุ่ยอี๋จะต้องถูกเรียกตัวก
เนื่องจากเป็นห่วงฮุ่ยอี๋ หลินซวงเอ๋อร์จึงให้จื่อหลันพานางไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งมีองครักษ์สองคนคอยเฝ้าประตูอยู่ นอกจากจื่อหลันที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้จื่อหลันอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว จึงคุ้นเคยกับการใช้กลอุบายหลอกลวง ต่อสู้กันทั้งทางแจ้งและทางลับ ในด้านติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็มีไหวพริบมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ จึงควักเอาแท่งเงินสองแท่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วยัดมันเข้าไปในมือขององครักษ์ทั้งสอง และพูดเบาๆว่า: "พี่ชายทั้งสองได้โปรดเมตตาด้วย แม่นางท่านนี้เป็นสหายเก่าขององค์หญิง ครั้งนี้มาเพื่ออยากจะพบองค์หญิงสักครั้ง"ทหารองครักษ์ชั่งน้ำหนักเงิน มองหน้าซึ่งกันและกัน จากนั้นก็มองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ และกล่าวว่า: " องค์ชายใหญ่มีรับสั่ง ห้ามใครเขาใกล้ตำหนักหลวนเฟิ่ง แม้ว่าจะเป็นสหายเก่าขององค์หญิงก็ไม่ได้ "จื่อหลันกล่าวว่า: " พี่องครักษ์ ได้โปรดผ่อนปรนให้หน่อย องค์หญิงแค่ถูกลงโทษด้วยการคุมขังเท่านั้น พอองค์จักรพรรดิหายโกรธก็คงจะปล่อยตัวนางออกมา... พอถึงเวลานั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงข้าจะพูดสิ่งดีๆของท่านทั้งสองให้องค์หญิงฟัง "คำพู
หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างต่อเนื่องเมื่อเห็นว่าฮุ่ยอี๋เหงื่อออกเต็มศีรษะ หลินซวงเอ๋อร์ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในชามทองแดงออกมา แล้วบิดน้ำออก เช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากให้ฮุ่ยอี๋ และกล่าวปลอบโยนว่า: " องค์หญิงอย่ากลัวไปเลย มันเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว "ฮุ่ยอี๋มองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ขุ่นมัว ราวกับว่าจู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างได้ และพูดว่า: " ซวงเอ๋อร์ เจ้าได้โปรดไปขอร้องสวามีของเจ้า ให้เขาช่วยฉีหมิงด้วย... "หลินซวงเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย: "ดูเหมือนว่า องค์หญิงจะไม่วิธีเช่นกัน... "เดิมทีนางมาเข้ามาในวังเพื่อขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเพราะเยี่ยเป่ยเฉิงปฏิเสธที่จะช่วย สุดท้าย องค์หญิงกลับให้นางไปขอร้องเยี่ยเป่ยเฉิง...เป็นไปได้ไหมว่า จะไม่มีใครสามารถช่วยฉีหมิงได้จริงๆ?น้ำเสียงของฮุ่ยอี๋แฝงเสียงสะอื้นไห้่: "ครั้งที่แล้วที่ข้าเห็นเขาที่คุกหลวง เขาถูกเฆี่ยนจนเลือดอาบไปทั้งตัว..."“ ซวงเอ๋อร์ เขาทำให้เสด็จพี่ของข้าขุ่นเคืองใจ เสด็จพี่ของข้าเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุด ถ้าเขาต้องการฆ่าฉีหมิง เขาจะต้องทรมานเขาอย่างแน่นอน”“ตอนนี้ข้าถูกเสด็จพ่อกักบริเวณ จึงไม่มีทางที่จะไปช
ฮุ่ยอี๋รู้จักนิสัยใจคอของเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นอย่างดี จึงไม่กล้าให้นางอยู่นาน ดังนั้นจึงกำชับให้จื่อหลันพานางออกไปจื่อหลันส่งนางออกจากสวนจักรพรรดิ และกล่าวว่า: " พระชายาเดินไปตามถนนสายนี้ไปจนสุดทาง ก็จะถึงประตูพระราชวังแล้ว ข้างกายองค์หญิงยังต้องการคนดูแล ข้าจึงสะดวกส่งท่านได้แค่นี้ "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "เจ้ากลับไปดูแลองค์หญิงเถิด ข้ารู้จักเส้นทางนี้"จื่อหลันหันหลังกลับแล้วจากไปอย่างไร้กังวลหลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้ารอช้า เดินไปข้างหน้าตามเส้นทางเล็กๆที่ปูด้วยหินไข่ห่าน“แม่นางได้โปรดรอก่อน” น้ำเสียงอันนุ่มนวลดังมาจากด้านหลังหลินซวงเอ๋อร์หยุดเดินชั่วคราว พอหันกลับมา ก็เห็นนางกำนัลที่พบตรงระเบียงทางเดินในตอนเช้านางกำนัลรีบเดินมาหาหลินซวงเอ๋อร์ และกล่าวว่า "แม่นางมาหาองค็์หญิงไม่ใช่หรือ?หาตำหนักหลวนเฟิ่งเจอแล้วหรือยัง?"หลินซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันจะได้ตอบ นางกำนัลก็พูดอีกครั้งว่า: "แม่นางโปรดมากับข้าเถิด ข้ารู้ว่าตำหนักหลวนเฟิ่งอยู่ที่ไหน ข้าสามารถนำทางให้แม่นางได้"อารมณ์ประมาณว่า นางกำนัลคนนี้ยังไม่รู้ว่านาวได้พบกับองค์หญิงแล้ว?แต่ท่าทีของนางกำนัลคนนี้แตกต่างกันมาก จนหลินซวงเอ๋อร์
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก