ใบหน้าอันหล่อเหลาเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลงอย่างสิ้นเชิง“องค์หญิง นี่คือห้องของท่านอ๋อง ท่านจะเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด…” ตงเหมยเตือนจากข้างนอก“ ซวงเอ๋อร์อยู่ข้างในหรือเปล่า? ข้าไม่สน ข้าจะไปหาซวงเอ๋อร์ …”เส้นเลือดบนหน้าผากเยี่ยเป่ยเฉิงกระตุกหลินซวงเอ๋อร์ผลักเยี่ยเป่ยเฉิงออกไปอีกครั้ง สวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็พูดกับ เยี่ยเป่ยเฉิงว่า: "สวามี ข้าออกไปดูหน่อยดีกว่า"เยี่ยเป่ยเฉิง: "...."เมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ออกมา ฮุ่ยอี๋ก็เกาะติดนางอย่างกับตังเม" ซวงเอ๋อร์... ซวงเอ๋อร์ เตียงนั้นแข็งเกินไป เข้านอนไม่ชินเลย..."ตงเหมยกลอกตา และอธิบายว่า: "ข้าได้จัดผ้าปูที่นอนให้นางสามชั้นแล้ว นางก็ยังนอนไม่ชิน และบอกว่ามันไม่นุ่มเหมือนในตำหนักของนาง "ตงเหมยพึมพำว่า: "ในเมื่อรังเกียจเช่นนี้ เหตุใดต้องมานอนค้างที่จวนของพวกเรา ให้ท่านอ๋องส่งกลับไปที่วังเลยดีกว่า พวกเราจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก"หลินซวงเอ๋อร์ปลอบใจตงเหมยว่า: "ตงเหมยคนดี อย่าไปถือสานางเลย องค์หญิงกำลังเมาอยู่ เอาแต่ใจนิดหน่อยถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ตงเหมยพูดด้วยความโกรธว่า: "วันนี้เจ้าก็ดื่มเหล้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่น่ารักกว
ฮุ่ยอี๋พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ไม่อยู่นิ่งเลยแม้แต่น้อยหลินซวงเอ๋อร์ตบหลังฮุ่ยอี๋เบาๆ แล้วกล่าวว่า "องค์หญิง หยุดก่อความวุ่นวาย แล้วรีบนอนเถิด"ฮุ่ยอี๋พลิกตัว และเกาะติดนางเหมือนลูกแมว เอาศีรษะซุกบนหัวไหล่ของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า " ตัวของซวงเอ๋อร์หอมจัง กลิ่นหอมเหมือนเตียงนี้เลย"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่า อันที่จริงแล้วฮุ่ยอี๋ที่กำลังเมาอยู่น่ารักมาก ไม่มีการวางมาดองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ติดคนจนเกินไปไม่สิ ไม่เพียงแต่ติดคนแจเท่านั้น ยังพูดมากอีกด้วย“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าช่วยเล่าเรื่องที่น่าสนใจในหมู่บ้านของพวกเจ้า ให้ข้าฟังอีกหน่อยสิ…”“และเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหล่านั้น...บนโลกใบนี้มีวิญญาณกลับคืนร่างจริงๆหรือ?”หลินซวงเอ๋อร์ง่วงนอนตั้งนานแล้ว จึงพูดไปส่งๆว่า: "เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด องค์หญิงรีบนอนเถิด"ฮุ่ยอี๋ปฏิเสธ เขย่าไหล่ของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า "เล่าให้ฟังหน่อย... ข้านอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้จริงๆ เจ้า... เจ้าก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับฉีหมิง... "หลินซวงเอ๋อร์ขยี้ตา ประคองสติ และกล่าวว่า "องค์หญิงอยากรู้เกี่ยวกับพี่ฉีหรือ?"ฮุ่ยอี๋กอดผ้าห
“สุดท้าย…” ฮุ่ยอี๋ยิ้มอย่างเขินอาย และกล่าวว่า “ประเด็นสุดท้าย ค่อนข้างจะฉาบฉวย ข้าชื่นชอบรูปร่างหน้าตาของเขา”หลินซวงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า " ก็จริง พี่ฉีมีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น และเป็นคนที่มีความสามารถ"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " ข้าคิดว่า เขาหน้าตาดี แต่งตัวดี ประพฤติตัวดี แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นแค่ของนอกกาย แต่พอข้าได้เห็น ก็รู้สึกว่าน่ามอง และรู้สึกมีความสุขเมื่อได้มอง …"หลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเล็กน้อยฮุ่ยอี๋กล่าวต่อว่า: "ตอนแรก ข้าเกลียดรู้สึกเกลียดเจ้านิดหน่อย"หลินซวงเอ๋อร์หันไปมองนาง แล้วกล่าวว่า "ข้ารู้ ข้าไม่เป็นที่รักของผู้คนมาโดยตลอด"ในจวน นอกจากท่านป้าจ้าวและตงเหมยที่ดีต่อนางอย่างจริงใจแล้ว นางมักจะถูกรังแกโดยไม่มีสาเหตุอยู่เสมอชิวจวี๋ไม่ชอบนาง ท่านป้าหลี่ก็มักจะทำให้นางลำบากใจอยู่บ่อยๆ แม้แต่กงชิงเยวี่ยก็เกรี้ยวโกรธอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อได้เห็นนางเดิมทีเหยาซื่อก็ชื่นชอบนาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พักหลังถึงได้ไม่ชื่นชอบนางแล้ว...หลินซวงเอ๋อร์คิดกับตนเองว่า อาจจะเป็นเพราะตนเองเกิดมาเป็นคนที่ไม่น่ารัก ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนจึงเกลียดนางโดยไม่มีเหตุผล"แ
เยี่ยเป่ยเฉิงตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็ได้ยินหลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆพูด“ข้าไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าชอบเขาที่ตรงไหน”หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงเต้นรัวเป็นไปได้ไหมว่า... บนตัวเขาไม่มีตรงไหนที่นางจะชื่นชอบเป็นพิเศษ?คำพูดของหลินซวงเอ๋อร์ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกสงสัยในชีวิตอยู่ครู่หนึ่ง...คิดไม่ถึงว่า เสียงจากห้องข้างๆจะทะลุผ่านผนังห้องแล้วเข้าไปในหูของเขา ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวเป็นอย่างมาก“บางทีอาจจะชื่นชอบทุกอย่างที่เป็นเขาก็ได้”มุมปากของเยี่ยเป่ยเฉิงโค้งขึ้น หางตาและคิ้วแฝงไปด้วยรอยยิ้มเจ้าตัวน้อย แบบนี้ว่าไปอย่าง ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทกับนางมากขนาดนี้...แต่ทว่า พอฟังไปฟังมา บทสนทนาของทั้งสองคนก็ค่อยๆหลุดประเด็นเล็กน้อยฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ไม่น่าล่ะท่านลุงถึงได้ชอบเจ้าขนาดนี้ ซวงเอ๋อร์ ตัวเจ้าหอมมากเลย..."“อีกอย่าง...ปกติแล้วท่านลุงเลี้ยงอะไรเจ้าบ้างหรือ?”“องค์หญิง ท่านทำอะไรเนี่ย ท่านอย่าจับมั่วซั่วสิ…”“จับนิดจับหน่อยจะเป็นไรไป ข้ากับเจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่ต้องสงวนตัวขนาดนี้ก็ได้...”“ว้าว ช่างสวยมากจริงๆ...”หลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่า ฮุ่ยอี๋ที่กำลังเมาจ
ฮุ่ยอี๋เหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างเป็นมิตร และบังเอิญสบตากับสายตาที่เย็นยะเยือกของเขาอีกครั้ง ทำให้ต้องหดคอเพราะความตกใจ จากนั้นก็เบือนหน้าไปทางอื่นทันทีฮุ่ยอี๋อดไม่ได้ที่จะต่อว่า นางไม่ได้ยั่วยุเขาเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องมองนางด้วยสายตาที่อาฆาตเช่นนั้นด้วย?“ในเมื่อองค์หญิงสร่างเมาแล้ว ก็ควรรีบกลับวังไปเสีย! มันไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่นานเกินไป!” เยี่ยเป่ยเฉิงขับไล่แขกทันทีฮุ่ยอี๋ดึงแขนเสื้อของหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้ ไม่กล้าตอบอยู่ครู่หนึ่ง และเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างขี้ขลาด จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้หลินซวงเอ๋อร์ช่วยพูดแทนนางหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า "สวามี ท่านอย่าดุมากนักสิ ไม่ง่ายเลยที่องค์หญิงจะมาที่จวน ถ้านางอยากจะเที่ยวเล่น ก็ให้นางเที่ยวเล่นต่อไปอีกสักสองสามวันเถิด"ฮุ่ยอี๋พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก และพึมพำว่า: "ในวังน่าเบื่อจะตาย ซวงเอ๋อร์ ข้าอยากจะเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน"ฮุ่ยอี๋พบว่าตนเองชอบหลินซวงเอ๋อร์มากจริงๆ นางน่าสนใจมากกว่านางกำนัลและขันทีในวังเสียอีก แค่ได้พูดคุยสนทนากับนางก็มีความสุขแล้วนางยังอยากฟังหลินซวงเอ๋อร์เล่าเรื่องเรื่องราวพื้นบ้านแปลกๆเหล่านั้นให้น
“เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เอาไหนขนาดนี้…” ฮุ่ยอี๋ดูถูกหลินซวงเอ๋อร์อยู่ในใจหลินซวงเอ๋อร์พูดกับนางเบาๆว่า: "ข้าบอกไปแล้วว่า บางครั้งสวามีของข้าก็ดุร้ายมาก... "ฮุ่ยอี๋กลอกตาใส่: "ขนาดสวามีของตนเองยังกลัวขนาดนี้ เขาจะกินเจ้าหรืออย่างไร?"สีหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงทันทีนางกลัวจริงๆว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะกินนาง!เมื่อเห็นทั้งสองเอาศีรษะแนบชิดกัน แล้วกระซิบกระซาบ และไม่รู้ว่าพวกนางกำลังพึมพำอะไรกันอยู่ เยี่ยเป่ยเฉิงก็เริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ: " เสวียนอู่! ส่งองค์หญิงกลับไปที่วัง!"เมื่อเห็นว่าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังจะขับไล่นางออกไปจริงๆ หลังจากที่ฮุ่ยอี๋ได้ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียแล้ว จึงทำได้แค่ยอมอ่อนข้อให้มากที่สุด" ให้ข้ากลับไปก็ได้ แต่ข้าอยากจะให้ซวงเอ๋อร์เที่ยวเล่นกับข้าสักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ท่านลุงไม่ต้องขับไล้ข้า พอค่ำแล้วข้าจะกลับวังไปด้วยตนเอง! "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า: " ซวงเอ๋อร์เป็นพระชายาของข้า ไม่ใช่สาวใช้ที่คอยรับใช้ผู้อื่น! องค์หญิงอยากจะหาใครสักคนคลายความเหงา มองหาคนผิดหรือเปล่า?"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "เหตุใดท่านลุงถึงใจแคบขนาดนี้?ข้
แต่ทว่า หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้วเช่นกัน นัยน์ตาคู่หนึ่งมองไปรอบๆอย่างสงสัย เมื่อเห็นร้านขายขนมมนุษย์น้ำตาลริมถนน จู่ๆนางก็หยุดเดินทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงเดินไปข้างหน้า สังเกตมองเห็นที่อยู่ข้างๆเป็นครั้งคราวเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็หยุดเดินชั่วคราว หันกลับมาจูงมือของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วพูดว่า "เพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน? ก็เดินไม่ไหวแล้วหรือ?"ออกมาครั้งนอกครั้งนี้ หลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะออกมาเป็นเพื่อนนางด้วยตนเองนางเลียริมฝีปาก กล่าวกับเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างระมัดระวังว่า: "สวามี ซื้อขนมถังเหรินได้ไหม?"นับจากครั้งที่แล้วที่เป็นร้อนในแล้วปวดฟัน เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่ยอมให้นางกินขนมหวานอีก ในมื้ออาหารประจำวันก็พยายามเลือกอาหารที่มีน้ำตาลน้อยให้นางกินแต่หลินซวงเอ๋อร์อยากกินมาก ตอนนี้พอนางเห็นขนมถังเหรินจึงหยุดเดิน และนึกถึงรสชาติที่หวานเลี่ยนนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร์คนดี อย่ากินขนมหวานมากเกินไป"“กินสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ? แค่นิดเดียวเอง…” หลินซวงเอ๋อร์อ้อนวอนอย่างจริงใจเยี่ยเป่ยเฉิงแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างจริงจังว่า: "ไม่ได้ ซวงเอ๋อร์ต้
เยี่ยเป่ยเฉิงจูงมือหลินซวงเอ๋อร์ไปที่ร้านขายขนมถังเหริน“ ซวงเอ๋อร์อยากกินขนมถังเหรินใช่ไหม? เดี๋ยวสวามีจะเลือกให้เจ้าอันหนึ่ง”เมื่อเจ้าของร้านเห็นว่าจะมีคนซื้อของ ก็รีบทักทายอย่างอบอุ่น“นายท่าน จะซื้อขนมถังเหรินหรือ? สองสามอันนี้เป็นขนมมนุษย์น้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดเลย นายท่านดูสิว่ามีอันที่ชอบไหม”สีหน้าท่าทางของหลินซวงเอ๋อร์ดูอ่อนลงทันที นางกำลังจะบอกว่าอยากได้นกฟีนิกซ์ที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่า ในวินาทีต่อมา สีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงพูดกับเจ้าของร้านว่า "รบกวนเถ้าแก่เอาขนมถังเหรินที่อยู่ตรงมุมอันนั้นมาให้หน่อย เอาอันนั้นก็พอแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงเลือกไปเลือกมา สุดท้ายก็เลือกอันที่เล็กที่สุดและน่าเกลียดที่สุดให้นาง...หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยอีกครั้ง นางอยากได้นกฟีนิกซ์ที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุด ไม่ได้อยากได้หัวหมูอันนี้...เยี่ยเป่ยเฉิงยื่นขนมถังเหรินให้หลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า "กินอันนี้เถิด สวามีเห็นว่ามันน่ารักที่สุด"หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ขนมถังเหรินแค่นี้นางกินคำเดียวก็หมดละ! แต่เงินที่เยี่ยเป่ยเฉิงจ่ายให้กับเจ้าของร้
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก