เมื่อหลินซวงเอ๋อร์ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกงุนงง พอเห็นท่าทางที่สั่นเทาของเขา เหมือนว่าตกใจกลัวสุดขีด จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า: "เถ้าแก่ เจ้ากลัวอะไรหรือ?ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้าเสียหน่อย"หน้าตาของหลินซวงเอ๋อร์ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย ดังนั้นเจ้าของร้านจึงไม่กลัวนาง แต่สิ่งที่เขากลัวคือพ่อเจ้าประคุณที่ยืนอยู่ข้างหลังนางต่างหาก!เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านไม่ยอมพูด หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่อยากไล่บี้ถาม แต่ดวงตาที่เฉียบคมของนางยังคงพบคราบเลือดที่หลงเหลืออยู่ที่กรอบประตูแม้ว่าจะตั้งใจทำความสะอาดแล้ว แต่ถ้าพิจารณาดูดีๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้บางส่วนหลินซวงเอ๋อร์พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า: " เถ้าแก่ มีคราบเลือดอยู่ที่กรอบประตูหรือเปล่า? เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ? "นางว่าแล้วเมื่อคืนนี้นางได้ยินเสียงอะไรแปลกๆอย่างคลุมเครือ!เจ้าของร้านตัวสั่นเทา สายตามองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า: "เป็นไปได้ไหมว่าเถ้าแก่จะชนมันโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว"“ เอ๋? ” เจ้าของร้านตกใจกลัว จนหัวใจแทบจะหล่นไปที่ตาตุ่มแม้ว่าน้ำเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงจ
หลังจากประชุมงานราชการในตอนเช้าเสร็จแล้ว ฉีหมิงกับขุนนางหลายคนก็ไปที่ประตูพระราชวังพร้อมกันหลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศในพระชาวังก็หนาวเย็น น้ำค้างเย็นบนพื้นยังไม่ละลาย บนกำแพงสีแดงและเศษหินที่แตกร้าวยังมีหยดน้ำเล็กๆที่ใสราวคริสตัลควบแน่นกันเล็กน้อยฉีหมิงมีท่าทางที่ตรงสง่า คิ้วตาที่คมเข้ม และรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาอ่อนโยนแแฝงไปด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อยเขาสวมชุดขุนนางระดับสี่บางๆเท่านั้น ลมแห่งสารทฤดูพัดผ่านชายเสื้อที่สะอาดของเขา ทำให้เขาดูเย่อหยิ่งเย็นชามากยิ่งขึ้นฉีหมิงมีความสามารถมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้ทำความชอบอยู่หลายครั้ง ทำให้องค์จักรพรรดิชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก ภายระยะเวลาสั้นๆเขาก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นขุนนางระดับที่สี่ และรับหน้าที่เป็นขุนนางระดับสูงแห่งศาลต้าหลี่แค่เขามีนิสัยที่ชอบเก็บตัว ไม่ชอบผูกมิตรกับขุนนางในราชสำนักมาโดยตลอด เขาทำสิ่งต่างๆในแบบของตนเอง โดยที่ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ใดๆเลย ดังนั้นเขาจึงทำให้ขุนนางใหญ่โตหลายคนขุ่นเคืองใจถึงกระนั้น ก็ยังคงมีขุนนางน้อยใหญ่ไปสานสายสัมพันธ์กับเขาลับหลังฉีหมิงได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญจากองค์จักรพรรดิตั้
สามวันต่อมาเป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงฮุ่ยอี๋ในอดีตงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติจะจัดขึ้นในพระราชวัง ปีนี้เป็นปีที่องค์หญิงฮุ่ยอี๋อายุครบสิบห้าชันษา ดังนั้นงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติจึงยิ่งใหญ่เป็นพิเศษมีพื้นที่ล่าสัตว์สำหรับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีสำหรับการล่าสัตว์ องค์จักรพรรดิจึงถือโอกาสว่าเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงฮุ่ยอี๋ จัดการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงขึ้นมาเป็นพิเศษและได้เชื้อเชิญสตรีผู้สูงศักดิ์ ขุนนางระดับหกขึ้นไปทั้งหมดหลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงฮุ่ยอี๋จะส่งบัตรเชิญให้นางบัตรเชิญวางไว้บนโต๊ะ หลินซวงเอ๋อร์เอามือกุมศีรษะแล้วจ้องมองบัตรเชิญนั้นด้วยความงุนงงเมื่อนางก้มศีรษะลง ก็เผยให้เห็นส่วนหลังของลำคอที่สวยงาม และเปล่งแสงอย่างนุ่มนวลภายใต้แสงเทียนข้างหลัง มีร่างคนคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆอย่างเงียบๆเยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเงียบๆ นัยน์ตาของเขาจับจ้องไปที่นางหลินซวงเอ๋อร์กำลังเหม่อลอยอยู่ จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งเงาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมนางทีละเล็กทีละน้อย ราวกับว่าปกคลุมไปด้วยผ้าสีดำผืนหนึ่งกล
คำพูดนี้นางไม่ได้พูดโกหก ช่วงนี้นางพบว่าตนเองเกาะติดเขามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขามีหลายอย่างที่จะต้องทำในกองทัพ จึงมักจะออกเร็วกลับช้า และจะเจอเขาได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นลูกกระเดือกของเยี่ยเป่ยเฉิงกลิ้งไปมา หัวใจของเขาแทบจะละลายทันทีสิ่งที่เขาต้านทานไม่ได้ที่สุดก็คือความออดอ้อนของหลินซวงเอ๋อร์ พอนางออดอ้อน ทำตัวเหมือนคนตระการตา เขาก็จะสูญเสียบรรทัดฐานของตนเองในที่สุด เขาก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ และถามว่า " ซวงเอ๋อร์ขี่ม้าเป็นไหม"บุตรีของขุนนางที่ร่วมงานล่าสัตว์ในครั้งนี้ล้วนขี่มาเป็น แม้ว่าพวกนางจะไม่ต้องไปพื้นที่ล่าสัตว์เพื่อล่าสัตว์ แต่พวกนางก็จะมีม้าที่มีนิสัยอ่อนโยนประจำตัว เพื่อขี่ม้ารับชมการล่าสัตว์อยู่รอบๆพื้นที่ล่าสัตว์ที่ปลอดภัยหากหลินซวงเอ๋อร์อยากไป ก็จะต้องขี่ม้าให้เป็นก่อนหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " สวามีสอนข้าได้ "ในใจของหลินซวงเอ๋อร์ เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นแทบจะทุกอย่าง การขี่ม้ายิงธนูคือจุดแข็งของเขา มีเขาอยู่ทั้งคน ไม่มีอะไรที่นางไม่สามารถเรียนรู้ได้เยี่ยเป่ยเฉิงจนปัญญากับนางจริงๆ สุดท้ายก็ต้องพยักหน้าแล้วตอบตกลงกับนาง: "ถ้าอย่างนั้นซวงเอ๋อร์จะต้องลำบากหน่อยนะ ถ้าตกลงม
ในห้องอ่านหนังสือ แสงเทียนสลัว นัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดาว" ซวงเอ๋อร์สามารถเลือกได้ อยากจะอยู่ในห้องอ่านหนังสือก็ได้นะ " ขณะที่พูด ก็มีแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยมาจากหน้าอกของเขา เสียงทุ้มลึกน่าดึงดูดของเขากระทบมาที่แก้วหูของนางเบาๆ เสียงนี้กระทบไปถึงภายในใจ ทำให้คนที่ได้ยินตกอยู่ในภวังค์จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้แต่ทว่า หลินซวงเอ๋อร์ยังคงมีสติหลงเหลืออยู่บ้างอีกแง่มุมหนึ่ง หลินซวงเอ๋อร์หวาดกลัวเขาสุดขีด ทุกครั้งที่ถูกเขารังแก นางก็จะลุกลงจากเตียงได้เป็นเวลาหลายวันดังนั้น ในช่วงเวลานี้นางมักจะหาข้อแก้ตัวต่างๆเพื่อบ่ายเบี่ยงเขาหลินซวงเอ๋อร์กดมือที่ไม่อยู่นิ่งของเขาได้ทันเวลา แล้วกล่าวว่า: "สวามี ตอนนี้ยังไม่ดึกเลย ซวงเอ๋อร์ฝึกเขียนตัวอักษรดีกว่า"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ“เหตุใดเจ้าถึงอยากฝึกคัดอักษรตอนนี้ล่ะ?” เยี่ยเป่ยเฉิงใช้ปลายนิ้วลูบไล้ข้อมือของนางเบาๆ เหมือนกลั่นแกล้งนางหัวใจของหลินซวงเอ๋อร์สั่นไหว และกล่าวว่า " ซวงเอ๋อร์อยากจะเขียนชื่อสวามีให้ดี สวามีสอนซวงเอ๋อร์หน่อย"“ถ้าอย่างนั้นสวามีจะสอนซวงเอ๋อร์เขียน
หลินซวงเอ๋อร์ไม่ยอมลดละ ยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ กดไหล่ของนางเอาไว้ แล้วผลักนางออกไปไกลๆหลินซวงเอ๋อร์พยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ จึงรู้สึกโกรธเล็กน้อยจึงหันหลังกลับไป นั่งลงข้างๆแล้วทำหน้าบูดบึ้งอยู่คนเดียวหลินซวงเอ๋อร์โกรธมาก จนร่างเล็กๆสั่นเทาเพราะความโกรธ บวกกับใบหน้าอันเรียวเล็กที่มืดดำ และสีหน้าท่าทางที่ดุร้ายแบบน่ารักของนาง ช่างน่าตลกขบขันเหลือเกินเยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ตอนนี้สาวน้อยคนนี้กำลังเกรี้ยวโกรธอยู่ เขาจึงไม่สามารถหัวเราะออกมาได้อย่างเปิดเผย จึงทำได้แค่อดทนแล้วง้อนางเขายื่นมือออกไปยืดร่างกะทัดรัดของนาง จ้องมองนาง และกล่าวแบบกลั้นหัวเราะว่า: "เหตุใดซวงเอ๋อร์ถึงได้ใจแคบเช่นนี้? แค่นี้ก็โกรธแล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากสนใจเขา หันกลับไปอย่างดื้อรั้นและไม่ยอมมองเขาดูเหมือนว่าจะโกรธมากเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวอย่างยอมเสียหน้าว่า "สวามีผิดไปแล้ว? ซวงเอ๋อร์อย่าโกรธเลยนะ?"หลินซวงเอ๋อร์ทำเสียง "ฮึ่ม"ด้วยความโกรธ แต่ก็ยังเมินเฉยต่อเขาเยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างจนใจว่า: "เอาล่ะ สวามียอมให้ซวงเอ๋อร์กลั่น
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ หลินซวงเอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา หัวเราะจนไหล่เล็กๆของนางสั่นอย่างรุนแรงนางไม่เคยคิดมาก่อนว่า เยี่ยเป่ยเฉิงผู้สูงศักดิ์เย็นชาจะมีด้านที่ดูน่ารักปัญญาอ่อนเช่นนี้"สวามี ท่านช่างปัญญาอ่อนจริงๆ"หลังจากประสบการณ์ในครั้งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กลัวเขาอีกต่อไป อย่างไรเสียหน้าก็มืดดำจนไม่มีชิ้นดีอยู่แล้ว จึงไม่กลัวว่าเขาจะทาบนใบหน้าของนางอีก ดังนั้นนางจึงกล้าหาญมากยิ่งขึ้น นางใช้มือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกทาลงบนใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิง หัวเราะพร้อมกล่าวว่า: "สวามี หน้าของท่านเหมือนถ่านหินสีดำก้อนหนึ่งเลย"เยี่ยเป่ยเฉิงก้าวเท้าเดินไปใกล้ๆนาง แล้วกล่าวว่า "เพราะซวงเอ๋อร์เป็นคนทำไง "ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าความรู้สึกกดดันกำลังถาโถมเข้ามา ทำให้นาง ต้องถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกบีบบีงคับให้เข้ามุม ด้านหลังจึงไม่มีที่ให้ถอยแล้ว“ ซวงเอ๋อร์กลัวอะไร? สวามีไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย” เยี่ยเป่ยเฉิงกักนางไว้ที่มุมผนัง เมื่อเห็นนางไม่มีทางหลบหนี และมีท่าทางที่ดูตื่นตระหนกเล็กน้อย มุมปากของเขาก็โค้งงอขึ้นหลินซวงเอ๋อร์แค่กลัวว่าเขาจะกินตนเอ
เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สามารถต้านทานนางได้ และกลัวว่าจะทำให้นางโกรธเคืองอีกครั้ง จึงทำได้แค่เพียงเกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า: "ได้ สวามีรับปากเจ้า แค่อาบน้ำด้วยกัน จะไม่ทำอย่างอื่น ซวงเอ๋อร์วางใจแล้วหรือยัง?"หลินซวงเอ๋อร์ใช้สายตาที่คาดเดาได้ยากมองไปที่เขาคำพูดของเขา เชื่อถือได้แค่ไหน?เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นสีหน้าที่ไม่เชื่อของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วกล่าวว่า: "สวามีไม่ใช่สัตว์ร้ายเสียหน่อย เหตุใดซวงเอ๋อร์ถึงได้มองสวามีด้วยสีหน้าท่าทางแบบนั้น?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "แค่อาบน้ำด้วยกันเฉยๆใช่หรือไม่? สวามีจะต้องรักษาคำพูดนะ? ว่าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่น?"เยี่ยเป่ยเฉิงแสร้งทำเป็นโกรธได้สำเร็จแล้วกล่าวว่า " ซวงเอ๋อร์คิดว่าสวามีเป็นอะไร? สวามีเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ เคยผิดคำสัญญาตั้งแต่เมื่อไหร่? "รักษาคำพูด?พอหลินซวงเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดที่คุ้นเคยเหล่านี้แล้ว ก็มักจะรู้สึกว่าเขาพูดคำนี้กับตนมาหลายครั้งแล้ว หลังจากนั้นก็หักหน้าตนเองอย่างรวดเร็วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้เวลานางได้ครุ่นคิด เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของนางทันที และกล่าวว่า " ซวงเอ๋อร์ รีบอาบตอนที่น้ำยังร้อนเถิด รีบอาบรีบนอน วันพรุ่งนี้
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ