ผ่านไปหลายวันแล้ว หลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเหยาซื่อจะยังมาหาตนครั้งที่แล้วเลิกลากันได้ไม่ดี ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกห่างเหินกับเหยาซื่อ แต่เมื่อนึกถึงความเมตตาในอดีตจะทิ้งให้นางอยู่นอกประตูไม่ได้ ดังนั้นจึงสวมเสื้อผ้าแล้วออกไปพบกับนางเมื่อเห็นเหยาซื่อยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์จากระยะไกล ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่มีความสุข หลินซวงเอ๋อร์ก็คาดเดาเอาไว้ในใจแล้วจะต้องมาเพราะเรื่องของฉีหมิง และมาคิดบัญชีกับตนเองแน่ๆดังนั้น หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่ได้ให้ตงเหมยตามมาด้วย ตามนิสัยใจคอของตงเหมยแล้วอาจจะทะเลาะวิวาทกับเหยาซื่อได้หลินซวงเอ๋อร์ยังคงเคารพเหยาซื่อจากก้นบึ้งของหัวใจ และปฏิบัติต่อนางในฐานะผู้อาวุโสมาโดยตลอด แม้ว่าคำพูดของนางจะไม่เหมาะสม และส่งผลต่อความสัมพันธ์ในอดีต หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนางเป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ หลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะมาที่ตรงหน้าเหยาซื่อ ก็ถูกนางตบหน้าไปฉาดหนึ่งหลินซวงเอ๋อร์ถูกตบจนหน้าหันไปด้านข้าง บนใบหน้าที่ขาวใสมีรอยนิ้วมือปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วมีเสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในหู หลังจากที่หน้าชาก็มีอาการปวดบวมตามมาหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร อดทนต่อความเ
เหยาซื่อก็โกรธเช่นกัน คำพูดทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ในใจก็พรั่งพรูออกมาทันที: " ฮึ่ม! นาง ไม่ใช่เด็กป่าแล้วจะเป็นอะไร! ปีนั้นพ่อของนางเก็บพวกเขาขึ้นมาจากหิมะ เรื่องนี้คนรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน! เป็นเพราะพ่อแม่ของนางกุมความลับไว้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่รู้ความจริงมาโดยตลอด! "หลินซวงเอ๋อร์มองเหยาซื่ออย่างตกตะลึง และไม่สามารถตั้งสติได้อยู่ครู่หนึ่ง คำพูดของเหยาซื่อ ดังก้องอยู่ในหูของนาง"เจ้าก็ไม่ไตร่ตรองดูเลยว่า เจ้ากับพี่ชายตั้งแต่เล็กจนโต มีตรงไหนที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ของเจ้าบ้าง! พ่อแม่ของเจ้าเป็นคนที่หยาบกระด้าง แต่เหตุใด ถึงได้คลอดบุตรที่ผิวเนียนละเอียดออกมาได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าลับหลังคนในหมู่บ้านพูดถึงพวกเจ้าอย่างไร?"เมื่อเห็นใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ซีดเผือด เหยาซื่อก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และกล่าวว่า " พวกนางต่างก็บอกว่าเจ้ากับพี่ชายเป็นลูกของนางโคมเขียว! พ่อบังเกิดเกล้าเป็นใครก็ยังไม่รู้เลย! บางทีอาจจะมีแม่เป็นคนเดียวกันแต่ต่างพ่อก็ได้! "สมองของหลินซวงเอ๋อร์ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง อ้าปาก เพื่อจะอธิบาย แต่สิ่งที่พูดออกมากลับไม่มีความมั่นใจเลย: "ไม่ใช่นะ ท่านพูดจาเหลวไหล! พ่อแม่ของข้ารัก
“สวามี…” หลินซวงเอ๋อร์มองเยี่ยเป่ยเฉิงทั้งน้ำตา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลรินลงมา ราวกับว่าเป็นไข่มุกหัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงแทบจะแตกสลายไม่ได้เจอกันครึ่งวัน เหตุใดคนที่อยู่ตรงหน้าถึงร้องไห้แบบนี้?“ใครรังแกเจ้า? บอกสวามีมา ข้าจะไปฆ่าเขาเพื่อระบายความโกรธให้พระชายาของข้า” เยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับหน้านาง นิ้วอันเรียวยาว ทะลุเข้าไประหว่างเส้นผมของนางหลินซวงเอ๋อร์หน้าตาสะสวย แม้ว่าจะร้องไห้ ก็ดูเหมือนดอกลูกแพร์ที่เปียกชื้นไปด้วยเม็ดฝน ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่เอ็นดูสงสารมีเพียงครั้งนี้ ที่หลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ความสิ้นหวังนั้นแผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นแล้ว รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากหลินซวงเอ๋อร์ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิงราวกับว่าเป็นแมว มือทั้งสองข้างโอบรอบเอวของเขาเอาไว้ แล้วเอาหน้าซุกไว้ที่หน้าอกของเขา กล่าวพร้อมสะอื้นไห้ว่า: "สวามี ข้าเป็นสาวป่าที่ไม่มีใครต้องการ... "เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว ยืดตัวคนที่อยู่ในอ้อมแขนให้ตรง มองท่าทางที่น้ำตานองหน้าของนาง แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกว่า: "ใครบอกว่าเจ้าเป็นสาวป่าที่ไม่มีใครต้องกา
เยี่ยเป่ยเฉิงหยุดหยอกล้อนาง จัดเสื้อผ้าหันหลังกลับแล้วเดินออกไปเมื่อผลักเปิดประตู เสวียนอู่ก็กำลังรออยู่ข้างนอกหลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงออกมาแล้ว เสวียนอู่ก็ปิดประตูเยี่ยเป่ยเฉิงหันหน้าไปมองประตูที่ปิดสนิทอยู่ พูดกับเสวียนอู่ด้วยเสียงที่ทุ้มลึกว่า: "ไปตรวจสอบดูว่าตอนเช้าพระชายาไปพบกับใครมา แล้วพูดเรื่องอะไร"เสวียนอู่พยักหน้ารับในไม่ช้า เสวียนอู่ก็กลับมาพร้อมกับข่าวคราว และเอาผลจากการตรวจสอบรายงานให้เยี่ยเป่ยเฉิงฟังอย่างละเอียดเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว กำชับเสวียนอู่ว่า: "ไปเตรียมของสำหรับการเดินทางไปเมืองชิงเหอ เตรียมที่นอนนุ่มๆหลายชั้นบนรถม้าด้วย พระชายาเป็นหวัดได้ง่าย"เสวียนอู่กล่าวว่า: " เมืองชิงเหออยู่ห่างไกลมาก ไปกลับต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน อีกอย่าง เมืองชิงเหอยากจนข้นแค้น ท่านอ๋องให้ข้าน้อยไปตรวจสอบดีกว่า"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่ต้อง พระชายาคิดถึงบ้าน ข้าจะไปเป็นเพื่อนนาง"เสวียนอู่กล่าวว่า: "แต่องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ท่านอ๋องส่งคนไปตามหาราชินีแห่งเป่ยหรงไม่ใช่หรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "เรื่องตามหาราชินีเป่ยหรงให้ไป๋อวี้ถังเป็นคนรับผิดชอบ เขาเก่งในการตามห
หลังจากเดินทางรอนแรมมาสิบวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองชิงเหอหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้วมองไปที่ต้นมะเดื่อโบราณต้นนั้น ทันใดนั้นนางก็หวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนในปีนั้นที่นี่ เป็นที่ที่นางบอกลาบ้านที่เมืองชิงเหอ ขึ้นวัวเทียมเกวียนตามลำพัง ใช้เวลาครึ่งเดือนถึงไปถึงเมืองหลวงที่นี้ตั้งอยู่ในที่ที่ไกลจากเมืองหลวง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นดินแดนที่บริสุทธิ์เมืองชิงเหอไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย มีเพียงต้นมะเดื่อที่ทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้นที่ดูเหมือนจะหนาขึ้น ใบไม้ที่อยู่บนต้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทำให้พื้นปกคลุมไปด้วยใบมะเดื่อหลายชั้นการเดินทางครั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน เยี่ยเป่ยเฉิงจึงไม่ได้ให้คนติดตามมาด้วย ทำทุกอย่างแบบเรียบง่าย แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อคลุมที่เรียบง่าย และบอกคนอื่นว่าเป็นสามีของหลินซวงเอ๋อร์เท่านั้นพอกลับมาถึงบ้านเกิด หลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะกลายเป็นหญิงสาวที่ไร้ซึ่งความกังวลคนนั้นอีกครั้ง ที่แห่งนี้ นางมีชีวิตในวัยเด็กที่สมบูรณ์พร้อม มีพ่อแม่และพี่ชายที่รักนาง แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะยากจน มีแม้แต่ร้านค้าดีๆก็ไม่มี แต่ที่แห่งนี
หลินซวงเอ๋อร์ตอบว่า: "ท่านย่าหลิว นี่คือสวามีของข้าเอง"ทุกคนต่างก็พากันประหลาดใจอีกครั้งทันใดนั้นท่านย่าหลิวก็นึกขึ้นได้แล้วกล่าวว่า: "โอ้~ ที่แท้ก็คือฉีหมิงนี่เอง?"มือที่จับมือนางเอาไว้แข็งทื่อ หัวใจของหลินซวงเอ๋อร์เต้นระรัวทันทีนางยังไม่ทันจะได้อธิบาย ท่านย่าหลิวก็พูดเองเออเองไม่สนใจใครว่า: "ได้ยินมาว่า เจ้าไปเมืองหลวงเพื่อสอบขุนนางแล้วได้อันดับที่หนึ่งไม่ใช่หรือ? ทำให้เมืองชิงเหอของพวกเราพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย"“แม้ว่าย่าหลิวจะแก่แล้ว แต่ย่าหลิวไม่ได้ตาบอดนะ ย่าสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเจ้าชอบซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์มีรูปลักษณ์หน้าตาที่สะสวย เจ้าก็เป็นจ้วงหยวนผู้มีความสามารถ ช่างเหมาะสมกันจริงๆ”แรงที่บีบมือของนางค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเจ็บ พอนางหันหน้า ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมีใบหน้าที่เคร่งขรึมหลินซวงเอ๋อร์รีบเอ่ยปากขัดจังหวะท่านย่าหลิว: "ท่านย่าหลิว นี่ไม่ใช่พี่ฉี ท่านเข้าใจผิดแล้ว"ป้าสองกล่าวอธิบายจากด้านข้างว่า: "พี่สะใภ้หลิว ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่ฉีหมิงจริงๆ "พอท่านย่าหลิวตอบสนองได้ ก็มีใบหน้าที่เสียใจ: " ฮะ? ไม่ใช่ฉีหมิงหรอกหรือ? ซวงเอ๋อร์เหตุใดเจ้
หลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงโกรธ ดังนั้นจึงรีบไปง้อ: "สวามี ท่านอย่าไปฟังพวกนางพูดเรื่องไร้สาระเลย พวกนางแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ"เยี่ยเป่ยเฉิงพูดด้วยความโกรธว่า: " หืม? แต่พวกนางบอกว่าข้าดูเหมือนจะนิสัยไม่ดี และมักจะด่าว่าทุบตีเจ้า!" เขายื่นมือออกไปหยิกแก้มอันอวบอ้วนของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า: "ข้าเคยด่าว่าทุบตีเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?หืม? "หลินซวงเอ๋อร์ครวญครางอยู่ครู่หนึ่ง ผลักตัวออกจากมือของเขา แล้วกล่าวว่า "สวามีแค่ดูดุร้ายเฉยๆ แต่สวามีไม่เคยทุบตีซวงเอ๋อร์เลย"คำพูดนี้ ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ บีบคางของนางอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า "ข้าดูดุมากเลยหรือ? ดุร้ายตรงไหน?"หลินซวงเอ๋อร์ถูกบีบบังคับให้เงยหน้าขึ้นมามองเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานนุ่มนวลว่า: "ถ้าอย่างนั้นสวามีก็ยิ้มแย้มสิคะ พอสวามียิ้มก็ไม่ดุร้ายแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยนาง ก้าวไปข้างหน้า แล้วกล่าวว่า "ข้าไม่ใช่คนขายยิ้มเสียหน่อย! เหตุใดต้องยิ้มให้พวกนางด้วย?"หลินซวงเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆตามเขาไป มือเล็กๆจับมือของเขาเอาไว้ ง้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: "ได้ได้ได้ สวามีไม่ชอบยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม กล่าวโ
เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงมีใบหน้าที่เคร่งขรึม เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็มีใบหน้าที่อ่อนโยนลงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะดูไม่ฉลาด แต่เขากลับก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีหวังเถี่ยหนิวถามอีกครั้งว่า: "พวกเจ้าจะไปไหนหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้ากลับมาดูบ้านน่ะ"หวังเถี่ยหนิวกล่าวว่า: "ทางผ่านพอดีเลย ให้ข้าจะไปส่งพวกเจ้าเถิด"หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ครุ่นคิดอะไร ก็กล่าวว่า"ดีเลยดีเลย" ขณะที่พูดก็ปีนขึ้นไปบนเกวียนวัวอย่างชำนาญปีนไปได้ครึ่งหนึ่งก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง และถามลองเชิงว่า: " สวามี... ท่านนั่งเกวียนวัวได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์เติบโตในชนบท จึงคุ้นเคยกับการนั่งเกวียนวัว แต่เยี่ยเป่ยเฉิงเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ คงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะไปนั่งเกวียนวัวที่โกโรโกโสเช่นนี้ได้อย่างไร?เป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่เกวียนวัวที่อยู่ตรงหน้า แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ขึ้นมา วัวตัวใหญ่ก็เคี้ยวหญ้าในปาก สะบัดหางแล้วมองย้อนกลับมาที่เขาเยี่ยเป่ยเฉิง: "ต้องนั่งบนสิ่งนี้จริงๆหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนเกวียนวัวอย่างรวดเร็ว และหาที่นั่งดี
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก