องครักษ์ทนไม่ไหว จึงมองไปทางเรือนฝั่งตะวันออกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าประตูลานเรือนปิดอยู่ และไม่มีใครมารับนาง เขาจึงไม่กล้าให้นางเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต…...ภายในเรือนอวิ๋นซวน เยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่หน้าหน้าต่าง จ้องมองกระต่ายสองตัวที่อยู่ในลานเรือนอย่างไม่วางตากระต่ายโตไวมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนยังไม่ลืมตา พอมาดูวันนี้ แม้แต่ขนของพวกมันก็ขึ้นมาแล้ว พวกมันมีขนฟูฟ่อง กระโดดไปกระโดดมาอยู่ในลานเรือน น่ารักเป็นอย่างมากเยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่กระต่ายสองตัวนั้น มุมปากก็โค้งขึ้น ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูจวนตามสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นยังจะอยู่ข้างนอกประตูจวนหรือเปล่าพอลดสายตาลง ก็บังเอิญเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อของตนเอง จากนั้นรูม่านตาก็หดลงหืม นี่ไม่ใช่คราบเลือดของเขา แต่เป็นคราบเลือดที่หลินซวงเอ๋อร์ทิ้งเอาไว้เขาดูเหมือนจะตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วโดยที่ไม่รู้ตัวบัดซบจริงๆ! เหตุใดตอนนี้ยังคิดถึงนางอยู่?นางจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็สมควรได้รับมัน!
ตอนกลางดึก เยี่ยเป่ยเฉิงนอนอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมาไม่ใช่เพราะว่าเป็นห่วงใครบางคน แต่เป็นเพราะว่านอนไม่หลับ!เขาพลิกตัว ยื่นมือออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ก็มีแค่ความว่างเปล่าการเคลื่อนไหวของเขาชะงักกลางอากาศ เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่รู้ว่าเขาเริ่มคุ้นชินกับการมีสาวน้อยที่นุ่มนวลนอนอยู่ข้างกาย ตั้งแต่เมื่อไหร่อันที่จรงแล้ว หลินซวงเอ๋อร์นอนหลับไม่สนิทมาโดยตลอด ท่านอนก็ไม่ได้สง่างามากนัก แถมยังชอบพลิกตัวไปมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงนอนหลับได้ไม่ดีทุกคืน!วันนี้ ผู้หญิงที่ไม่อยู่นิ่งคนนั้นในที่สุดก็ถูกเขาขับไล่ออกออกไปแล้ว ต่อไปผู้หญิงคนนั้นจะไม่ปรากฏตัวที่เรือนอวิ๋นซวนอีกแล้ว! เขาก็ไม่ต้องไปนอนห้องหนังสือให้ลำบากตนเองอีก!เขาควรจะดีใจมากกว่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย และมักจะรู้สึกว่าเตียงค่อนข้างใหญ่เกินไปเขาเอาหัวมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างหงุดหงิด แต่กลับได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยตอนนั้นเขาก็พบว่า ทั้งเตียง แม้แต่ภายในห้อง ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นของนาง!ช่างเป็นผู้หญิงที่ตามหลอกหลอนไม่หยุดจริงๆ!เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกหงุดหงิดใจสุดขีด
เยี่ยเป่ยเฉิงเดินไปตามถนนสายหลักเพื่อตามหาหลินซวงเอ๋อร์พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าในตรอกซอยเมื่อสักครู่นี้ เขาก็รีบไปทันที แต่ก็ไม่พบร่องรอยของ หลินซวงเอ๋อร์ มีเพียงสุนัขป่าสองสามตัวกำลังโจมตีลูกแมวสีขาวก็เท่านั้นลูกแมวอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอม มันกำลังโดนสุนัขดุร้ายปิดล้อมอยู่ตรงมุม และขนตั้งชูชันไปทั้งตัว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุนัขดุร้ายหลายตัว มันก็ยังคงหวาดกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นลูกแมวที่น่าสงสารทำอะไรไม่ถูก เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกสงสารเห็นใจมันอ่อนแอแบบนั้น ไร้ที่พึ่งแบบนั้น แถมยังสะบักสะบอม และมีรอยบาดแผลไปทั้งตัวอีกเห็นแวบแรกก็รู้เลยว่าถูกทอดทิ้งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่ลูกแมวตัวนั้นก็นึกถึงหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมาทันทีนางอ่อนแอบอบบางแบบนั้น เนื้อตัวก็สะบักสะบอม ถ้านั่งยองๆอยู่ตรงมุมไหนมุมหนึ่ง ก็คงจะคล้ายกับแมวตัวนี้เยี่ยเป่ยเฉิงใช้ก้อนหินขับไล่สุนัขป่าออกไป แมวสีขาวจับจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็วลูกแมวได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่ยังหาหลินซวงเอ๋อร์ไม่เจอเลยเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกกระวนกระวายใจ เขาเองก็แยกแยะไม่ออกว่าสภาพจิตใจขอ
หลินซวงเอ๋อร์ถูกเยี่ยเป่ยเฉิงพาเข้าไปในห้องประตูห้องถูกปิดอย่างแรง จากนั้นนางถูกเยี่ยเป่ยเฉิงโยนลงไปที่พื้นอย่างเต็มเหนี่ยวจนทำให้รู้สึกเจ็บเพราะเข่าถลอก ฝ่ามือที่บาดเจ็บก็เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำให้นัยน์ตาของนางเปียกชื้นขึ้นมาทันทีแสงไฟในห้องที่สะท้อนลงบนใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้ช่วยขจัดความเย็นชาที่อยู่บนตัวของเขาได้เลย เขามองไปที่หลินซวงเอ๋อร์แล้วกล่าวว่า: " อย่าคิดว่าข้าจะสงสารเจ้า ข้าแค่ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติต่อคนรับใช้อย่างรุนแรง! ลักษณะท่าทางที่สะบักสะบอมไปทั้งตัวของเจ้า คนที่ไม่รู้ อาจจะคิดว่าข้ารังแกเจ้า! "เขาทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา: "ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ถ้ารักษาแผลหายแล้ว ก็ไสหัวไปซะ!"พูดจบ เขาก็ตวัดมือ เอาจดหมายฉบับหนึ่งโยนไปที่หน้าหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า: " นี่คือสัญญาการซื้อขายบุคคลของเจ้า! หลังจากที่ได้รับสัญญาการซื้อขายบุคคลแล้ว เจ้าจะไม่ใช่สาวใช้ในจวนโหวอีกต่อไป ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล เจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ไปได้เลยตามต้องการ! ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงอีก! "หลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึง แล้วค่อยๆเอื้อมมือออกไปหยิบกระดาษสัญญาที่อยู่บนพื้นขึ้นมา เปิดออกดู ก็เ
หลินซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวที่คอ เยี่ยเป่ยเฉิงซุกหัวเข้าไปที่ระหว่างคอของนาง และกัดนางอย่างแรง“ซี๊ด~” หลินซวงเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ กำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น และขมวดคิ้วอย่างอดทนจนกระทั่งเขาปากของเขาได้ลิ้มรสเลือด เยี่ยเป่ยเฉิงถึงค่อยๆปล่อยนางไปหลินซวงเอ๋อร์ปวกเปียกไปทั้งตัว จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆเลื่อนลงไปตามผนังห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงจึงใช้แขนเกี่ยวเอาไว้ แล้วช้อนนางกลับมา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างกดไหล่ของนางเอาไว้ และตรึงนางเข้ากับผนังห้องต่อไปแผลเก่าที่คอยังไม่หายดีก็มีแผลใหม่เพิ่มขึ้นอีก หลินซวงเอ๋อร์เจ็บจนมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเยี่ยเป่ยเฉิงเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของนาง ฉีกคอเสื้อของนางอย่างแรง เมื่อเห็นรอยแดงเฉดสีต่างๆเหล่านั้นบนคอของนาง ก็ใช้ปลายนิ้วลูบอย่างแรง ราวกับว่าต้องการจะเช็ดพวกมันออกไปเนื่องจากถืกดาบมาเป็นเวสลานาน จนปลายนิ้วของเขาหยาบด้า จึงทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเจ็บร่างกายของนางจึงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา หลินซวงเอ๋อร์จับมือของเขาเอาไว้ และมีเหงื่อเย็นหยดลงมาจากหน้าผาก: " ท่านอ๋อง อย่า ข้าเจ็บ..."เยี่ยเป่ยเฉิงหยุดเคลื่อนไหวชั่วค
เยี่ยเป่ยเฉิงโกรธจนแทบจะเป็นบ้า!“ หลินซวงเอ๋อร์! เจ้าอยากจากไปมากขนาดนี้เชียวหรือ?”รูปลักษณ์ของเขาดูน่ากลัว นัยน์ตาเย็นชาราวกับว่าเป็นน้ำแข็ง หลินซวงเอ๋อร์ตัวสั่น เกือบจะร้องไห้: " ท่านอ๋องไม่อยากเห็นข้าอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ?"นางไม่ใช่คนที่วอแวไม่เลิกมาโดยตลอด ในเมื่อเขาเกลียดนาง นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น! นางเคยตามวอแวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?แต่ตอนนี้นางกำลังจะจากไป เหตุใดเขาถึงขวางนางเอาไว้?เยี่ยเป่ยเฉิงกระชับนิ้วของเขาทีละเล็กทีละน้อย จนข้อนิ้วดังกรอบแกรบเขาอยากจะบดขยี้คนที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกลาญจริงๆ!“แต่ข้าบอกแล้วว่า ให้เจ้ารักษาแผลสักหนึ่งเดือนก่อนค่อยไป! เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟัง?” เขากัดฟันพูดหลินซวงเอ๋อร์ตอบด้วยเสียงแหบห้าวจากการร้องไห้ว่า: "ถ้าท่านอ๋องไม่อยากให้ข้าไป ข้าจะไม่ไปก็ได้ ถ้าแค่สงสารข้า อยากจะให้ข้าอยู่ต่ออีกหนึ่งเดือน ก็ไม่จำเป็น"“แตกต่างกันตรงไหน?” เยี่ยเป่ยเฉิงถามหลินซวงเอ๋อร์พูดอย่างดื้อรั้นว่า: "มันแตกต่างกันที่ ท่านอ๋องตัดใจจากข้าไม่ได้ หรือตัดใจจากข้าแล้ว"“เจ้า!” นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเป่ยเฉิง
นางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตลอดทาง และไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองควรจะไปที่ไหน ดังนั้นจึงเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีเป้าหมายนางอยากจะกลับไปที่เมืองชิงเหอ กลับไปบ้านเกิดของตนเองแต่บ้านไม้ที่ไม่มีคนอยู่หลังนั้นผุพังไปตามกาลเวลาไปตั้งนานแล้วนางไม่มีบ้านแล้วหลังจากออกจากจวนโหว นางก็จะไม่ได้พบกับตงเหมยเพื่อนคนเดียวของนางอีกต่อไปนับแต่นี้เป็นต้นไป นางตัวคนเดียว ไม่มีใครเคียงข้างนางไม่มีญาติ ไม่มีสหาย โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับไม่มีที่สำหรับนางเลยลมยามค่ำคืนพัดมาอย่างโหมกระหน่ำ หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนลูกสุนัขที่ถูกคนทอดทิ้งตัวหนึ่ง ทั้งทำอะไรไม่ถูกทั้งน่าสงสาร อ่อนแอไร้ซึ่งที่พึ่งพิงในเวลานี้ จู่ๆนางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยนางไม่ควรไล่บี้ถามเยี่ยเป่ยเฉิงแบบนั้นใช่หรือไม่...เยี่ยเป่ยเฉิงมีนิสัยที่เย็นชา และเจ้าอารมณ์มาก แต่เขากลับปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีเขาจะจดจำทุกสิ่งที่นางชื่นชอบได้ ซื้อเค้กดอกหอมหมื่นลี้และขนมลูกสนให้นาง คอยหนุนหลังให้นาง ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกนางเขารู้ว่านา กลัวความหนาว จึงยอมให้นางนอนในเรือนอวิ๋นซวน แถมยังตั้งใจเพิ่มผ้
ร่างเล็กๆที่อยู่ในอ้อมแขนสั่นเทาจากการร้องไห้ เยี่ยเป่ยเฉิงคว้าไหล่ของนางเอาไว้ ยืดร่างกายของนางให้ตรง จ้องมองดู ก็เห็นว่าสาวน้อยคนนี้ร้องไห้อย่างน่าเวทนามากเยี่ยเป่ยเฉิงทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด จนแทบจะกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า: " ยืนกรานจะจากไปเองไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดตอนนี้เจ้าถึงร้องไห้? "หน้าอกอันกว้างของเขากระเพื่อมอย่างรุนแรง จังหวะการหายใจยุ่งเหยิง เมื่อกี้ตอนที่ตามมา เขาคงจะเดินเร็วมากหลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้หนักมาก จนพูดไม่ออก ทำได้แต่มองเขาพร้อมเสียงสะอื้นไห้นัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจับจ้องไปที่หลินซวงเอ๋อร์ ในที่สุดน้ำเสียงของเขาก็นุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย: " ดึกดื่นขนาดนี้เจ้าจะกลับไปที่ไหน? จะกลับไปที่เมืองชิงเหอหรือจะกลับไปหาฉีหมิง? เจ้าก็เป็นคนของข้าอยู่ดี! เจ้ายังอยากจะไปที่ไหนอีก! "หลินซวงเอ๋อร์สะอึกสะอื้น อาจเป็นเพราะนางตกใจกลัว จึงพยายามมุดเข้าไปในอ้อมแขน ของเยี่ยเป่ยเฉิงต่อไปเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมทำตามใจนาง วางมือไว้บนไหล่ของนาง บังคับให้นางมองมาที่เขา“เจ้าร้องไห้ทำไม? จะร้องไห้เรื่องอะไร? ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ?เหตุใดถึงไม่รู้จักหวาดกลัวตั้งแต่ทีแรก!”เยี่ยเป่ยเ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก