หลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนริมฝีปากอันเรียวบางของเยี่ยเป่ยเฉิงกลายเป็นเส้นบางๆ และพูดอย่างเย็นชา: "ทำไม? เสียใจอีกแล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ข้า... ขาของข้าชา จึงเดินไม่ได้ "อันที่จริงแล้ว เมื่อกี้ตอนที่นางปะหน้ากับสุนัขป่าอันนั้น นางตกใจจนขาอ่อนแรงไปนานแล้ว ถ้าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่พยุงนางเอาไว้ นางคงจะทรุดตัวลงไปบนพื้นตั้งนานแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า "อยากจะให้อุ้มหรือแบก?"ดวงตาของหลินซวงเอ๋อร์เบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร เยี่ยเป่ยเฉิงก็คุกเข่าลงทันที มองไปทางด้านข้าง แล้วกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็แบกก็แล้วกัน"หลินซวงเอ๋อร์หน้าแดง ยืนอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกที่เขินอายเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวข่มขู่ว่า: " ยังรีบขึ้นมาอีก? ระวังสุนัขป่าเหล่านั้นจะย้อนกลับมาระหว่างทางนะ พอถึงเวลานั้น ข้าคงจะดูแลเจ้าไม่ได้ "เมื่อได้ยินดังนี้ หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว จึงขึ้นไปบนหลังเขาเสียแต่โดยดีบนถนนที่กว้างขวาง ยังคงมีโคมไฟที่กวัดแกว่งไปมาอย่างโดดเดี่ยวอยู่สองสามอัน แต่อารมณ์ความรู้สึกของหลินซวงเอ๋อร์เปลี
หลินซวงเอ๋อร์จุตพิตหนึ่งครั้งแบบผิวเผิน ไม่กล้าค้างเอาไว้นาน จึงถอยออกไปอย่างรวดเร็วราวกับแมลงปอสัมผัสน้ำแต่สำหรับเยี่ยเป่ยเฉิง มันก็แค่ดับความกระหายของเขาเท่านั้นเยี่ยเป่ยเฉิงนั่งอยู่ข้างเตียง ร่างกายสงบนิ่งราวกับว่าเป็นภูเขาหลินซวงเอ๋อร์เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว คิดว่าจูบเขานิดหน่อยก็ถือว่าเป็นการขอโทษเขาแล้วแต่เยี่ยเป่ยเฉิงจะปล่อยนางไปได้อย่างไร?เขาจับมือนางเอาไว้ทันที แล้วเอานางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตนเอง มือขนาดใหญ่โอบเอวของนางเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้นางหลบหนี“แค่นี้หรือ?” เยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนาง หลินซวงเอ๋อร์เห็นนัยน์ตาที่เหมือนหมาป่าของเขาอีกครั้ง ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาแทรกซึมเข้าไปในประสาทสัมผัสทั้งหมดของนางหลินซวงเอ๋อร์หดตัวกลับเล็กน้อย นางเสียใจที่ใช้วิธีนี้เพื่อเอาใจเขา ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังเล่นกับไฟแล้วเผาตนเองนัยนฺตาของนางเปียกชื้น เอ่ยปากพูดว่า: "แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆเข้ามาใกล้ๆพร้อมความกดดันที่คลุมเครือ และกล่าวว่า: "แค่นี้ มันจะไปพอได้อย่างไร"หลินซวงเอ๋อร์หน้าแดง ถูกเขาบีบบังคับให้ถอยหลัง และจับคอเสื้อของเขาเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนกเล
สายตาของเยี่ยเป่ยเฉิงลึกล้ำราวกับค่ำคืนอันเงียบสงบ: " หลินซวงเอ๋อร์ เจ้าลงมือทำก่อนสักครั้งนะ ลงมือทำก่อนสักครั้ง ข้าก็จะไม่โกรธเจ้าแล้ว"สีหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นสีแดง ความไว้เนื้อไว้ตัวที่อยู่ในจิตใต้สำนึกทำให้นางไม่สามารถทำก่อนได้เยี่ยเป่ยเฉิงดูเหมือนจะหมดความอดทน พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเร่งรัดว่า: "เรียนรู้มาตั้งนาน ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลง ในเวลานี้ใบหน้าของนางแดงก่ำ แม้แต่ติ่งหูเล็กๆของนางดูเหมือนจะมีหยดเลือด“เรียนรู้ได้มากแค่ไหนแล้ว?” เยี่ยเป่ยเฉิงเร่งรัดนางหลินซวงเอ๋อร์ตัวสั่นเทา ราวกับว่าตกใจกับน้ำเสียงของเขาเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่า สาวน้อยคนนี้จำเป็นจะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ไร้เดียงสาเกินไปก็ไม่ดี เขาให้นางอ่านหนังสือตั้งมากมาย แต่นางกลับไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไรเลย!เขาจะต้องคิดหาวิธี เอาความสำรวมที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของนางออกไปทีทีละน้อย!ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ จู่ๆใบหน้าของเขาก็ถูกเสยขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่อ และเห็นนางค่อยๆก้มหน้า และค่อยๆเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆนางทำตามที่ตำราบอก สำรวจแหวว่าย
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานานที่แท้ ฤกษ์มงคลที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นโมฆะ แม้ว่างานสมรสจะไม่ได้จัดขึ้น แต่เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังคงเอาชื่อของนางไว้ในลำดับวงศ์ตระกูลของจวนหย่งอัน หลังจากเข้าสู่ลำดับวงศ์ตระกูลแล้ว นางก็ถือว่าเป็นพระชายาที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาแล้วเพราะเรื่องนี้ กงชิงเยวี่ยจึงโกรธมากจนกินข้าวปลาไม่ลงสองวัน ช่วงเวลานี้กำลังเมินเฉยทำเป็นไม่สนใจเยี่ยเป่ยเฉิง และขู่ว่า ถ้าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่หย่าร้างกับหลินซวงเอ๋อร์ ก็ไม่ต้องเรียกนางว่าแม่อีกต่อไป!ดังนั้น เยี่ยเป่ยเฉิง ไม่ได้ขอให้หลินซวงเอ๋อร์ไปแสดงความเคารพต่อกงชิงเยวี่ย แต่ให้นางจุดธูปสักการะบรรพบุรุษตามกฎระเบียบเท่านั้นเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กงชิงเยวี่ยก็เกรี้ยวโกรธมาก จนอดไม่ได้ที่จะพึมพำต่อหน้าท่านป้าจ้าวว่า: " ดูสิ! ลูกชายตัวดีของข้าคนนี้ เกิดมาเพื่อทำให้ข้าโกรธ! สมรสกับสาวใช้มาเป็นพระชายา ถ้าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะหรือ? "ท่านป้าจ้าวพูดปลอบใจว่า " นายหญิงอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ มันไม่ง่ายเลยที่ท่านอ๋องจะฝักใฝ่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง อีกอย่าง ข้าคิดว่
ใครจะคิดว่า ตงเหมยจะดีใจขนาดนี้ทันทีที่นางเข้าไปในห้อง ตงเหมยก็ได้แสดงเสื้อผ้าชุดใหม่ของตนให้หลินซวงเอ๋อร์ดู" พระชายา ท่านดูเสื้อผ้าใหม่ที่พ่อบ้านฉินเพิ่งจะมอบให้ข้าเร็วเข้า สวัสดิการสาวใช้ชั้นหนึ่งช่างแตกต่างกันจริงๆ ท่านดูสิ วัสดุของเสื้อผ้าชุดนี้ นุ่มนวลและเรียบเนียนมาก ส่วนเงินเดือน ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า โอ้สวรรค์ ขนาดกำลังฝันอยู่ก็ต้องตื่นเพราะเสียงหัวเราะเลย "เมื่อเห็นตงเหมกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข หลินซวงเอ๋อร์จึงพูดอย่างระมัดระวังเล็กน้อยว่า: " ตงเหมย ต่อไปพวกเราจะยังคงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เจ้าไม่ต้องดูแลข้ามากเกินไป จากนี้ไป เรียกข้าว่าซวงเอ๋อร์ก็พอแล้ว "ตงเหมยกล่าวว่า: "ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? ตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาเชียวนะ การดูแลท่านเป็นหน้าที่ของข้า อีกอย่าง งานที่ความรับผิดชอบน้อยแต่ได้เงินมาก แมีใครบ้างที่ไม่ชื่นชอบ"หลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าตงเหมยมีนิสัยที่เปิดเผยตรงไปตรงมามาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป จากนั้นก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากลิ้นชักแล้วมอบให้ตงเหมย"นี่คืออะไร?" ตงเหมยรับกล่องไม้มา แล้วเปิดออกดู ก็เห็นต่างหูหยกคู่หนึ่งอยู่ในนั้น ทันใดนั้นดว
เมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงผลักเปิดประตูเข้ามา หลินซวงเอ๋อร์ก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทำให้มีหมอกลอยอยู่ในอากาศ นางกำลังนั่งหันหลังอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และกำลังจัดระเบียบชุดนอนที่อยู่บนไหล่เยี่ยเป่ยเฉิงเงยหน้าขึ้นก็บังเอิญเห็นไหล่เล็กๆของนางครึ่งหนึ่ง ราวกับว่าแขวนด้วยหยดน้ำ ขาวชุ่มชื้นสุดขีดเมื่อก่อน หลินซวงเอ๋อร์มักจะสวมชุดนอนสีขาวเรียบร้อย และร่างเล็กๆถูกพันไว้อย่างแน่นหนาในชุดนอนไม่เหมือนวันนี้ นางสวมชุดนอนสีแดงเข้มชุดหนึ่ง ชุดนอนนั้นนุ่มนวลงดงามมาก เนื้อผ้ามีกลิ่นหอมนุ่มนวลมาก และสามารถมองเห็นรูปร่างที่อ่อนแอ้นอรชรของนางได้ด้วยตาเปล่านางรวบผมขึ้นด้วยปิ่นปักผมที่ประณีตงดงามอย่างเรียบง่าย ผมดำนุ่มสลวยด้านหลังศีรษะก็สยายลงมา ทำให้นางมีบุคลิกที่เอื่อยเฉื่อยมากยิ่งขึ้น นางไม่ได้ผลัดแป้ง แต่ผิวพรรณกลับขาวใสเนียนละเอียด ปลายคิ้วและหางตาแลดูมีสเน่ห์มากเยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ข้างประตูแล้วจ้องมองเป็นเวลานาน สายตาของเขาค่อยๆลึกล้ำขึ้นจนกระทั่งหลินซวงเอ๋อร์เห็นเขาผ่านกระจกทองสัมฤทธิ์ นัยน์ตาที่สดใสก็โค้งงอเล็กน้อย ปานสายลมในฤดูใบไม้ผลินางหันกลับมามองเขา มีสีแดงจางๆอยู่บนแก้มหลังจากอาบน้ำ และมีผ
“ ซวงเอ๋อร์ ครั้งนี้สวามีจะไปปล่อยเจ้าไปง่ายๆแน่”ทันทีที่พูดจบ ม่านเตียงก็ร่วงหล่นลงมา ห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองไว้ในโลกใบเล็กๆจากนั้นโลกก็เริ่มหมุน ในนัยน์ตาของนางประกายไปด้วยแสงที่อบอุ่นน่าหลงใหลนางมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เอื้อมมือออกไปเกลี่ยคิ้วและดวงตาของเขา ตอนที่นางควบอารมณ์ของตนเองเอาไว้ไม่ได้ นางก็อดที่จะถามเขาไม่ได้ว่า: " สวามี ต่อไปท่านจะหลงรักคนอื่นหรือไม่? และจะอาลัยอาวรณ์คนอื่นเช่นนี้หรือเปล่า? "เยี่ยเป่ยเฉิงจูบลงไปบนคิ้วของนาง แล้วกล่าวว่า "จะเป็นไปได้อย่างไร สวามีรักเจ้าเพียงคนเดียว และจะอาลัยอาวรณ์เจ้าคนเดียวเท่านั้นในอนาคต"หลินซวงเอ๋อร์ไม่สามารถต้านทานได้ การจูบอันเร่าร้อนทำให้ใจของนางสั่นไหว มือทั้งสองข้างจับคอเสื้อของเขาเอาไว้ นางกล่าวว่า " แต่พวกนางต่างก็บอกว่า มันเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่จะชอบของใหม่เบื่อของเก่า สวามีชอบของใหม่เบื่อของเก่าหรือไม่? "เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อนางว่า: "ถ้าสวามีหลงรักคนอื่น ซวงเอ๋อร์จะรู้สึกหึงหวงหรือเปล่า?"ทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็มองเขาอย่างแน่วแน่ น้ำตาคลอเบ้า: " ถ้าสามีตกหลุมรั
ผ่านไปหลายวันแล้ว หลินซวงเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเหยาซื่อจะยังมาหาตนครั้งที่แล้วเลิกลากันได้ไม่ดี ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกห่างเหินกับเหยาซื่อ แต่เมื่อนึกถึงความเมตตาในอดีตจะทิ้งให้นางอยู่นอกประตูไม่ได้ ดังนั้นจึงสวมเสื้อผ้าแล้วออกไปพบกับนางเมื่อเห็นเหยาซื่อยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์จากระยะไกล ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่มีความสุข หลินซวงเอ๋อร์ก็คาดเดาเอาไว้ในใจแล้วจะต้องมาเพราะเรื่องของฉีหมิง และมาคิดบัญชีกับตนเองแน่ๆดังนั้น หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่ได้ให้ตงเหมยตามมาด้วย ตามนิสัยใจคอของตงเหมยแล้วอาจจะทะเลาะวิวาทกับเหยาซื่อได้หลินซวงเอ๋อร์ยังคงเคารพเหยาซื่อจากก้นบึ้งของหัวใจ และปฏิบัติต่อนางในฐานะผู้อาวุโสมาโดยตลอด แม้ว่าคำพูดของนางจะไม่เหมาะสม และส่งผลต่อความสัมพันธ์ในอดีต หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนางเป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ หลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะมาที่ตรงหน้าเหยาซื่อ ก็ถูกนางตบหน้าไปฉาดหนึ่งหลินซวงเอ๋อร์ถูกตบจนหน้าหันไปด้านข้าง บนใบหน้าที่ขาวใสมีรอยนิ้วมือปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วมีเสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในหู หลังจากที่หน้าชาก็มีอาการปวดบวมตามมาหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร อดทนต่อความเ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก