ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ฉีหมิงจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ แต่นางก็เกลียดฉีหมิงไม่ลง ตอนนี้เขาแค่ป่วย และไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่หลินซวงเอ๋อร์กล่าวเบาๆว่า: " พี่ฉี พี่ดีมาก พี่เป็นคนที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ แต่ข้าไม่สามารถแต่งงานกับพี่ได้จริงๆ ข้าเป็นคนของท่านอ๋องแล้ว เป็นท่านอ๋องที่สอนข้า ว่าความรักระหว่างชายหญิงคืออะไร ส่วนพี่ เป็นญาติที่ข้ารักที่สุดบนโลกใบนี้ "“ บุณคุณที่พี่มีต่อครอบครัวของพวกเรา ซวงเอ๋อร์จดจำเอาไว้ในใจเสมอ แม้ว่าพี่อยากจะได้ชีวิตของซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ก็มอบให้พี่ได้ มีเพียงอย่างเดียว ข้าแต่งงานกับพี่ไม่ได้…”หลินซวงเอ๋อร์มองไปที่ฉีหมิง เขาค่อยๆลดศีรษะลง ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในความมืด เห็นได้ชัดว่าดื้อรันดูดื้อหดหู่: " ซวงเอ๋อร์ พี่ไม่เคยอยากได้ชีวิตเจ้า ข้าอยากได้เจ้าคนนี้! "“ทั้งๆที่ข้าพบเจ้าก่อนเหตุใดเจ้าถึงยังชื่นชอบเยี่ยเป่ยเฉิง?เขาดีตรงไหนหรือ?เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยวเย็นชาคนหนึ่ง ไม่เข้าใจเจ้าเลย!” เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความโศกเศร้า และสิ้นหวังสุดขีดเมื่อหลินซวงเอ๋อร์เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากนางไม่อยากทำร้ายเขา แต่ดูเหมือนตนเองจะทำร้ายเขาอย
ร่างสูงใหญ่บดบังแสงเอาไว้ ทำให้สีหน้าท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิงปกคลุมไปด้วยความมืดมิดฉีหมิงหันกลับมา แล้วเอาหลินซวงเอ๋อร์ไปไว้ข้างหลังอย่างชิดใกล้ มองไปที่ เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างต่อต้านในขณะนี้ เขาไม่กลัวสำถานะที่น่าเกรงขามของเขาเลย แค่คิดว่าเขาเป็นคนเลวที่แย่งคนรักของคนอื่น!ทันทีเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ตกตะลึงก่อน จากนั้นนัยน์ตาที่มืดมนก็ค่อยๆกลับมาเป็นประกายอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เริ่มดิ้นรน นางต้องการกลับไปที่ข้างกายของเยี่ยเป่ยเฉิงตามสัญชาตญาณฉีหมิงสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของนาง ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาจึงกระชับแน่นขึ้น แล้วกักขังนางไว้ข้างหลังเขาอย่างเผด็จการ เพื่อป้องกันไม่ให้นางเข้าใกล้เยี่ยเป่ยเฉิงแม้แต่น้อย!เขาออกแรงมากยิ่งขึ้น จนหลินซวงเอ๋อร์ได้ยินเสียงกระดูกข้อมือของตนเอง ความเจ็บปวดแสนสาหัสถาโถมเข้ามา ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแต่อดทนต่อความเจ็บปวด และไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ทำได้แค่มองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าถ้าฉีหมิงปล่อยมือนาง นางก็จะกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิงโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด!เยี่ยเป่ยเฉิงก็มองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ ทันใดนั้นสายตาขอ
เมื่อต้องเผชิญกับพลังอันท่วมท้น ฉีหมิงไม่มีช่องว่างที่จะสู้กลับเลยแม้แต่น้อย!เยี่ยเป่ยเฉิงบดขยี้เขาให้ตายง่ายเหมือนบดขยี้มดตัวหนึ่งให้ตาย!สีหน้าของฉีหมิงซีดเผือดไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เขายังคงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ก่อนตายสามารถทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงเกรี้ยวโกรธสุดขีดได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี!เขาเยาะเย้ย และพูดอย่างลำบากว่า: " เยี่ยเป่ยเฉิง! นอกจากแย่งชิงของของคนอื่นแล้ว! เจ้ายังทำอะไรได้อีก... ""เจ้ามีสถาะสูงส่ง และมีสถานะที่โดดเด่น แต่กลับมีพฤติกรรมเยี่ยงโจร! ข้าดูถูกเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ... "“แล้วจะทำไม?” เยี่ยเป่ยเฉิงหนี่ตาลงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “เจ้ากักขังหน่วงเหนี่ยวซวงเอ๋อร์ ทำร้ายนางเช่นนี้! ข้าจะอภัยให้เจ้าได้อย่างไร!”มีเจตนาฆ่าซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง เยี่ยเป่ยเฉิงกระชับนิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆคิดไม่ถึงว่า หลินซวงเอ๋อร์จะรีบวิ่งเข้ามาในขณะนี้นางยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของฉีหมิง ด้วยสายตาที่หวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่านางคือต้นตอของหายนะทั้งหมด!มือเล็กๆพยายามแกะมือของเขาออกสุดฤทธิ์ หลินซวงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนว่า: " ท่านอ๋อง ท่า
แต่หลินซวงเอ๋อร์ ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ!เขาหลอกล่อนางให้ติดกับดักที่เขาวางเอาไว้ทีละก้าว ค่อยๆหน่วงเหนี่ยวนางไว้ข้างกายของตนเอง...แต่ฉีหมิงไม่เหมือนกัน!พวกเขาเป็นคู่รักในวัยเด็ก เป็นเพื่อนเล่นกันโดยไม่ได้คิดอะไรมาก และผูกสมัครรักใครกัน!เขาจำได้ว่า หลินซวงเอ๋อร์เคยมีใจให้ฉีหมิง...ในขณะนี้เยี่ยเป่ยเฉิง มีเจตนาฆ่าอย่างท่วมท้นเขาอยากให้ฉีหมิงตาย! ไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่แม้แต่เพียงวินาทีเดียว!เขากระชับนิ้วของเขาทันที จนกระทั่งฉีหมิงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก!หลินซวงเอ๋อร์รีบเข้าไปห้ามเขาเอาไว้ แ้วอธิบายว่า: " ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่เคยทำอะไรที่ผิดต่อท่านเลย... ได้โปรดปล่อยพี่ฉีไปเถิด ข้าขอร้องท่านล่ะ!"หลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้หนักมาก จนในนาทีสุดท้าย เยี่ยเป่ยเฉิงยังคงใส่ใจความรู้สึกของนาง รู้สึกเห็นอกเห็นใจ จึงได้คลายพละกำลังลงเล็กน้อยเขาลดตา และกำลังจะพูด จู่ๆนัยน์ตาก็จับจ้องไปที่ลำคอของนาง ทำให้เขาชะงักไปในทันทีบนลำคอที่ขาวใสนั้น มีรอยสีแดงสดอยู่หลายจุดซึ่งเป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเพิ่งจะคลอเคลียกันจบไปหมาดๆ!อย่างอย่างนั้น...เขายืนอยู่ต
หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องไปที่เขา ด้วยสายตาที่แน่วแน่กล้าหาญหลังของนางตรงตระหง่าน ความดื้อรั้นหัวแข็งมาจากพื้นเพของจิตเยี่ยเป่ยเฉิงไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางที่มุ่งมั่นเช่นนี้บนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์มาก่อนเลยที่น่าขันก็คือ นางกำลังขอร้องความเมตตาแทนผู้ชายคนอื่นอยู่ทันใดนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็หัวเราะขึ้นมาหัวเราะที่ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ความกังวลของตนเองเป็นส่วนเกิน! หัวเราะเยาะที่ตนเองทุ่มเทจิตใจให้ผิดคน และคิดว่าความรู้สึกสามารถบ่มเพาะกันได้ และนางจะต้องตกหลุมรักเขาไม่ช้าก็เร็ว!แต่กลับกลายเป็นว่า ความจริงใจของเขาไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง!ช่างน่าขันจริงๆ! นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความคิดที่อยากจะสมรสกับนาง มีความคิดโง่ๆที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับนาง?เยี่ยเป่ยเฉิงเอ๋ยเยี่ยเป่ยเฉิง!เจ้าช่างโง่จริงๆ!เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง ในขณะนี้ความโกรธอันท่วมท้นก็สลายหายไปไปอย่างน่าอัศจรรย์เขาหลับตาลงเล็กน้อย เพื่อปกปิดอารมณ์อันท่วมท้นในนัยน์ตาของเขาเอาไว้ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาสีแดงฉานคู่นั้นก็กลับมาเป็นเฉยเมย และว่างเปล่าไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นเ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อย แต่ยังจับแน่นขึ้นมากยิ่งขึ้น ในนัยน์ตาของนางเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล และระมัดระวังว่า: " ท่านอ๋อง ท่านอย่าไม่ต้องการข้าเลย... "เยี่ยเป่ยเฉิงสบสายตากับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาคู่นั้น ความรู้สึกแปลกๆในใจก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดสุดขีด!เขาสะบัดมือ ดึงแขนเสื้อออกจากฝ่ามือของนาง ด้วยแรงมหาศาล ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ล้มลงกับพื้นทันทีฝ่ามือที่มีบาดแผลค้ำยันบนพื้น ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากหลินซวงเอ๋อร์กัดริมฝีปาก อดทนต่อความเจ็บปวดและไม่กล้าส่งเสียงคำพูดราวกับใบมีดน้ำแข็งที่แหลมคมของเยี่ยเป่ยเฉิง ดังขึ้นที่ข้างหู“ หลินซวงเอ๋อร์ อย่ามาทำท่าทางที่ทุกข์ระทมเช่นนี้ต่อหน้าข้า ถ้าใช้กลอุบายแบบเดียวกันหลายครั้งจนเกินไป มีแต่จะทำให้คนรู้สึกรำคาญ!”เมื่อได้ยินดังนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็รีบฟั่นแขนเสื้อขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา นางสูดจมูกอันปวดแสบ เพราะกลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะเกลียดนางมากยิ่งขึ้นเพียงแต่ว่าฝ่ามือของนางเจ็บมาก ในบาดแผลยังมีเศษเครื่องลายครามติดอยู่ในเนื้อและเลือด แต่สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็เจ็บปวดมากแต่จ
น้ำเสียงเยี่ยเป่ยเฉิงดุร้ายมาก จนทำให้หลินซวงเอ๋อร์ตกใจจนต้องถอยหลังกลับไปสองสามก้าวทันที จากนั้นก็มองเขาอย่างขี้ขลาด และไม่กล้าเข้าใกล้อีกเมื่อเห็นว่านางดูหวาดกลัว เยี่ยเป่ยเฉิงจึงมองไปทางอื่น แล้วเดินไปข้างหน้าต่อไปใครจะคิดว่า เสียงกระดิ่งเหล่านั้นจะตามหลังเขามาอย่างคลุมเครือตลอดเมื่อเขาหยุดเดิน เสียงนั้นก็หยุด เมื่อเขาเดินต่อไป เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกหงุดหงิดในใจ เขารู้ว่า สาวน้อยคนนั้นยังคงตามหลังตนเองอยู่แต่เขาไม่หันกลับไปมองนางอีก เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหลินซวงเอ๋อร์ตามเขาไม่ทัน ดังนั้นจึงเริ่มวิ่งเหยาะๆเมื่อมาถึงจวนโหว องครักษ์เฝ้าประตูก็เปิดประตูให้เยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงเขากระซิบอะไรกับองครักษ์ องครักษ์ถึงได้เหลือบมองหลินซวงเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าด้วยความเคารพต่อเยี่ยเป่ยเฉิงต่อมา องครักษ์ได้ขวางหลินซวงเอ๋อร์ไว้ด้านนอกประตูจวน“ ท่านอ๋องมีรับสั่ง ไม่ให้คนนอกเข้าไปในจวนโหวโดยไม่ได้รับอนุญาต”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้าเป็นสาวใช้ในจวน พี่องครักษ์ พี่จำข้าไม่ได้หรือ?"องครักษ์กล่าวว่า: " ท่านอ๋องบ
องครักษ์ทนไม่ไหว จึงมองไปทางเรือนฝั่งตะวันออกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าประตูลานเรือนปิดอยู่ และไม่มีใครมารับนาง เขาจึงไม่กล้าให้นางเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต…...ภายในเรือนอวิ๋นซวน เยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่หน้าหน้าต่าง จ้องมองกระต่ายสองตัวที่อยู่ในลานเรือนอย่างไม่วางตากระต่ายโตไวมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนยังไม่ลืมตา พอมาดูวันนี้ แม้แต่ขนของพวกมันก็ขึ้นมาแล้ว พวกมันมีขนฟูฟ่อง กระโดดไปกระโดดมาอยู่ในลานเรือน น่ารักเป็นอย่างมากเยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่กระต่ายสองตัวนั้น มุมปากก็โค้งขึ้น ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูจวนตามสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นยังจะอยู่ข้างนอกประตูจวนหรือเปล่าพอลดสายตาลง ก็บังเอิญเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อของตนเอง จากนั้นรูม่านตาก็หดลงหืม นี่ไม่ใช่คราบเลือดของเขา แต่เป็นคราบเลือดที่หลินซวงเอ๋อร์ทิ้งเอาไว้เขาดูเหมือนจะตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วโดยที่ไม่รู้ตัวบัดซบจริงๆ! เหตุใดตอนนี้ยังคิดถึงนางอยู่?นางจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็สมควรได้รับมัน!
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก