ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไป๋อวี้ถังได้ส่งหน่วยองครักษ์ลับไปหาเบาะแสของหลินซวงเอ๋อร์แต่แม้ว่าจะส่งหน่วยองครักษ์ลับออกไปหมดแล้ว ก็ไม่พบร่องรอยของหลินซวงเอ๋อร์เลยในตอนกลางคืน ไป๋อวี้ถังไปหารือเรื่องมาตรการรับมือกับเยี่ยเป่ยเฉิงที่จวนหย่งอันด้วยตนเองทันทีที่ย่างกรายเข้าไปในลานจวน ก็ได้ยินเสียงเสวียนอู่ รายงานอยู่ในห้อง“ ท่านอ๋อง พบศพหญิงไร้ศีรษะคนหนึ่งที่ริมทะเลสาบ...”ไป๋อวี้ถังหยุดเดินชั่วคราว หัวใจของเขาหยุดเต้นไปครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงของเสวียนอู่ก็ดังก้องอยู่ในหูต่อไป“ดูเสื้อผ้าบนตัวที่นางสวมใส่… ข้าน้อยสงสัยว่าคนนี้คือ…แม่นางหลิน”ไป๋อวี้ถังรู้สึกราวกับว่า หัวใจของตนเองถูกคนควักไปทั้งเป็นในหน้าอกเหลือเพียงความว่างเปล่าภายในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยเสียงทีาเกรี้ยวโกรธว่า: "ยืนยันตัวตนแล้วหรือยัง? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง?"เสวียนอู่ก้มศีรษะลง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลงโดยที่ไม่รู้ตัวว่า: "ข้าน้องแค่คาดเดา..."เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆลืมตาขึ้น ระงับความรู้สึกที่กระวนกระวายใจเอาไว้ในใจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า: "ก่อนยืนยันตัวตน อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้า!"ไป๋อวี้
ราษฎรที่มุงดูอยู่รอบๆต่างก็อกสั่นขวัญแขวนสภาพการตายของศพหญิงสาวคนนี้น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แถมยังส่งกลิ่นเหม็นออกมาเป็นระยะ คนอื่นต่างก็พากันหลบเลี่ยง แต่คุณชายคนนี้กลับเดินไปข้างหน้าเพื่อพลิกศพของหญิงสาวโดยที่ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยพอพลิกร่างแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทุกข์ระทมมากเกินไปหรือเปล่า คุณชายท่านนี้ถึงประเดี๋ยวขมวดคิ้วประเดี๋ยวหัวเราะอย่างมีความสุข คนที่ไม่รู้ว่าคงจะคิดว่าเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจอะไร จิตใจถึงได้ชอกช้ำอย่างหนัก!ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้คนต่างก็พากันเห็นอกเห็นใจเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นอย่างมากฝใครจะไปรู้ว่า ในเวลานี้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกโล่งใจอย่างสิ้นเชิงเขาลุกขึ้นยืน มองไป๋อวี้ถังที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวว่า "ไม่ใช่ นาง "อันที่จริง เส้นประสาททั้งหมดในร่างกายของไป๋อวี้ถัง ตึงเครียดตลอดเวลา เขาตื่นตระหนกอยู่ในใจสุดขีด แม้ว่ารูปลักษณ์เขาจะดูสงบนิ่ง แต่ใจของเขาสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำยืนยันของเยี่ยเป่ยเฉิง ร่างกายที่ตึงเครียดของไป๋อวี้ถังก็ค่อยๆผ่อนคลายลง และสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ เสียงที่สั่นเล็กน้อยของเขาถึงกลับมาเป็นปกติ และกล่า
เมื่อหลินซวงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา สิ่งที่อยู่ในสายตายังคงเห็นม่านเตียงผ้ากอซสีควันที่คุ้นเคย ภายในห้องมืดสลัว มีเพียงหน้าต่างบานเดียวเท่านั้นที่มีแสงสว่างนางรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าตนเองอยู่กัดขังอยู่ในห้องนี้มานานแค่ไหนแล้ว นางแค่รู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ฟ้ามืดแล้วสว่าง สว่างแล้วมืด ทำให้นางแยกชั่วยามไม่ออก“ตื่นแล้วหรือ?” มีเสียงที่ดังฟังชัดดังขึ้นที่ข้างหู ทั้งคุ้นเคยทั้งทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวหลินซวงเอ๋อร์หันหน้าไป ก็เห็นฉีหมิงที่สวมชุดคลุมสีพระจันทร์นั่งอยู่หัวเตียง แล้วมองนางด้วยนัยน์ตาที่ลุกเป็นไฟเขายังคงมีรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย แก้มตอบบางเล็กน้อย ผิวขาวขาวผุดผ่อง นัยน์ตากลมโต ใบหน้าอันหล่อเหลามีกลิ่นไอความเป็นวิชาการอยู่เมื่อเห็นฉีหมิง หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหดหู่อย่างอธิบายไม่ได้วันนั้น นางจะไปร้านเย็บปักเพื่อแก้ไขขนาดชุดแต่งงาน คิดไม่ถึงว่าพอออกจากประตูก็พบกับฉีหมิงเขานั่งรถเกี้ยว บอกว่าจะไปส่งนาง นางก็คิดว่าจะไปส่งนางจริงๆ แต่พอขึ้นไปเป็นรถเกี้ยว นางก็หน้ามืด และหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงต่อมา นางก็ถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่เห็นแสงสว่างตลอดทั้งวันเลยฉีหมิงมาเยี่ยมนา
ฉีหมิงลดสายตาลง เพื่อหลบหลีกสายตาของนาง นัยน์ตาจับจ้องไปที่ลำคออันเรียวขาวของนาง ตรงนั้น ยังคงมีรอยกัดที่สดใหม่อยู่สองสามรอย“ซวงเอ๋อร์ ไม่เชื่อฟังก็จะต้องถูกลงโทษ แบบนี้ เจ้าถึงจะสามารถลืมเขาได้อย่างแท้จริง!”จากนั้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ถาโถมเข้ามา ฉีหมิงมุดศีรษะไปที่ลำคอของนาง อ้าปาก แล้วกัดนางหลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างแรง น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา ความหวาดกลัวที่มีต่อฉีหมิงดำเนินไปถึงจุดสูงสุดร่างกายของนางสั่นเทามากยิ่งขึ้น มือทั้งสองข้างของหลินซวงเอ๋อร์ขยุ้มผ้าห่มเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองกรีดร้องออกมาน้ำตาไหลอาบแก้มและไหลลงมาที่ลำคอ พอฉีหมิงได้ชิมรสชาติของน้ำตานาง ก็ขมวดคิ้ว และค่อยๆปล่อยนางเมื่อลดตาลง ก็เห็นว่าคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาน้ำตานองหน้าไปตั้งนานแล้ว“พี่ฉี เจ็บ...”หลินซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้ นางหวาดกลัวมากจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่เขาโกรธ เขาก็จะกัดคอของนาง อย่างแรง จำได้ว่าในตอนแรกที่นางดึงดันจะกลับไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง จะว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ฉีหมิงโกรธมาก ทันใดนั้นก็มุดศีรษะไปกัดที่คอของนางอย่างแรง...จากนั้นก็ควบคุมไม่ได้อีกฉีหมิงเอื้อมมือออกไป ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตา
ฉีหมิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง แสงอันเย็นเยียบกระทบลงบนหน้าของเขา ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้วดูเย็นชามากยิ่งขึ้น“ ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่? ข้าคิดถึงช่วงวัยเด็กตอนที่อยู่เมืองชิงเหอมาก แม้ว่าตอนนั้นฉันจะยากจน แม้แต่ข้าวก็ไม่มีจะกิน แต่เจ้าจะไม่ต่อต้านพี่เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้”นัยน์ตาของเขามีเผยความโดดเดี่ยวเดียวดายออกมา แม้แต่เสียงก็เศร้าโศกอย่างอธิบายไม่ได้“ในเวลานั้น เจ้าไร้เดียงสามาก ราวกับหยกไร้ที่ติในโลกใบนี้ เจ้าจะยิ้มให้พี่ และเรียกพี่ว่าพี่ฉีอย่างอ่อนหวาน เมื่อเจอเรื่องที่หวาดกลัว เจ้าก็จะกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของพี่เพื่อให้พี่ปลอบโยน…”“พี่อยากจะประคบประหงมเจ้าเอาไว้ในอุ้งมือ ไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตรายใดๆ อยากจะเอาที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ เอามาไว้ที่ตรงหน้าเจ้า…”ฉีหมิงมองดูนาง กระตุกริมฝีปาก กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า: "เห็นได้ชัดว่า ตอนนั้นเจ้าชื่นชอบพี่มาก เหตุใดหลังจากที่มาเมืองหลวงแล้ว ทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไป..."ขณะที่พูด เขาก็เริ่มยิ้มแย้มอีกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มีความยินดีอย่างแท้จริง " เจ้ารู้ไหม? ตั้งแต่ตอนที่พี่เห็นเจ้าครั้งแรก พี่
ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ฉีหมิงจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ แต่นางก็เกลียดฉีหมิงไม่ลง ตอนนี้เขาแค่ป่วย และไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่หลินซวงเอ๋อร์กล่าวเบาๆว่า: " พี่ฉี พี่ดีมาก พี่เป็นคนที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ แต่ข้าไม่สามารถแต่งงานกับพี่ได้จริงๆ ข้าเป็นคนของท่านอ๋องแล้ว เป็นท่านอ๋องที่สอนข้า ว่าความรักระหว่างชายหญิงคืออะไร ส่วนพี่ เป็นญาติที่ข้ารักที่สุดบนโลกใบนี้ "“ บุณคุณที่พี่มีต่อครอบครัวของพวกเรา ซวงเอ๋อร์จดจำเอาไว้ในใจเสมอ แม้ว่าพี่อยากจะได้ชีวิตของซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ก็มอบให้พี่ได้ มีเพียงอย่างเดียว ข้าแต่งงานกับพี่ไม่ได้…”หลินซวงเอ๋อร์มองไปที่ฉีหมิง เขาค่อยๆลดศีรษะลง ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในความมืด เห็นได้ชัดว่าดื้อรันดูดื้อหดหู่: " ซวงเอ๋อร์ พี่ไม่เคยอยากได้ชีวิตเจ้า ข้าอยากได้เจ้าคนนี้! "“ทั้งๆที่ข้าพบเจ้าก่อนเหตุใดเจ้าถึงยังชื่นชอบเยี่ยเป่ยเฉิง?เขาดีตรงไหนหรือ?เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยวเย็นชาคนหนึ่ง ไม่เข้าใจเจ้าเลย!” เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความโศกเศร้า และสิ้นหวังสุดขีดเมื่อหลินซวงเอ๋อร์เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากนางไม่อยากทำร้ายเขา แต่ดูเหมือนตนเองจะทำร้ายเขาอย
ร่างสูงใหญ่บดบังแสงเอาไว้ ทำให้สีหน้าท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิงปกคลุมไปด้วยความมืดมิดฉีหมิงหันกลับมา แล้วเอาหลินซวงเอ๋อร์ไปไว้ข้างหลังอย่างชิดใกล้ มองไปที่ เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างต่อต้านในขณะนี้ เขาไม่กลัวสำถานะที่น่าเกรงขามของเขาเลย แค่คิดว่าเขาเป็นคนเลวที่แย่งคนรักของคนอื่น!ทันทีเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ตกตะลึงก่อน จากนั้นนัยน์ตาที่มืดมนก็ค่อยๆกลับมาเป็นประกายอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เริ่มดิ้นรน นางต้องการกลับไปที่ข้างกายของเยี่ยเป่ยเฉิงตามสัญชาตญาณฉีหมิงสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของนาง ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาจึงกระชับแน่นขึ้น แล้วกักขังนางไว้ข้างหลังเขาอย่างเผด็จการ เพื่อป้องกันไม่ให้นางเข้าใกล้เยี่ยเป่ยเฉิงแม้แต่น้อย!เขาออกแรงมากยิ่งขึ้น จนหลินซวงเอ๋อร์ได้ยินเสียงกระดูกข้อมือของตนเอง ความเจ็บปวดแสนสาหัสถาโถมเข้ามา ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแต่อดทนต่อความเจ็บปวด และไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ทำได้แค่มองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าถ้าฉีหมิงปล่อยมือนาง นางก็จะกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิงโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด!เยี่ยเป่ยเฉิงก็มองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ ทันใดนั้นสายตาขอ
เมื่อต้องเผชิญกับพลังอันท่วมท้น ฉีหมิงไม่มีช่องว่างที่จะสู้กลับเลยแม้แต่น้อย!เยี่ยเป่ยเฉิงบดขยี้เขาให้ตายง่ายเหมือนบดขยี้มดตัวหนึ่งให้ตาย!สีหน้าของฉีหมิงซีดเผือดไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เขายังคงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ก่อนตายสามารถทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงเกรี้ยวโกรธสุดขีดได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี!เขาเยาะเย้ย และพูดอย่างลำบากว่า: " เยี่ยเป่ยเฉิง! นอกจากแย่งชิงของของคนอื่นแล้ว! เจ้ายังทำอะไรได้อีก... ""เจ้ามีสถาะสูงส่ง และมีสถานะที่โดดเด่น แต่กลับมีพฤติกรรมเยี่ยงโจร! ข้าดูถูกเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ... "“แล้วจะทำไม?” เยี่ยเป่ยเฉิงหนี่ตาลงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “เจ้ากักขังหน่วงเหนี่ยวซวงเอ๋อร์ ทำร้ายนางเช่นนี้! ข้าจะอภัยให้เจ้าได้อย่างไร!”มีเจตนาฆ่าซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง เยี่ยเป่ยเฉิงกระชับนิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆคิดไม่ถึงว่า หลินซวงเอ๋อร์จะรีบวิ่งเข้ามาในขณะนี้นางยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของฉีหมิง ด้วยสายตาที่หวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่านางคือต้นตอของหายนะทั้งหมด!มือเล็กๆพยายามแกะมือของเขาออกสุดฤทธิ์ หลินซวงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนว่า: " ท่านอ๋อง ท่า
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก