หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจเชื่อคำโกหกของเขาต่อไปได้อีกคนตรงหน้าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ นางจึงซุกตัวอยู่ตรงมุมเหมือนกวางน้อย ด้วยร่างกายที่สั่นเทาเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน โดยการเอานางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน“ถ้าจูบ คงจะไม่มากเกินไปใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียอยู่ในใจ“ ท่านอ๋องต้องรักษาคำพูดนะ สามารถจูบข้าได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”ริมฝีปากอันเรียวบางของเยี่ยเป่ยเฉิงโค้งขึ้น ทำท่าทางราวกับว่าแผนการอันเลวร้ายได้ประสบความสำเร็จแล้วเมื่อหลินซวงเอ๋อร์เห็นรอยยิ้มของเขา หัวใจก็เต้นรัว และรู้ว่าตนถูกหลอกแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้โอกาสนางได้หลบหนี เอานางตรึงไว้ใต้ร่างของเขา โน้มตัวแนบชิด แล้วจูบนางหลินซวงเอ๋อร์ทุบไหล่ของเขา นี่ไม่ใช่การจูบ เห็นได้ชัดว่าเขาจะทุบกระดูกนาง แล้วกินนางจนหมดเกลี้ยงนางยังคงถอยหลังกลับไป แต่สุดท้ายก็ถูกเขายึดพื้นที่จนหมด จนนางไม่มีที่ว่างให้ถอยเลยบางครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่า เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นหมาป่าที่ไม่สามารถเลี้ยงให้อิ่มได้สูงส่งเย็นชา ไม่ฝักใฝ่อิสตรีอะไรกัน ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาต่อหน้านาง เขาเลวร้ายมากเหลือเกิน!
ตอนรุ่งสางเยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ริมฝีปากอันเรียวบางยกขึ้นเล็กน้อย และทำสีหน้าท่างที่พึงพอใจเมื่อคืนจัดหนักมากจนเกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงอยากให้นางพักผ่อนเยอะๆ จึงไม่ได้ปลุกนางก่อนที่จะออกไป เขามองย้อนกลับไปที่ดูคนที่อยู่บนเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะกลับไปอีกครั้ง สุดท้ายก็โน้มตัวลงไปจูบแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อยของนางหลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ มือเล็กๆอันอ่อนนุ่มโผล่ออกมาจากผ้าห่ม และคว้ามุมชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงเอาไว้เมื่อมองดูมือเล็กๆคู่นั้นที่จับเขาเอาไว้แน่น เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกราวกับว่าถูกขนนกจั๊กจี้หัวใจเบาๆ และหัวใจก็เต้นแรงขึ้น“ สาวน้อยคนนี้ ตอนนี้รู้จักอาลัยอาวรณ์แล้ว? ” เยี่ยเป่ยเฉิงย่อตัวลง แล้วใช้นิ้วลูบแก้มของนางเบาๆราวกับว่าได้ยินเสียงของเขา ปากของหลินซวงเอ๋อร์ก็เปล่งเสียงร้องราวกับว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กๆเมื่อเห็นท่าทางที่นางนอนหลับสนิท หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงก็ละลายไปเล็กน้อยท่าทางที่นองนอนอ่อนหวานงดงามมาก ลมหายใจเบาๆของนาง ทำให้แม้แต่อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นหอมน้ำนมที่หอมเป็นอย่างมากใบหน้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือขาวผุดผ่
สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงทำได้แค่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆบนหลังม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีท่าทางที่เหล่อเหลาสูงตระหง่าน นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวคู่นั้นมองตรงไปข้างหน้า เขายกคางสูงขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสนใจหลินซวงเอ๋อร์รวบรวมสติ คนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่อยู่ใกล้หลินซวงเอ๋อร์มากที่สุด ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฟุต แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่น มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง เช่นเดียวกับคนอื่นๆนางไม่กล้าตะโกน เพราะนางกลัวว่าถ้าตะโกนต่อหน้าทุกคน จะทำให้ทุกคนแตกตื่น และกลัวว่าจะไปรบกวนรถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงขบวนที่ยิ่งใหญ่สง่างามเช่นนี้ จะโกลาหลเพราะนางได้อย่างไร?ในที่สุด เยี่ยเป่ยเฉิงก็ค่อยๆขี่ม้าผ่านนางไปตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มองมาที่นางเลยเป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เขาไม่เห็นนางหลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังแต่ในขณะนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับดึงบังเหียนเอาไว้จากนั้นม้าก็ร้อง กีบม้ากระแทกพื้นสองที และหยุดอยู่กับที่ทันใดนั
หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เรือนฝั่งตะวันออกก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็หายไป นางไม่อาจรักษารอยยิ้มอันแสนหวานเอาไว้ได้หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้วในคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนไม่หลับอยู่บนเตียงพอคำนวณดูแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงยกทัพไปห้าวันแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจอเขามานานแล้วนางไม่เคยคิดถึงใครแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไป นางก็กินข้าวไม่อร่อย ตงเหมยชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่มีกะจิตกะใจไปตอนนี้พอนางหลับตาลง ในสมองล้วนเป็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้นางนอนไม่หลับเลยหลังจากพลิกตัวไปมาครึ่งคืนแล้ว จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งได้หลินซวงเอ๋อร์เปิดผ้าห่ม ลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปที่ห้องตำรานของเยี่ยเป่ยเฉิง เปิดพับไฟแล้วจุดโคมเทียน เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงนางอยากเขียนจดหมายถึงเยี่ยเป่ยเฉิง เขาเคยบอกว่า ตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายให้เขา นางคิดถึงเขาตอนนี้ ก็ต้องเขียนมันตอนนี้เลยว่าแต่จะเขียนอะไรล่ะ?หลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้า กัดด้สมพู่กันแล้วตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้ว่าน
ใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง คราวนี้ไม่ได้รับการดื่มเหล้าอวยพรของพวกเขา เขาแค่จ้องมองกองไฟตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหล่าทหารคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรยากาศก็เริ่มแข็งทื่อ และไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกหวังขุ่ยอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ ท่านอ๋อง ข้าน้อยพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”เยี่ยเป่ยเฉิงกลับมามีสติอีกครั้ง จู่ๆก็ถามว่า: "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีจดหมายจากจวนส่งถึงข้าบ้างไหม?"“จดหมายจากจวน? จดหมายจากจวนอะไร?” เหล่าทหารมองหน้ากันด้วยความงุนงงพวกเขาฝ่าอันตรายกับเยี่ยเป่ยเฉิงมาเป็นเวลาสิบปี ไม่เคยมีใครส่งจดหมายให้เขาเลย ครั้งนี้เพิ่งออกมาได้ครึ่งเดือน เหตุใดถึงได้ถามเรื่องนี้ล่ะ?หวังขุ่ยส่ายหัว: "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้สิ่งที่ส่งถึงท่านอ๋องล้วนเป็นข่าวชัยชนะ ไม่เคยได้รับจดหมายจากจวนเลย"“ ไม่มี? ” สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆสาวน้อยใจร้ายคนนั้น ห่างกันเป็นเวลาห้าวันแล้ว กลับไม่รู้จักเขียนจดหมายหาเขาสักฉบับ! ก่อนออกเดินทาง เขาได้กำชับนางไว้อย่างชัดเจนแล้วตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายถึงเขา ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค
ในวันที่อากาศร้อนจัดพระอาทิตย์แผดเผาปฐพีอย่างโหดร้าย จนสามารถมองเห็นไอร้อนลอยขึ้นมาจากขั้นบันไดหินที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างคลุมเครือความร้อนแผ่ซ่านไปทุกรูขุมขน มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมหมวกไม้ไผ่ยืนอยู่บนขั้นบันได เนื่องจากใช้พลังงานมากจนเกินไปทำให้ร่างกายของนางโซซัดโซเซสตรีที่อยู่ด้านข้างพยุงนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว“นายหญิง พวกเรากลับไปกันดีกว่า วัดหลิงอวิ๋นนั้นสูงชันมาก ร่างกายของท่านบอบบาง จะทนต่อความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร”“ไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องขึ้นไปให้ได้” เสียงอันไพเราะของหญิงสาว ดังมาจากใต้หมวกไม้ไผ่ " ข้าได้ยินคนบอกว่า วัดหลิงอวิ๋นเป็นวัดที่มีคนมาสักการะมากที่สุดในจงหยวน พระโพธิสัตว์ในนั้นจะต้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดด้วย "หญิงชราถอนหายใจอย่างเงียบๆ แล้วช่วยพยุงนางเดินต่อไป: "นายหญิงพูดถูก หวังว่าพระโพธิสัตว์ที่นี่จะช่วยท่านตามหาพวกเขาได้จริงๆ"หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อย เดินไปสองสามก้าวก็พักผ่อนสักพัก จากนั้นก็มองขั้นบันไดที่คดเคี้ยวอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหนือศีรษะของนาง รับผ้าเช็ดหน้าที่หญิงชรามอบให้แล้วเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก: " ลำบากท่านแล้ว ที่ต้องเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมาท
ตงเหมยพูดด้วยความโกรธว่า: " เจ้าอยากตายหรืออย่างไร บันไดสูงขนาดนี้ ถ้าเจ้ากลิ้งตกลงไป จะต้องตายแน่ๆ! "ผู้หญิงคนนั้นยังคงตกตะลึง จากนั้นก็มองไปที่ขั้นบันไดที่อยู่ข้างหลัง ด้วยความหวาดหวั่นอยู่ในใจที่แท้ นางปีนบันไดขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้วแม่นางคนนั้นพูดถูก ถ้าสาวน้อยคนนี้รับนางเอาไว้ไม่ทัน แล้วนางตกลงไป คงจะต้องตายอย่างแหลกลาญอย่างแน่นอนหลินซวงเอ๋อร์ลูบเข่าที่บวมแดงของนาง แล้วพูดกับตงเหมยที่ยังคงโกรธอยู่ว่า: "เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก ตงเหมยคนดี อย่าโกรธเลยนะ"ตงเหมยยังคงโกรธอยู่ นางหันหลังใส่ด้วยความโกรธ แล้วกล่าวว่า: "ใครเป็นห่วงเจ้า! เป็นเพราะนายท่านของเจ้านั่นแหละ! หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะมีชีวิตรอดหรือ!"หลินซวงเอ๋อร์จับมือตงเหมยเอาไว้ แล้วง้อว่า"เขาก็เป็นนายท่านของเจ้าเหมือนกันนะ เอาน่า กลับไปด้วยข้าจะซื้อขนมลูกสนเคลือบน้ำตาลให้เจ้าเพิ่มอีกสองสามห่อ ตกลงไหม?"เมื่อได้ยินดังนี้ ตงเหมยก็หันกลับมาอย่างไม่เต็มใจ ด้วยดวงตาสีแดง ภาพเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก: "พูดแล้วนะ ห้ามกลับคำ!"ในเวลานี้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยปากพูดว่า "ขอ
ธูปเทียนของวัดหลิงอวิ๋นลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เพราะมีคนมาอธิษฐานขอพรอยู่ที่นี่ไม่ขายสายหลังจากที่ทั้งสองไปถึงวัดหลิงอวิ๋นแล้วก็ไปซื้อธูปหอมและเงินกระดาษที่ประตูห้องโถงใหญ่สำหรับอธิษฐานขอพรตงเหมยถามหลินซวงเอ๋อร์ว่าอยากจะบูชาเทพเจ้าองค์ไหนหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเทพเจ้าองค์ไหนสามารถทำให้คนแคล้วคลาดปลอดภัยได้ จึงสักการะบูชาเทพทุกองค์ รวมถึงเจ้าแม่กวนอิมผู้ช่วยเรื่องบุตรธิดาก็ไม่เว้นคิดไม่ถึงว่า ทันทีที่เข้าไปในห้องโถงหลัก หลินซวงเอ๋อร์ก็ได้พบกับสตรีรูปงามคนนั้นที่ได้พบกันเมื่อสักครู่นี้นางคุกเข่าต่อหน้าพระพุทธองค์ แต่ไม่รู้ว่าขออะไรหลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้ารบกวนนาง กราบไหว้พระพุทธเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจสองสามครั้ง จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วออกไปเทพเซียนในวัดหลิงอวิ๋นเยอะมาก นางต้องให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน จึงบูชาสักการะทุกองค์ อย่างไรเสีย เทพหลายองค์รวมกันคงจะมีพลังมากกว่าหลังจากออกจากห้องโถงใหญ่แล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็ไปขอยันต์แคล้วคลาดให้เยี่ยเป่ยเฉิงหนึ่งอันหลังจากรับยันต์แคล้วคลาดมาได้อย่างราบรื่นแล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็เก็บมันเอาไว้อย่างมีความสุข พอเห็นว่าทางโน้นมีเสี่ยงเซียมซี นางก็ไปเสี
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก