สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงทำได้แค่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆบนหลังม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีท่าทางที่เหล่อเหลาสูงตระหง่าน นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวคู่นั้นมองตรงไปข้างหน้า เขายกคางสูงขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสนใจหลินซวงเอ๋อร์รวบรวมสติ คนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่อยู่ใกล้หลินซวงเอ๋อร์มากที่สุด ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฟุต แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่น มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง เช่นเดียวกับคนอื่นๆนางไม่กล้าตะโกน เพราะนางกลัวว่าถ้าตะโกนต่อหน้าทุกคน จะทำให้ทุกคนแตกตื่น และกลัวว่าจะไปรบกวนรถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงขบวนที่ยิ่งใหญ่สง่างามเช่นนี้ จะโกลาหลเพราะนางได้อย่างไร?ในที่สุด เยี่ยเป่ยเฉิงก็ค่อยๆขี่ม้าผ่านนางไปตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มองมาที่นางเลยเป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เขาไม่เห็นนางหลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังแต่ในขณะนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับดึงบังเหียนเอาไว้จากนั้นม้าก็ร้อง กีบม้ากระแทกพื้นสองที และหยุดอยู่กับที่ทันใดนั
หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เรือนฝั่งตะวันออกก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็หายไป นางไม่อาจรักษารอยยิ้มอันแสนหวานเอาไว้ได้หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้วในคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนไม่หลับอยู่บนเตียงพอคำนวณดูแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงยกทัพไปห้าวันแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจอเขามานานแล้วนางไม่เคยคิดถึงใครแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไป นางก็กินข้าวไม่อร่อย ตงเหมยชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่มีกะจิตกะใจไปตอนนี้พอนางหลับตาลง ในสมองล้วนเป็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้นางนอนไม่หลับเลยหลังจากพลิกตัวไปมาครึ่งคืนแล้ว จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งได้หลินซวงเอ๋อร์เปิดผ้าห่ม ลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปที่ห้องตำรานของเยี่ยเป่ยเฉิง เปิดพับไฟแล้วจุดโคมเทียน เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงนางอยากเขียนจดหมายถึงเยี่ยเป่ยเฉิง เขาเคยบอกว่า ตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายให้เขา นางคิดถึงเขาตอนนี้ ก็ต้องเขียนมันตอนนี้เลยว่าแต่จะเขียนอะไรล่ะ?หลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้า กัดด้สมพู่กันแล้วตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้ว่าน
ใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง คราวนี้ไม่ได้รับการดื่มเหล้าอวยพรของพวกเขา เขาแค่จ้องมองกองไฟตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหล่าทหารคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรยากาศก็เริ่มแข็งทื่อ และไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกหวังขุ่ยอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ ท่านอ๋อง ข้าน้อยพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”เยี่ยเป่ยเฉิงกลับมามีสติอีกครั้ง จู่ๆก็ถามว่า: "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีจดหมายจากจวนส่งถึงข้าบ้างไหม?"“จดหมายจากจวน? จดหมายจากจวนอะไร?” เหล่าทหารมองหน้ากันด้วยความงุนงงพวกเขาฝ่าอันตรายกับเยี่ยเป่ยเฉิงมาเป็นเวลาสิบปี ไม่เคยมีใครส่งจดหมายให้เขาเลย ครั้งนี้เพิ่งออกมาได้ครึ่งเดือน เหตุใดถึงได้ถามเรื่องนี้ล่ะ?หวังขุ่ยส่ายหัว: "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้สิ่งที่ส่งถึงท่านอ๋องล้วนเป็นข่าวชัยชนะ ไม่เคยได้รับจดหมายจากจวนเลย"“ ไม่มี? ” สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆสาวน้อยใจร้ายคนนั้น ห่างกันเป็นเวลาห้าวันแล้ว กลับไม่รู้จักเขียนจดหมายหาเขาสักฉบับ! ก่อนออกเดินทาง เขาได้กำชับนางไว้อย่างชัดเจนแล้วตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายถึงเขา ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค
ในวันที่อากาศร้อนจัดพระอาทิตย์แผดเผาปฐพีอย่างโหดร้าย จนสามารถมองเห็นไอร้อนลอยขึ้นมาจากขั้นบันไดหินที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างคลุมเครือความร้อนแผ่ซ่านไปทุกรูขุมขน มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมหมวกไม้ไผ่ยืนอยู่บนขั้นบันได เนื่องจากใช้พลังงานมากจนเกินไปทำให้ร่างกายของนางโซซัดโซเซสตรีที่อยู่ด้านข้างพยุงนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว“นายหญิง พวกเรากลับไปกันดีกว่า วัดหลิงอวิ๋นนั้นสูงชันมาก ร่างกายของท่านบอบบาง จะทนต่อความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร”“ไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องขึ้นไปให้ได้” เสียงอันไพเราะของหญิงสาว ดังมาจากใต้หมวกไม้ไผ่ " ข้าได้ยินคนบอกว่า วัดหลิงอวิ๋นเป็นวัดที่มีคนมาสักการะมากที่สุดในจงหยวน พระโพธิสัตว์ในนั้นจะต้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดด้วย "หญิงชราถอนหายใจอย่างเงียบๆ แล้วช่วยพยุงนางเดินต่อไป: "นายหญิงพูดถูก หวังว่าพระโพธิสัตว์ที่นี่จะช่วยท่านตามหาพวกเขาได้จริงๆ"หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อย เดินไปสองสามก้าวก็พักผ่อนสักพัก จากนั้นก็มองขั้นบันไดที่คดเคี้ยวอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหนือศีรษะของนาง รับผ้าเช็ดหน้าที่หญิงชรามอบให้แล้วเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก: " ลำบากท่านแล้ว ที่ต้องเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมาท
ตงเหมยพูดด้วยความโกรธว่า: " เจ้าอยากตายหรืออย่างไร บันไดสูงขนาดนี้ ถ้าเจ้ากลิ้งตกลงไป จะต้องตายแน่ๆ! "ผู้หญิงคนนั้นยังคงตกตะลึง จากนั้นก็มองไปที่ขั้นบันไดที่อยู่ข้างหลัง ด้วยความหวาดหวั่นอยู่ในใจที่แท้ นางปีนบันไดขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้วแม่นางคนนั้นพูดถูก ถ้าสาวน้อยคนนี้รับนางเอาไว้ไม่ทัน แล้วนางตกลงไป คงจะต้องตายอย่างแหลกลาญอย่างแน่นอนหลินซวงเอ๋อร์ลูบเข่าที่บวมแดงของนาง แล้วพูดกับตงเหมยที่ยังคงโกรธอยู่ว่า: "เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก ตงเหมยคนดี อย่าโกรธเลยนะ"ตงเหมยยังคงโกรธอยู่ นางหันหลังใส่ด้วยความโกรธ แล้วกล่าวว่า: "ใครเป็นห่วงเจ้า! เป็นเพราะนายท่านของเจ้านั่นแหละ! หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะมีชีวิตรอดหรือ!"หลินซวงเอ๋อร์จับมือตงเหมยเอาไว้ แล้วง้อว่า"เขาก็เป็นนายท่านของเจ้าเหมือนกันนะ เอาน่า กลับไปด้วยข้าจะซื้อขนมลูกสนเคลือบน้ำตาลให้เจ้าเพิ่มอีกสองสามห่อ ตกลงไหม?"เมื่อได้ยินดังนี้ ตงเหมยก็หันกลับมาอย่างไม่เต็มใจ ด้วยดวงตาสีแดง ภาพเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก: "พูดแล้วนะ ห้ามกลับคำ!"ในเวลานี้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยปากพูดว่า "ขอ
ธูปเทียนของวัดหลิงอวิ๋นลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เพราะมีคนมาอธิษฐานขอพรอยู่ที่นี่ไม่ขายสายหลังจากที่ทั้งสองไปถึงวัดหลิงอวิ๋นแล้วก็ไปซื้อธูปหอมและเงินกระดาษที่ประตูห้องโถงใหญ่สำหรับอธิษฐานขอพรตงเหมยถามหลินซวงเอ๋อร์ว่าอยากจะบูชาเทพเจ้าองค์ไหนหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเทพเจ้าองค์ไหนสามารถทำให้คนแคล้วคลาดปลอดภัยได้ จึงสักการะบูชาเทพทุกองค์ รวมถึงเจ้าแม่กวนอิมผู้ช่วยเรื่องบุตรธิดาก็ไม่เว้นคิดไม่ถึงว่า ทันทีที่เข้าไปในห้องโถงหลัก หลินซวงเอ๋อร์ก็ได้พบกับสตรีรูปงามคนนั้นที่ได้พบกันเมื่อสักครู่นี้นางคุกเข่าต่อหน้าพระพุทธองค์ แต่ไม่รู้ว่าขออะไรหลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้ารบกวนนาง กราบไหว้พระพุทธเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจสองสามครั้ง จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วออกไปเทพเซียนในวัดหลิงอวิ๋นเยอะมาก นางต้องให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน จึงบูชาสักการะทุกองค์ อย่างไรเสีย เทพหลายองค์รวมกันคงจะมีพลังมากกว่าหลังจากออกจากห้องโถงใหญ่แล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็ไปขอยันต์แคล้วคลาดให้เยี่ยเป่ยเฉิงหนึ่งอันหลังจากรับยันต์แคล้วคลาดมาได้อย่างราบรื่นแล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็เก็บมันเอาไว้อย่างมีความสุข พอเห็นว่าทางโน้นมีเสี่ยงเซียมซี นางก็ไปเสี
พระภิกษุคลี่เซียมซี เงยหน้ามองตงเหมย แล้วตีความว่า: "ชีวิตมีขึ้นมีลง ความมั่งมีศรีสุขจะบังเกิดในอนาคต เกิดมาพร้อมกับความยากลำบาก แต่จะมีผู้สูงศักดิ์คอยช่วยเหลือ"ตงเหมยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี: " พระอาจารย์ดูผิดไปประโยคหนึ่งหรือเปล่าเจ้าคะ? ชีวิตของข้าลำบากยาดแค้น ต่ำต้อยด้อยค่าจริงๆ สิ่งนี้เป็นเรื่องจริง แต่ท่านบอกว่าจะมีผู้สูงศักดิ์คอยช่วยเหลือข้า อันนี้ตีความผิดไปแล้ว คนรอบกายข้าล้วนมีชะตากรรมคล้ายๆกันกับข้า จะมีผู้สูงศักดิ์คอยช่วยเหลือที่ไหนกัน?"พระภิกษุไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่พูดว่า: " โยมใช่ว่าจะไม่มีดวงสมพงษ์กับผู้สูงศักดิ์ แค่โชคลาภยังมาไม่ถึง ขอแค่โยมรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ ความมั่งคั่งก็จะบังเกิดขึ้นกับโยม "ตงเหมยมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มอันที่จริงพวกนางเข้าใจทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเสี่ยงเซียมซี ล้วนแล้วแต่มาขอความสบายใจ ดังนั้นจะเชื่อจริงจังไม่ได้พวกนางทั้งสองก็ถือเสียว่าฟังไปเพลินๆ และไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกนางนมัสการลาพระภิกษุ เก็บข้าวของแล้วลงจากภูเขาไปหลังจากทั้งสองคนจากไปแล้ว หญิงชราประคองผู้ห
นัยน์ตาเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นประกาย“ใครเขียน?”น้ำเสียงของเขาดูเร่งรีบเล็กน้อยทหารที่ส่งจดหมายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรอยู่ครู่หนึ่งพอเยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่าตนเองมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเล็กน้อย จึงรีบสงบสีหน้าอาการ กระแอมแห้งสองครั้ง แล้วกลับมาเย็นชาเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็พูดอย่างสงบนิ่งว่า: "รู้แล้ว เอาวางไว้บนโต๊ะเดี๋ยวข้าจะเปิดอ่านทีหลัง "ทหารพยักหน้า วางซองจดหมายลงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วจากไปภายในกระโจม เหลือเพียงเสวียนอู่กับเยี่ยเป่ยเฉิงสองคนเท่านั้นเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองซองจดหมายบนโต๊ะก่อน จากนั้นก็ย้ายสายตาไปที่เสวียนอู่ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างโง่เขลา แล้วมองเขาอย่างสงบนิ่งเสวียนอู่สบตากับเขา ชะงักไปเล็กน้อย และตอบสนองไม่ทันอยู่ครู่หนึ่ง“ ท่านอ๋องมีอะไรจะกำชับหรือ?”เยี่ยเป่ยเฉิงเลิกคิ้วที่งดงาม ดวงตาของเขาดูเหมือนจะพูดว่า: เหตุใดถึงยังไม่ออกไปอีก?เมื่อถูกดวงตาที่น่าหวาดกลัวสุดขีดคู่หนึ่งจ้องมอง เสวียนอู่ก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว จากนั้นก็เข้าใจได้ทันที และรีบวิ่งเผ่นไปอย่างงุนงงหลังจากที่เสวียนอู่จากไปแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงก็น
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ