“แม่นาง”มีเสียงแปลกหน้าดังมาจากด้านหลังหลินซวงเอ๋อร์หันกลับมา ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ท่านยาย มีเรื่องอะไรหรือ?"หญิงชราดูไปแล้วเป็นคนที่ใจดีมีเมตตา นางยิ้มให้หลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า " ขาของยายเดินเหินไม่สะดวก แม่นางส่งยายกลับบ้านได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "บ้านของยายอยู่ไหนหรือ?"หญิงชราชี้ไปที่ปากทางเข้าซอยทิศตะวันตก แล้วกล่าวว่า “ อยู่ไม่ไกลมากนัก อยู่ข้างหน้านี่เอง แม่นางดูเป็นคนจิตใจดี ช่วหญิงชราอย่างยายสักครั้งได้หรือไม่? ”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นางมองดูของขนาดเล็กขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้น ทำให้นางไปไหนไม่ได้เลยนางพูดกับหญิงชราว่า: "ท่านยาย ข้าต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ข้าต้องเฝ้าดูสิ่งของเหล่านี้ ไปไม่ได้จริงๆ เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าจะหาคนอื่นให้? "หญิงชราคิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธ หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย“แม่นาง ยายหาใครไม่ได้จริงๆ หากเจ้ามีจิตใจดี ได้โปรดช่วยยายด้วย”หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วนางสัญญากับตงเหมยไว้แล้ว จึงไม่สามารถผิดสัญญากับนางได้ ส่วนหญิงชราคนนี้... หลินซวงเอ๋อร์มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนที่อยู
หลังจากฟังตงเหมยพูดแล้ว ไป๋อวี้ถังก็ประเมินเวลา“เพียงเวลาแค่เพียงครึ่งธูป พวกเขาน่าจะหนีไปได้ไม่ไกล!”อย่างไรเสียไป๋อวี้ถังก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ที่โชกโชน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าในใจของเขาจะตื่นตระหนกมาก แต่เขาก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีสติในอีกด้านหนึ่ง เขาให้ตงเหมยกลับไปที่จวนโหวเพื่อแจ้งให้เยี่ยเป่ยเฉิงทราบทันที อีกด้านหนึ่งก็ให้ลูกน้องใต้อาณัติเอาตราสัญลักษณ์ไปปิดกั้นประตูเมืองเอาไว้ตงเหมยไม่กล้าชักช้า วิ่งไปที่จวนโหวโดยที่ไม่ได้หยุดพักเลยไป๋อวี้ถังไม่กล้าที่จะชักช้าเช่นกัน แผนการในตอนนี้ก็คือการตามหานางให้เจอก่อน หากล่าช้าไปสักวินาที หลินซวงเอ๋อร์อาจจะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นเขานำคนที่เหลือไปตรวจตราทีละบ้าน แม้แต่สถานที่อย่างหอจุ้ยชุนก็ไม่เว้นแต่แม้ว่าจะพลิกแผ่นดินหาทั่วทั้งถนนฉางอานแล้ว ก็หาหลินซวงเอ๋อร์ไม่เจอเลยไป๋อวี้ถังครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อไม่ได้อยู่บนถนนฉางอาน พวกเขาจะต้องการพานางออกจากเมืองแน่! อีกอย่าง พวกเขายังพาคนที่หมดสติไปด้วย ดังนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี และจะต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง เพื
ทันทีที่วัวเทียมเกวียนออกจากประตูเมืองก็มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาที่มีป่าทึบ เมื่อไปถึงสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ชายชราก็ถอดหน้ากากออก แล้วเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นออกมา เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาแล้ว อายุน่าจะประมาณสามสิบปีชายคนนั้นใช้มือรื้อฟางที่อยู่บนวัวเทียมเกวียนออก คิดไม่ถึงว่าวัวเทียมเกวียนที่ดูธรรมดาจะมีความพิเศษมากกว่านั้น ชั้นล่างสุดมีช่องลับช่องหนึ่งซ่อนอยู่เมื่อเปิดช่องลับออก ก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ข้างในเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือหลินซวงเอ๋อร์เพียงแต่ว่า ในเวลานี้หลินซวงเอ๋อร์ยังคงหมดสติอยู่ มือและเท้าของนางถูกมัดเอาไว้ ส่วนในปากก็ถูกยัดด้วยผ้าในเวลานี้ ผู้สมรู้ร่วมคิดสองคนในชุดลำลองก็เดินออกมาจากป่าทึบชายหน้าบากยกหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้ววางไว้บนไหล่ จากนั้นก็พูดกับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสองคนว่า: "จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ด้านหลังมีคนไล่ตามมา"ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียงเกือกม้าดังเข้ามาหาพวกเขาคนสองสามคนไม่หล้าอยู่ต่อ จึงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์แล้วเดินลึกเข้าไปในภูเขาที่มีป่าทึบระหว่างทาง หลินซวงเอ๋อร์ตื่นขึ้นเพราะความโคลงเคลง แต่เนื่องจา
จากนั้นชายหน้าบากก็ตระหนักได้ว่าอันตรายกำลังจะใกล้เข้ามาถึงแล้ว พอเขาตอบสนองได้ ก็มีพลังอันทรงพลังเตะเขาเข้ากำแพงบ้านไม้เก่าที่อันทรุดโทรมกำลังจะพัง กระดานไม้บนผนังกระเส่าไปมา ชายหน้าบากรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดในเวลานี้ เขาไม่สนใจที่จะเพลิดเพลินกับความสุขระหว่างชายหญิงอีกต่อไป เขาจับพนังแล้วประคองตัวขึ้นมาอย่างสะบักสะบอม จากนั้นก็ดึงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากเอวเขาเอ่ยปากพูดอย่างหอบเหนื่อย: "ไอ้สารเลว! กล้าแส่เรื่องของคนอื่นนักหรือ?"ไป๋อวี้ถังเป็นคนผิวขาว บนตัวยังเต็มไปด้วยกลิ่นไอตำราวิชาการ ชายหน้าบากจึงคิดว่าเขาสามารถรับมือกับเขาได้อย่างง่ายดาย จึงไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกคิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่มรูปงามที่อ่อนโยนสง่างาม บนตัวจะมีพลังที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าชายที่หล่อเหลาและอ่อนโยนคนนี้จะมีพลังระเบิดอันทรงพลังเช่นนี้ การถีบในครั้งนั้นอย่างน้อยก็ทำให้ซี่โครงของเขาหักสามซี่“เอ้อโกว่! หยางหม่าจื่อ! พวกเจ้าสองคนยังยืนบื้ออยู่ข้างนอกทำไม?เหตุใดไม่เข้ามาช่วยข้า!”เขารู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะ จากนั้นก็ลากร่างอันหนักอึ้งของเขาถอยก
ทันทีที่พูดจบ เขาก็กำกริชเอาไว้แล้วออกแรงมากขึ้นทันที"เขาสมควรตาย!" สีหน้าท่าทางของไป๋อวี้ถังเย็นชาลงเรื่อยๆ จากนั้นก็ค่อยๆหันหมุนกริชที่อยู่ในมือของเขาชายหน้าบากเจ็บปวดจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน แทบอยากจะตายไปในทันทีเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชายหนุ่มที่รูปงามที่อ่อนโยนสง่างามเช่นนี้ จะมีด้านที่โหดเหี้ยมขนาดนี้นี่ไม่ใช่นักวิชาการหน้ามน แต่เขาเป็นปีศาจ!“อย่า! พี่ชาย ขอร้องล่ะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ฉันจะบอกทุกอย่าง จะบอกทุกอย่างเลย”ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนต่อการทรมานได้ ชายหน้าบากก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสารภาพอย่างตรงไปตรงมาแต่มันสายเกินไปแล้วไป๋อวี้ถังไม่เคยให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง!ส่วนความจริง เขาติดตามเบาะแส และไปตรวจสอบเองก็ได้!"ช้าไปแล้ว!"ไป๋อวี้ถังยกมีดขึ้น แล้วตัดเอ็นมือของเขาจนขาดออกจากกัน สดท้ายกริชก็เข้าไปที่ช่องท้องของเขาเลือดยังคงไหลออกจากปากของชายหน้าบากไม่หยุด ในที่สุดเขาก็ล้มลงกับพื้นโดยที่ไม่ไหวติงหลังจากกำจัดอุปสรรคแล้ว ไป๋อวี้ถังก็ไม่ชักช้าแม้แต่เพียงครู่เดียว เขารีบไปแก้มัดให้หลินซวงเอ๋อร์ทันทีเชือกเส้นนั้นทำให้เกิดรอยฟกช้ำบนข้อมืออันขาวละไมข
อุณภูมิบนร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์ร้อนจนน่ากลัว ไป๋อวี้ถังถึงได้รู้ว่านางถูกวางยาปริมาณของยานี้ไม่น้อยเลย หากทนฝืน นางอาจจะต้องเสียชีวิตได้!หลินซวงเอ๋อร์พลางน้ำตาไหลอาบหน้า พลางคว้าคอเสื้อของไป๋อวี้ถังเอาไว้ ร่างกายของนางสั่นเทาเล็กน้อย สติสัมปชัญญะของนางค่อยๆถดถอยไป นางแทบจะมองเห็นหน้าของไป๋อวี้ถังไม่ชัดแล้ว จึงได้แต่เรียกเขาว่า: "พี่ไป๋..." "เสียงที่อ่อนช้อยเคล้าน้ำตา ราวกับว่าเป็นคาถาเย้ายวน ทำให้หัวใจของไป๋อวี้ถังสับสนวุ่นวายเล็กน้อยหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อุ้มหลินซวงเอ๋อร์ขึ้น แล้วเดินจำอ้าวออกไปนอกบ้าน“ แม่นางซวงเอ๋อร์ เจ้าอดทนอีกนิดนะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่จวนโหวก่อน”ไป๋อวี้ถังรู้อยู่แก่ใจว่า นาเป็นของเยี่ยเป่ยเฉิง แม้ว่าเขาจะชื่นชอบนางมาก อยากจะเอานางมาเป็นของตนเองใจจะขาด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องศีลธรรม เขาจึงไม่สามารถแตะต้องนางได้!เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เขาจะแย่งคนรักของเขาไม่ได้จะทำอะไรภรรยาสหายไม่ได้!ประโยคนี้เปรียบเสมือนมนต์สะกด ที่มัดเขาไว้ตลอดเวลา ทำให้เขาไม่กล้ากระทำผิดหลินซวงเอ๋อร์วางมือไว้บนไหล่ของเขา แล้วเอาหน้าแนบไปบนหน้าอกของเขา เสีย
ไป๋อวี้ถังไม่เคยรู้สึกว่าเวลาจะผ่านไปอย่างยากลำบากขนาดนี้เขาเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องอดทนอย่างยากลำบาก เพราะความใคร่ในอิสตรีเช่นนี้ในห้องอับชื้นจนเกินไป บนหน้าผากของทั้งคู่เต็มไปด้วยเหงื่อบางๆ หลินซวงเอ๋อร์เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เสื้อชั้นในบางๆจึงแนบชิดกับผิวพรรณอันขาวละไมของนางนางร้อนมากเหลือเกิน จนอดไม่ได้ที่จะต้องใช้มือถอดเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของตนเองออกไป๋อวี้ถังห้ามนางเอาไว้ได้ทันเวลา“แม่นางซวงเอ๋อร์ ได้โปรดอดทนอีกนิดนึง”เสียงของเขาเริ่มแหบแห้งอย่างอธิบายไม่ถูก และไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวายแค่ไหนแต่เขาก็ยังคงยืนหยัดอยู่เขาไม่อาจฉวยโอกาสตอนที่คนตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากได้ และไม่สามารถเอานางมาเป็นของตนเองในตอนที่นางไม่มีสติตอนที่ตามมาจนถึงที่นี่ เขาได้ทิ้งร่องรอยสัญลักษณ์เอาไว้ตลอดทาง และเชื่อว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะหาสถานที่แห่งนี้เจอในไม่ช้าแต่ว่า เหตุใดเขาถึงยังไม่มา?เหตุใดถึงยังไม่มา?เวลาผ่านไปอย่างยากลำบากมากเขารู้สึกว่าคอแหบแห้งมาก ร่างกายก็เริ่มร้อนเขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆบ้าน ในบ้านที่ทรุดโทรมแห่งนี้ ไม่มี
ไป๋อวี้ถังประทับจูบลงไป พอได้ลิ้มรสความหวานแล้วก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกดูเหมือนเขาจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า รสชาติของนางจะหอมหวานเช่นนี้ และทำให้คนรู้สึกคลั่งไคล้ทันทีที่ได้สัมผัสอารมณ์หดหู่ว่างเปล่าในใจในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้พบกับวิธีที่จะทำหลุดพ้นจากอารมณ์นี้แล้ว และในเวลานี้หัวใจที่ว่างเปล่าของเขาก็ถูกเติมเต็มทีละเล็กทีละน้อยเขาพยายามอ่อนโยนให้มากที่สุด ไม่กล้าใช้กำลังมากเกินไป เพราะกลัวว่าถ้าใช้แรงเพียงเล็กน้อยจะทำให้หญิงสาวที่อ่อนแอที่อยู่ในอ้อมแขนคนนี้เจ็บหลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆสติเลือนราง เนื่องจากฤทธิ์ของยาทำให้นางตอบสนองต่อเขาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้รับตอบสนองของนาง ร่างกายของไป๋อวี้ถังก็สั่นไหว นัยน์ตาของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันทีทันใด จากนั้นเขาก็แทบจะฝังทั้งตัวนางเอาไว้ในอ้อมแขนของตนสุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวลิ้นอันร้อนแรงของเขา ตวัดกวาดเลียปากของนาง และยื้อแย่งทุกลมหายใจของนางหลินซวงเอ๋อร์ถูกจูบอย่างดุเดือด จนนางรู้สึกทนไม่ไหวเล็กน้อยจังหวะการหายใจของไป๋อวี้ถังก็ค่อยๆเร็วขึ้น อุณหภูมิร่างกายของเขายังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องความคิดอันชั่วร้ายที่อยู่ในใจ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก