ดูเหมือนว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะสามารถทำให้นางมีสติ และเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจนเขาไม่ใช่เยี่ยเป่ยเฉิง เขาอยากปรากฏตัวในนัยน์ตาของนางอย่างสง่าผ่าเผย เพื่อว่าต่อจากนี้ไป ในหัวใจในนัยน์ตาของนางจะมีแต่เขาเท่านั้น!ช่างเป็นความความคิดที่บ้าบิ่นสุดขีดนางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำขลับของนางทำให้ใบหน้านางเรียวผมมากในรูม่านตาของนาง สะท้อนแสงสีแดงเข้ม ดูมีเสน่ห์เย้ายวนมาแต่โดยกำเนิด ทำให้คนถอนตัวไม่ขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวมีสาวงามนับไม่ถ้วนในเมืองหลวง ล้วนเทียบไม่ได้กับผมที่ดำมันเงา ดวงตาเต็มไปด้วยเสน่ห์ และหน้าตาที่บริสุทธิ์งดงามของนางไม่ได้เลยนางมองเขา ด้วยดวงตาที่ทั้งสับสนทั้งไม่รู้จะทำอย่างไรไป๋อวี้ถังหายใจถี่ขึ้น โน้มตัวเข้าไปข้างหน้าอีกครั้ง และจูบนางอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนกลับร้องไห้อย่างทุกข์ระทมนางรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ในร่างกายราวกับว่ามีแมลงเล็กๆน้อยๆนับไม่ถ้วนกัดแทะนางอยู่แต่นางรู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าของนางไม่ใช่เยี่ยเป่ยเฉิง แม้ว่าร่างกายของนางอยากจะเข้าใกล้ตามสัญชาตญาณ แต่หัวใจของนางกลับต่อต้านเป็นอย่างมากควรจะทำอย่างไรด
ประตูถูกคนเตะให้เปิดออก ทันใดนั้น ฝุ่นก็ฟุ้งกระจาย และประตูไม้ที่ทรุดโทรมก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆเยี่ยเป่ยเฉิงทนฝ่าความยากลำบากมาถึงได้ทันเวลาพอดีไม่รู้ใครรู้เลยว่าตอนที่หาหลินซวงเอ๋อร์ไม่เจอ เขาตื่นตระหนกแค่ไหน เขาแทบจะพลิกแผ่นดินเมืองฉางอานใจจะขาดโชคดีที่ทหารมารายงานได้ทันเวลา บอกว่าหลินซวงเอ๋อร์ถูกลักพาตัวออกนอกเมือง และไป๋อวี้ถังก็ได้ขี่ม้าตามไปแล้วเขาไม่กล้าชักช้าแม้แต่เพียงครู่เดียว รีบแกะร่องรอยที่ไป๋อวี้ถังทิ้งไว้ให้เขาแล้วตามไปทันทีโชคดีที่ ทุกอย่างยังไม่สายจนเกินไป!ก่อนที่เขาจะพังประตู ไป๋อวี้ถังได้ปล่อยคนที่อยู่ในอ้อมแขนได้ทันเวลา ในนัยน์ตาของเขาแฝงไแด้วยความเจ็บปวดโศกเศร้าตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามา บังเอิญเห็นหลินซวงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงไม้ด้วยลมหายใจที่แผ่วเบาพอดี และไป๋อวี้ถังกำลังยืนอยู่ ด้านข้างของนางเขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ และไม่เห็นความผิดหวังในดวงตาของไป๋อวี้ถังเลย เขาเดินตรงเข้าไปหาหลินซวงเอ๋อร์ สุดท้ายก็ยืนอยู่ตรงหน้านางหลินซวงเอ๋อร์ในเวลานี้ รู้สึกทุรนทุรายเพราะฤทธิ์ยาไปตั้งนานแล้ว และถูกทรมานจนเจียนตายใบหน้านางแดงก่ำผิดธรรมชาติ หน้าผากของนางเต
ทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขา เอามือทั้งสองข้างโอบไปที่ไหล่ของเขา แล้วยื่นริมฝีปากออกไปอย่างกล้าหาญสุดขีดริมฝีปากอันชุ่มฉ่ำ ประทับลงบนลูกกระเดือกของเขา ราวกับเป็นเวทมนตร์เร่งรัดให้คนตายเร็วๆทันใดนั้น เลือดที่แข็งตัวก็เริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ พอหมดเสียงดัง"จุ๊บ" ความสั่นไหวที่อยู่ในใจก็เดือดพล่านขึ้นมาทันทีนาง.…คิดไม่ถึงว่านางจะ...." ซวงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? "สติที่หลงเหลืออยู่ทำให้เขาผลักนางออกไปได้ทันเวลา จากนั้นก็จับไหล่ชองนางเอาไว้ด้วยมือขนาดใหญ่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลึกซึ้งกินใจพอถูกเขาผลักออกไป ทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากความทุกข์ระทมอันท่วมท้นก็ได้ถาโถมเข้ามานางอดกลั้นด้วยความยากลำบากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นคนเริ่มก่อน แต่กลับถูกเขาปฏิเสธนางร้องไห้ไม่ว่าเมื่อก่อนจะสะบักสะบอมขนาดไหน จะเจ็บปวดสักเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่เคยร้องห่มร้องไห้เสียใจเช่นนี้มาก่อนเลย ในที่สุดตอนนี้นางก็ได้พบกับเยี่ยเป่ยเฉิง แต่เขากลับปฏิเสธนางนางรู้สึกทุกข์ใจสุดขีด ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจทั้งเจ็บปวดรวดร้าว จู
เสวียนอู่เข้าใจ พอลงจากรถม้าแล้วก็ไปหลบอยู่ห่างๆเยี่ยเป่ยเฉิงวางหลินซวงเอ๋อร์ไว้บนที่นั่ง หลินซวงเอ๋อร์ใช้มือคล้องคอของเขาเอาไว้ แล้วพึมพำเบาๆเยี่ยเป่ยเฉิงตั้งใจฟัง เสียงเหล่านั้น ร้องเรียกแต่ชื่อของเขาข้างนอกรถม้า ลมยามค่ำคืนพัดใบไม้ไผ่ดังกรอบแกรบ ภายในพื้นที่แคบๆ มีเพียงลมหายใจที่พัวพันกันของคนทั้งสองเท่านั้นในลมหายใจของนางมีกลิ่นหอมหวานของน้ำนม และยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหญิงสาว ซึ่งมีกลิ่นหอมมากเยี่ยเป่ยเฉิงโอบกอดนางเอาไว้ แล้วเอาศีรษะมุดเข้าไปในผมที่สยายของนาง และดอมดมกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างกายของนางอย่างตะกละตะกลามหลินซวงเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอย่างเลือนราง และมองเรือนร่างที่คลุมเครือของเยี่ยเป่ยเฉิง ด้วยหัวใจที่เต้นรัวนางกลายเป็นภูตสาวพราวเสน่ห์ที่เกาะติดมนุษย์ พยายามทำทุกวถีทางเพื่อทำให้เขาพอใจ...แต่เนื่องจากความรักนวลสงวนอยู่ในจิตใต้สำนึก ทำให้นางไม่สามารถปลดปล่อยตนเองได้ การเคลื่อนไหวของนางจึงไม่ชำนาญอย่างไรเสียนางก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนทันใดนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ระหว่างเอวของนางก็กระชับขึ้น เยี่ยเป่ยเฉิงพลิกตัว แล้วดันตัวขึ้นไปด้านบนทันที
เยี่ยเป่ยเฉิงเม้มริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่พึงพอใจ แต่เมื่อเห็นรอยฟกช้ำทั่วร่างกายของนาง เขาก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากสมควรตาย!เขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมตนเองได้แต่ในความเป็นจริงแล้ว พอเขาได้สัมผัสนาง ความปรารถนาอันแรงกล้าในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถควบคุมมันได้เลยผิวพรรณที่อ่อนโยนของหลินซวงเอ๋อร์ สภาพผิวจึงกับผู้ที่อยู่ในสนามรบมาหลายปี เขาคิดว่าตนเองได้ระมัดระวังแล้ว สำหรับนางที่บอบบาง บางทีอาจจะเป็นการทรมานประเภทหนึ่ง...แต่นางกลับไม่ร้องสักแอะ?ในสมองของเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเมื่อคืน สายตาที่นางมองมาที่ตนเอง นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ทั้งน่าสงสารทั้งอดกลั้นเยี่ยเป่ยเฉิงใช้นิ้วสัมผัสรอยแดงบนร่างกายของนางเบาๆ นัยน์ตาเริ่มลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆเมื่อสัมผัสได้ถึงการสัมผัสของเขา คนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็พลิกตัว และเอาหัวเล็กๆซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขา…...ตอนที่หลินซวงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา เป็นเช้าของวันถัดไปแล้วตงเหมยกำลังเฝ้าอยู่ข้างเตียงนาง เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมา ก็กอดนางเอาไว้แล้วร้องห่มร้องไห้ศีรษะของนางยังคงวิงเวียนเล็กน้อย และจำเรื่องรา
ถนนฉางอาน หอบุปผชาติจ้าวเจาหยางกำลังดื่มสุราดอกไม้กับคนร่ำรวยกลุ่มหนึ่งอยู่ ครบครันไปด้วยสุราอาหารสเลิศ โอบกอดหญิงงามอย่างสราญใจชายคนหนึ่งกว่าว่า: "สหายจ้าว ไม่ได้เห็นเจ้าออกมาหลายวันแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าถูกพ่อของเจ้ากักขังลงโทษเสียแล้ว"มีหญิงงามคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างยื่นสุราชั้นดีให้ จ้าวเจาหยางเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มมันหมดจอกภายในรวดเดียว จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มอันแสนรื่นรมย์ว่า: " เจ้าเด็กนี่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด รู้อย่างนี้ วันนั้นข้าไม่กลับไปหรอก สู้อยู่ที่นี่เพื่อชื่นชมสาวงามไม่ได้! "เขาถูกจ้าวหย่วนโหวลงโทษด้วยการกักขังจริงๆ แต่จ้าวชิงชิงแอบปล่อยเขาออกมา และให้เงินแก่เขาจำนวนมาก เพื่อให้เขาสุรุ่ยสุร่ายได้ตามใจชอบแต่มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น นั่นคือกำจัดสาวใช้ที่อยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิง หญิงสาวที่ชื่อหลินซวงเอ๋อร์อะไรนั่นแทนนางแค่สาวใช้คนหนึ่งเหตุใดนางต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย! จ้าวเจาหยางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยแต่ว่า ใครบ้างที่จะไม่อยากได้เงิน? น้องสาวของเขาเป็นท่านหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิ นางจึงมีเงินมากกว่าเขา! เขาจะต้องทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่
หัวใจของจ้าวเจาหยางเต้นรัว: " อะไรนะ? ตามสังหาร? ข้าแค่ให้พวกเจ้าไปสังหารผู้หญิงคนหนึ่งก็เท่านั้น เหตุใดถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้? "เมื่อเห็นว่าชายหน้าบากเงียบไป จ้าวเจาหยางก็เอ่ยปากถามลอยๆว่า: "จัดการกับผู้หญิงคนนั้นแล้วหรือยัง? น้องสาวของข้าบอกว่า อยากจะให้นางตายอย่างตายทั้งเป็น พวกเจ้าทำสำเสร็จแล้วหรือยัง?"ชายหน้าบากก้มหน้าลง กล่าวอย่างกระอึกกระอักว่า: "ตอนหลังมีผู้ชายที่มีฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งเข้ามา ข้าเลยทำไม่สำเร็จ...""อะไรนะ?" จ้าวเจาหยางงุนงงสุดขีด: "พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ชายแต่กลับฆ่าผู้หญิงคนเดียวไม่ได้? พวกเศษสวะเอ๊ย!"ชายหน้าบากนิ่งเงียบ และปล่อยให้เขาดุด่าได้ตามใจชอบแต่ในไม่ช้า จ้าวเจาหยางก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป“เจ้ามาหาข้า มีใครตามเจ้ามาไหม?”ทันใดนั้นชายหน้าบากก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองจ้าวเจาหยางด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว"น่า...น่าจะไม่มีนะขอรับ"“แม่งเอ๊ย! เจ้าอยากจะทำร้ายข้าหรือ?” จ้าวเจาหยางรู้สึกตื่นตระหนกจริงๆ เรื่องมันก็ผ่านมาสองวันแล้ว ด้วยวิธีการที่ยอดเยี่ยมของเยี่ยเป่ยเฉิง จะหาหัวหน้าโจรไม่เจอได้อย่างไร! อีกอย่าง เขายังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก จะเข
จ้าวเจาหยางรู้สึกกระวนกระวายใจทันทีชายหน้าบากก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง: "คุณชาย ควรทำอย่างไรดี ข้าทำงานให้ท่านนะ ท่านจะต้องช่วยข้า!"แม้แต่ตนเองจ้าวเจาหยางก็ปกป้องไม่ได้ จะไปช่วยชีวิตเขาได้อย่างไร? เขาจึงตะโกนด้วยความโกรธทันทีว่า: " เจ้าไสหัวออกไปเลยนะ! ไอ้สมองหมาปัญญาควาย!เจ้ากำลังจะทำให้ข้าตายรู้หรือไม่? "ชั้นล่าง มีเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงกันดังขึ้นพวกเขามาแล้ว!จ้าวเจาหยางไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น สิ่งแรกที่เขานึดถึงคือการหลบหนีดังนั้นเขาจึงเปิดหน้าต่างด้วยความลนลาน และคิดจะกระโดดลงไปจากชั้นสองเพราะอย่างไรเสีย กระโดดลงไปขาหักยังดีกว่าตกไปอยู่ในอุ้งมือของปีศาจอย่างเยี่ยเป่ยเฉิง!เขาเปิดหน้าต่างด้วยความลนลาน ตอนที่กำลังจะกระโดดลงไป ก็เห็นเสวียนอู่องครักษ์ประจำตัวขอเยี่ยเป่ยเฉิง ยืนอยู่ใต้หน้าต่างเข้าพอดี ราวกับว่าจงใจมารอให้เขากระโดดลงไปข้างล่างจ้าวเจาหยางรีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็วหอบุปผชาติตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดบนถนนฉางอานคนที่มาที่นี่ไม่ร่ำรวยก็สูงศักดิ์ แม้แต่เจ้าขุนมูลนายก็ยังสวมชุดลำลองแล้วมานั่งเล่นอยู่ที่นี่เป็นครั้งคราวมีเจ้าหน้าที่ข
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก