หลินซวงเอ๋อร์วิ่งร้องไห้กลับไปที่ห้องเล็กๆเมื่อตงเหมยเห็นหลินซวงเอ๋อร์วิ่งเข้าไปในห้อง นางก็รีบก้าวไปข้างหน้า: "ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ท่านอ๋องยอมรับถุงเงินของเจ้าแล้วหรือยัง?"ทันทีที่พูดจบ ตงเหมยก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์ซุกหัวเข้าไปในผ้าห่มนางจึงเดินไป เปิดผ้าห่มขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่รัองไห้ฟูมฟายของหลินซวงเอ๋อร์ตงเหมยชะงักไปครู่หนึ่ง: "เกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องไม่รับถุงเงินของเจ้าหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแล้วส่ายหัว น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสายเมื่อตงเหมยเห็นว่านางยิ่งร้องไห้ยิ่งเศร้าใจ ก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนตัวออกมาแล้วช่วยนางเช็ดน้ำตา แล้วพูดปลอบใจอย่างต่อเนื่องว่า: "ซวงเอ๋อร์ผู้แสนดีของข้า เหตุใดถึงได้ร้องไห้แบบนี้ล่ะ?แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่รับถุงเงินของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียใจขนาดนี้นี่นา?"หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้อธิบายอะไร ได้แต่ร้องไห้ต่อไป จะห้ามน้ำตาอย่างไรก็ห้ามไม่ได้ตงเหมยโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนสักพักแล้วปลอบใจว่า: "ซวงเอ๋อร์ผู้แสนดีของข้า ไม่ร้องไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่จะเป็นคนทะนุถนอมเจ้าเองดีไหม? ดูเจ้าสิ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว"“ซวงเอ๋อร์ของพ
งานเลี้ยงพระราชวังจัดขึ้นที่ตำหนักเทียนหลวน ทุกคนเข้าไปในงานเลี้ยงพระราชวังกันไม่ขาดสาย และทยอยนั่งลงทีละคนเยี่ยเป่ยเฉิงเดินเข้ามา ฉีหมิงเป็นคนแรกที่เห็นเขา จึงเดินเข้ามาต้อนรับจากระยะไกลเยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าที่ดูสงบนิ่ง พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็หาที่นั่งหนึ่งแล้วนั่งลงฉีหมิงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา ท่าทางดูเหมือนลังเลที่จะพูดอะไรเยี่ยเป่ยเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ยกริมฝีปาก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า: "อย่าวิตกกังวลจนเกินไป การบรรเทาภัยพิบัติในครั้งนี้ เจ้ามีความดีความชอบมาก ข้าได้ทูลขอคำเชิญจากองค์จักรพรรดิแล้ว ให้ตำแหน่งขุนนางเจ้าอย่างเป็นทางการ หากข้าทายไม่ผิดล่ะก็ อีกสักพักองค์จักรพรรดิจะกล่าวถึงเรื่องนี้ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง และจะให้รางวัลแก่เจ้าอย่างแน่นอน "พูดจบ เยี่ยเป่ยเฉิงก็หมุนแก้วเหล้า แล้วจิบเหล้าไปหนึ่งอึกกลิ่นหอมของเหล้าโชยไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อเข้าปากก็มีรสหวาน เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกเบิกบานใจ เหลือบมองฉีหมิงเบาๆ แล้วเขาก็พูดว่า "เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ ที่หาได้ยากมาก เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าโดนตัดขา ในอนาคตถ้าเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพระราชส
องค์จักรพรรดิเดินเข้ามา สวมชุดมังกรทอง และมงกุฎประดับลูกปัด รูปร่างของบุตรแห่งสวรรค์ มีความน่าเกรงขามเป็นอย่างมากทุกคนในตำหนักก็เริ่มคุกเข่าทำความเคารพ จนเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวหลังจากที่องค์จักรพรรดิโบกไม้โบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นแล้ว ก็เลิกชุดมังกรขึ้นแล้วนั่งบนเก้าอี้มังกรจะเห็นได้ว่า วันนี้องค์จักรพรรดิอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก พระองค์กวาดสายตามองไปทั่วทั้งงานเลี้ยง ก็เห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว จึงพยักหน้า และส่งสัญญาณให้เริ่มงานเลี้ยงได้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ในตำหนักก็เต็มไปด้วยการร้องเล่นเต้นรำ ผู้คนต่างก็ดื่มเฉลิมฉลอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผลัดเปลี่ยนกันดื่ม บรรยากาศก็ดูคึกคักเป็นอย่างมากเมื่องานเลี้ยงเฉลิมฉลองไปได้ครึ่งทาง ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างสง่างามนางแต่งกายด้วยชุดสีแดงเข้ม ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเผยความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวออกมาทุกคนสังเกตเห็นร่างในชุดสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ ถึงได้รู้ว่า สตรีผู้นี้มิใช่คนอื่นไกล แต่เป็นองค์หญิงฮุ่ยอี๋องค์หญิงฮุ่ยอี๋เป็นพระธิดาของพระสนมเอกเซียว ระสนมเอกเซียวเป็นที่โปรดปรา
ทุกคนต่างก็รอดูว่าฉีหมิงจะเลือกอย่างไร แต่กลับเห็นว่าเขามีสีหน้าที่เคร่งขรึม และไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อยหลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นว่า: "กระหม่อมต้องการรางวัลจริงๆ แต่สิ่งที่องค์จักรพรรดิมอบให้ไม่ใช่สิ่งที่กระหม่อมต้องการ"ทันทีที่พูดนี้คำเหล่านี้ออกมา ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงเขายังเด็กเกินไปจริงๆ แม้แต่คำพูดขององค์จักรพรรดิก็กล้าปฏิเสธ แถมยังปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ทำให้องค์จักรพรรดิเสียพระพักตร์ต่อหน้าเหล่าขุนนาง!ทุกคนต่างก็พากันรอดูความอัปยศของเขา บรรยากาศในงานเลี้ยงของพระราชวังก็ผิดแปลกไปทันทีใบหน้าขององค์หญิงฮุ่ยอี๋เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวและสีแดงเขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?หรือว่า องค์หญิงผู้สง่างามอย่างนางจะไม่คู่ควรกับเขา?ถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป นางจะเอาหน้าไปไว้ไปไหน?เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าขององค์หญิงฮุ่ยอี๋ก็บูดบึ้งมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อขององค์จักรพรรดิ และทำท่าทางเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้เยี่ยเป่ยเฉิงยังคงเฝ้าดูจากฝั่งตรงข้าม โดยที่ไม่พูดอะไรเลยจักรพรรดิชะงักไปเล
หลินซวงเอ๋อร์รออยู่ในจวนโหวเป็นเวลานาน จนกระทั่งตีหนึ่ง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังไม่ได้กลับมานางถามตงเหมย ว่า: "เหตุใดท่านอ๋องยังไม่กลับมาอีก?"วันนี้ผิดปกติไปเล็กน้อยจริงๆ ตามปกติแล้ว ในเวลานี้เขาน่าจะกลับมาตั้งนานแล้วนางคิดอย่างรอบคอบแล้วว่า นางไม่อยากเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเยี่ยเป่ยเฉิงอีกต่อไปแล้ว เขาเคยสัญญากับนางว่า ถ้าหาสาวใช้ที่พึงพอใจได้ก็จะเปลี่ยนตัวนางทันทีแต่เขามักจะไม่รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้แก่นาง ท่านป้าจ้าวบอกว่า ท่านอ๋องไม่ได้เลือกสาวใช้เลย!ในเวลานี้นางแทบจะรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เมื่อนึกถึงวันนั้น วันที่เยี่ยเป่ยเฉิงมอบนางให้กับขันทีคนนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัว และคิดว่าถ้าอยู่ข้างกายเขาต่อไปก็คงจะปรนนิบัติได้ไม่ดีนัก สู้จากไปเองไม่ได้ตงเหมยกล่าวว่า: "ท่านอ๋องไปร่วมงานเลี้ยง คงจะล่าช้าเพราะเรื่องอะไรบางอย่าง บางครั้งงานราชการยุ่งมาก ไม่กลับจวนสองสามวันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจ: "เคยเกิดขึ้นหรือ?"ตงเหมยกล่าวว่า "แต่ก่อนเคยเกิดขึ้น แต่ว่า ตั้งแต่ที่เจ้าเริ่มรับใช้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็กลับจวนทุกวัน และไม่เคยค้างคืนอยู่ข้างนอกเลย"หลินซวงเอ๋อร์นั่งบ
เยี่ยเป่ยเฉิงในยามราตรี ใรใบหน้าที่คมเข้ม ในนัยน์ตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนรุนแรง จากนั้นดวงตาคู่นั้นก็จับจ้องมาที่นางเมื่อถูกนัยน์ตาที่ดุร้ายราวกับพยัคฆ์หมาป่าคู่หนึ่งจับจ้อง หลินซวงเอ๋อร์ก็หายใจไม่เป็นจังหวะทันทีนางต้องการหลบหนี แต่เขาถูกเขาคุมตัวเอาไว้แน่น จากนั้นก็กดไหล่ของนางไว้เหมือนไม่ได้ออกแรง แต่กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งนางคิดที่จะดิ้นรน แต่พอนางเหลือบไปเห็นมือที่เพิ่งจะพันแผลเสร็จ เริ่มเปียกโชกไปด้วยเลือดเล็กน้อยก็กลัวว่าจะไปสัมผัสมือที่ได้รับบาดเจ็บของเขา หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่กล้าขยับอีกต่อไป จึงทำได้แค่มองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างขี้ขลาดด้วยดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา ราวกับว่ากวางน้อยที่ตื่นตระหนก และตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาเยี่ยเป่ยเฉิงระงับไฟชั่วร้ายที่อยู่ในใจ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์จมอยู่ในแสงไฟอันสลัว ราวกับว่าเป็นหยกงามที่โปร่งแสง และนัยน์ตาที่เหมือนน้ำในสารทฤดูในเวลานี้เพ่งมองมาที่ตน ทำให้มีเสน่ห์เย้ายวนมากดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆเลื่อนลงมาที่คอเสื้ออันงดงามของนาง ภายใต้ปกเสื้อที่กว้างของนาง เขาก็เหลือบไปเห็น
คำพูดของเยี่ยเป่ยเฉิง เหมือนกับการเปิดสวิตช์ความทรงจำ ทำให้เศษฝันร้ายที่กระจัดกระจายในคืนนั้นกลับมารวมกันต่อหน้านางอีกครั้งคราวนี้ เขาอยากจะลงโทษนางแบบนี้อีกหรือ?อยากจะมอบนางให้แก่ขันทีผู้นั้นอีก หรือว่าจะทำเหมือนคืนนั้น ที่ข่มเหงนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า?ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากสัมผัสมันอีกต่อไปแล้วเพราะว่ามันเจ็บเหลือเกิน เจ็บมากเกินไปแล้ว...“ไม่นะ อย่า...ได้โปรด...”รอบๆร่างกายเขาถูกปกคลุมไปด้วยอากาศเย็น ความกดดันที่เกิดจากตัวเขากระจายไปทั่วทุกมุมห้องหลินซวงเอ๋อร์หวาดกลัวจริงๆ และยอมรับผิดครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา“ซวงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว ซวงเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่าน ท่านอ๋องได้โปรดอย่าลงโทษข้าเลย…”“ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องโกรธอีกต่อไปแล้ว…”นางร้องไห้ขอความเมตตา ยอมรับผิด อะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็แค่ให้ความโกรธของเขาทุเลาลงไปได้ท่านแม่เคยสอนนางว่า ถ้าทำอะไรผิดจะต้องยอมรับผิดก่อน ถ้ายอมรับผิด ก็จะทุกข์น้อยลงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดกันแน่ เยี่ยเป่ยเฉิงถึงได้เกรี้ยวโกรธนางขนาดนี้แต่...แต่นางคิดว่า การที่ตนยอมรับผิดด้วย
หลินซวงเอ๋อร์กัดริมฝีปากเอาไว้แน่น อารมณ์ของนางมาถึงจุดที่ใกล้จะแตกสลายแล้ว ราวกับว่าเป็นเชือกที่รัดแน่น เพราะพร้อมที่ขาดได้ทุกเมื่อเมื่อเห็นว่านางยังคงลังเล เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: "พูดมา! เจ้ากำลังลังเลเรื่องอะไรอยู่? ความอดทนของข้าถึงขีดจำกัดแล้วนะ!"“ตึ๊ง~”ในที่สุดเชือกเส้นนั้นก็ขาดน้ำตาไหลทะลักออกมาจากนัยน์ตาของหลินซวงเอ๋อร์ นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า: "ท่านอ๋องได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด"ใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า โกรธมากยิ่งขึ้น มือที่บีบคางของนางก็ขยับไปที่ลำคอของนาง นัยน์ตาสีดำของเขาเย็นชาลง นิ้วมือของเขาก็เริ่มออกแรง และความรู้สึกที่หายใจไม่ออกก็ล้อมรอบนางทันที"ปล่อยเจ้าไป?"จะไปหาฉีหมิงหรือ? คนรักในวัยเด็กที่เป็นเพื่อนเล่นกันโดยไม่ได้คิดอะไร ที่ผูกสมัครรักใครกันคนนั้น?ความรู้สึกหายใจไม่คลืบคลานเข้ามาทีละน้อย หลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆหายใจไม่ออก และเลือดบนใบหน้าของนางก็ค่อยๆจางลง...เมื่อเห็นใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเขาค่อยๆซีดลงทีละน้อย เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วลึก ความรู้สึกแปลกๆในใจทะลักขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก