บทที่ 10 กลับไปกับข้า 2
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อวี้เหวินเทียนหยา กำลังเอ่ยวาจาชักชวนรวี่เยว่ให้กลับไปกับตนอยู่นั้น ยังมีอีกคนที่กำลังร้อนใจไม่แพ้กัน ฮั่วเฮ่อฉีบดกรามดังกรอด ยามได้ยินถ้อยคำของชินอ๋องแห่งตำหนักเทวาอนธการ "เจ้ามารสวรรค์นั่นคิดขโมยรวี่เยว่น้อยของข้าไปต่อหน้าต่อตา อย่าได้ฝันไปหน่อยเลย!!" กล่าวจบกำลังทำท่าจะเหินลงมาจากเฉลียง ทว่าถูกอี้หรงงับหลังเข็มขัดไว้เสียก่อน "อี้หรง ปล่อยข้า! เจ้าจะมาห้ามข้าทำไม เจ้ามารสวรรค์นั่นกำลังจะขโมยรวี่เยว่น้อยของข้าเจ้าไม่เห็นรึ!" ฮั่วเฮ่อฉีดิ้นรนให้พ้นจากการถูกยื้อยุด ทำท่าจะปลดเข็มขัดออก ทว่าถูกเสียงของสหายรักห้ามปราบไว้เสียก่อน "ฝ่าบาท อย่าได้ทำสิ่งใดที่มันบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้เลย ท่านเพิ่งสั่งลูกน้องให้เล่นงานมนุษย์ปางตายแท้ๆ หากสร้างเรื่องแย่งชิงเด็กมนุษย์กับคนของตำหนักเทวาอนธการขึ้นมาอีก ข้าเกรงว่าคนผู้นั้นได้เล่นงานท่านแน่" "กระหม่อมเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านอี้หรงกล่าวมาพะย่ะค่ะ" หัวหน้าองครักษ์ระดับหยวนอิงของฮั่วเฮ่อฉีประสานมือค้อมศีรษะเอ่ยสนับสนุน ฮั่วเฮ่อฉีกำหมัดแน่นใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ยอมหันหลังกลับมานั่งบนเก้าอี้ที่พังไปแถบหนึ่งแต่โดยดี เมื่อเห็นว่าแม่นมของรวี่เยว่ พาร่างเล็กออกไปจากสนามประลองเพื่อกลับบ้าน เขาจึงยอมลุกขึ้นและเตรียมกลับหอโอสถเทพอนันต์เช่นเดียว ทว่าเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา จึงหันไปสั่งลูกน้องให้ซื้อขนมจากร้านดังของเมือง และนำไปมอบให้รวี่เยว่เพื่อเป็นของปลอบขวัญและแสดงความยินดี องครักษ์คนหนึ่งของจอมมารเอาแต่ใจ มายืนดักรอคนที่หน้าประตูใหญ่ทางเข้าสำนักกระบี่จันทรา ครั้นรวี่เยว่และผู้ใหญ่อีกสองคนเห็นว่าเป็นองครักษ์ของฮั่วเฮ่อฉี พวกนางจึงกล่าวทักทายเขานอบน้อม อีกฝ่ายจึงบอกจุดประสงค์ที่ตนมายืนดักรอพวกนาง หนึ่งเค่อต่อมาองครักษ์อีกคนก็หอบกล่องขนมมากมายมาส่งถึงรถม้าของรวี่เยว่ ร่างเล็กมองกล่องขนมตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าไยพี่ชายคนงามถึงต้องทำดีกับนางด้วย หรือว่าแอบใส่ยาเส่นห์ลงไปในขนม เพื่อหลอกล่อพานางกลับไปปล่อยที่ตำหนักอย่างที่เคยกล่าวไว้! ทว่าครั้นนึกถึงความอำมหิตของอีกฝ่าย ที่ส่งลูกน้องไปสั่งสอนเผยหลงอย่างอหังการ โดยไม่สนใจว่าเผยหลงเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองลวี่เฟิง รวี่เยว่พลันขนหัวลุก รีบเปลี่ยนใจกล่าวขอบคุณคนมาส่งขนมเสียงสดใสทันที "ฝากพี่ชายขอบพระทัยองค์ไท่จื่อแทนรวี่เยว่ด้วยนะเจ้าคะ" มีพิษหรือไม่กลับไปนางค่อยขอร้องท่านอาจารย์รองให้ช่วยตรวจสอบพิษให้เอาแล้วกัน ตอนนี้รับขนมไว้ก่อน นางไม่อยากถูกหมายหัวเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อกลับถึงบ้านรวี่เยว่จึงขอตัวไปอาบน้ำ จากนั้นจึงมานั่งเหม่อริมหน้าต่าง จนเสี่ยวหลานและจวี๋จื่อพากันเป็นห่วง "รวี่เยว่ เจ้าเป็นอะไรไป ยังกลัวอยู่หรือ" จวี๋จื่อปีนขึ้นมานั่งบนตักของรวี่เยว่ และเริ่มขยับเท้าของมันนวดขาให้ร่างเล็กเพื่อปลอบใจ "เปล่า ข้าหายกลัวแล้ว เพียงแต่กำลังลังเลอยู่ว่า จะไปตำหนักเทวาอนธการหรือเลือกเป็นศิษย์ของหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ดีน่ะ" คราแรกรวี่เยว่ตั้งใจไว้ว่า จะขอเป็นศิษย์ของสำนักหงสาจันทรา แต่เมื่อได้เห็นอัคคีนิลกาฬของชินอ๋องแห่งตำหนักเทวาอนธการ ทำให้นางเกิดความลังเลขึ้นมา จนมิอาจตัดสินใจในทันที รอปรึกษาท่านอาจารย์เทพทั้งสององค์คืนนี้น่าจะดีกว่า "ข้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ หลายหัวดีกว่าหัวเดียว" เสี่ยวหลานวางดอกไม้ที่เพิ่งไปเก็บมามอบให้รวี่เยว่เป็นกำลังใจ "ยินดีกับชัยชนะในวันนี้ด้วยนะ" "ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากนะที่อยู่เคียงข้างข้าเสมอ" รวี่เยว่ก้มลงจูบหัวของเสี่ยวหลานเบาๆ และอุ้มจวี๋จื่อขึ้นมาจูบพุงไปหลายที "คิกๆๆๆ จั๊กจี้" เสียงจวี๋จื่อร้อง แง้วๆๆ เสี่ยวหลานส่งเสียง จิ๊บๆๆ อยู่ในห้องของเด็กหญิง จวนเจ้าเมืองลวี่เฟิง เผยคังยืนมองบุตรชายคนโตที่บาดเจ็บสาหัสและยังคงสลบไสลไม่ได้สติ จากฝีมือองครักษ์ของฮั่วเฮ่อฉีอย่างแค้นเคือง หมอที่ทำการรักษาเผยหลงสามารถช่วยชีวิตชายหนุ่มไว้ได้ แต่เมื่อถูกถามว่าพอมีหนทางช่วยเหลือให้เผยหลงกลับเป็นปกติอีกครั้งได้หรือไม่ คำตอบที่ได้รับทำให้ชายวัยกลางคนร่างกายซวนเซ "เส้นลมปราณทั่วร่างขาดสะบั้น ตันเถียนแตกสลาย ต่อให้เป็นหมอหลวงของราชวงศ์ก็เกรงว่ามิอาจช่วยได้ขอรับ" 'ไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว นับว่าโชคดีที่องครักษ์ระดับหยวนอิงผู้นั้นแค่สั่งสอนเบาๆ หากไม่ยั้งมือเกรงว่าแม้แต่ศพก็คงไม่เหลือ' หมอชื่อดังประจำเมืองลวี่เฟิงแอบครุ่นคิดในใจขณะที่ก้าวขาออกไปจากห้อง ฮูหยินของเจ้าเมืองหมดสติไปอีกรอบยามได้ถ้อยคำจากปากของหมอ "ท่านแม่! ท่านแม่ขอรับ! ฮืออ เป็นเพราะนังเด็กนั่นคนเดียว พี่ใหญ่ถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้ และหากไม่ใช่เพราะนาง ข้าก็ไม่ต้องอับอายผู้คนเยี่ยงนี้ ฮือออ ท่านพ่อต้องจัดการให้ข้ากับพี่ใหญ่นะขอรับ" เผยหู่ตาแดงก่ำ สะอื้นไห้จากความคับแค้นใจ กล่าวโทษรวี่เยว่ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายทั้งหมดบทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลังจ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ ตอนปลาย/2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืน
บทที่ 14 คำยุยง /1 ในขณะที่รวี่เยว่กำลังเพลิดเพลิน กับการหารายได้เข้ากระเป๋าอยู่ที่ร้านเฟิ่งหนี่ว์ในเมืองเฉินเปี้ยน เฉียนเยียนหรานคู่แค้นของรวี่เยว่ ได้นำเรื่องที่นางลงจากตำหนักแล่นไปฟ้องท่านหญิงเมิ่ง เมิ่งเฟยหลิง หลานสาวขององค์ราชินี ซึ่งแอบมีใจให้อวี้เหวินเทียนหยามาหลายปีแล้ว เมิ่งเฟยหลิงเป็นหญิงงาม กิริยามารยาทอ่อนหวานน่าทะนุถนอม หากแต่มิอาจมัดใจบุรุษเย็นชาอย่างอวี้เหวินเทียนหยาได้เสียที “ท่านหญิงเจ้าคะ รวี่เยว่แอบลงไปจากภูผาอีกแล้วเจ้าค่ะ นางทำแบบนี้ทุกสามเดือน แต่ไม่เห็นว่าท่านอ๋องจะกล่าวตำหนิหรือลงโทษนางเลยสักครั้ง หากเป็นข้าหรือคนอื่นๆทำเช่นเดียวกัน คงโดนสั่งโบยหลังขาดไปแล้ว แบบนี้มันไม่ยุติธรรมนะเจ้าค่ะ ท่านหญิงเห็นด้วยกับข้าหรือไม่” ในดวงตาของเฉียนเยียนหรานเต็มไปด้วยความเกลียดชิงอย่างไม่คิดจะปิดบัง ภาพความทรงจำในวันแรกที่ได้พบคู่แค้นหวนกลับมาอีกครา …ห้าปีก่อน รวี่เยว่ในวัยเก้าหนาวแย้มรอยยิ้มอย่างยินดี เมื่อมองเห็นตำหนักเทวาอนธการตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ร่างเล็กก้าวเท้ามุ่งไปยังจุดหมาย ทว่าเมื่อเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางก่อนถึงประตูใหญ่ ชายหนุ่มชุดดำห้าคนซึ่งคาดว่าน่
บทที่ 14 คำยุยง /2 ด้วยเพราะพลานุภาพอัคคีนิลกาฬในกายของรวี่เยว่ มาจากศิลามหาเทวะธาตุหยินหยาง จึงทรงพลังยิ่งกว่าอัคคีนิลกาฬของผู้ที่มีตบะในระดับเดียวกันไปมากโข ชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนลึกลับที่เกิดขึ้น ร่างสูงแวบหายจากตำหนัก มาปรากฏกายอยู่หน้าประตูใหญ่ในเสี้ยวลมหายใจ ครั้นเห็นว่าเป็นใคร สุ้มเสียงทุ้มต่ำกล่าวถ้อยคำขึ้นอย่างยินดี “รวี่เยว่! เป็นเจ้านั่นเอง ข้าดีใจที่เจ้ายอมรับคำเชิญของข้า” อวี้เหวินเทียนหยาร่อนลงพื้นสาวเท้ามาหาร่างเล็กด้วยท่วงท่างามสง่า “เส้นทางขึ้นภูผาลำบากไม่น้อย แต่เจ้าก็สามารถผ่านขึ้นมาได้โดยปราศจากรอยขีดข่วน นับว่าฝีมือล้ำเลิศจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าววาจาชื่นชมร่างเล็กอย่างอ่อนโยน ก่อนปรายตามองเฉียนเยียนหรานด้วยสายตาคมกริบ ถึงไม่ถามเขาก็พอคาดเดาสถานการณ์ออก คนถูกมองสะดุ้งเฮือก เหงื่อกาฬแตกเต็มเผ่นหลัง รีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาผู้เป็นใหญ่รองจากองค์ราชาของตำหนักเทวาอนธการ “กักบริเวณเฉียนเยียนหรานสามเดือน งดโอสถเสริมพลังทุกชนิดครึ่งปี! ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาลงโทษตามกฎ ความผิดฐานปล่อยให้นายของตน กระทำการหยาบคายกับแขกของข้า!” “ท่านอ๋อง ไม่นะเพ
บทที่ 51/2 คนร้ายตัวจริง ถึงแม้ตัวเลี่ยวโร่เป้ยจะโดดเด่นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไร แต่กลับไม่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ของอาณาจักรหวงซา ด้วยว่ามีมารดาเป็นสตรีจากอาณาจักรอู๋ซาง รวมถึงเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรีจากอนุ เมื่อเป็นเช่นนั้น เลี่ยวเจิงเวยจึงหารือกับสือเซิน วางแผนช่วยเขาพิชิตอาณาจักรอู๋ซาง หากทำสำเร็จเลี่ยวเจิงเวยสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า จะแต่งตั้งเลี่ยวโร่เป้ยขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอู๋ซางคนต่อไป ภายใต้ร่มเงาของอาณาจักรหวงซา เรื่องนี้วั่งเฉาหาได้รับรู้ เขาเข้าใจว่า หากหวงฝู่ฮ่าวอวี่ได้นั่งบัลลังก์ต่อจากพระบิดา สำนักกระบี่สวรรค์จะสนับสนุนวั่งเตี้ยนเถียน ให้ได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างเต็มที่…ทั้งที่ความจริงตนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสือเซิน …อาณาจักรหวงซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมหาพิภพทงเทียนเหอ มีสายแร่หลายชนิดเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาณาจักร ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยภูเขาหินจึงขาดแคลนพื้นทำการเกษตร หลายร้อยปีมานี้มักเข้าโจมตีเมืองติดชายแดนของอาณาจักรอู๋ซางอยู่เนืองๆ จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในเขตนั้นมาเป็นของตน เพิ่งจะมีการทำสัญญาสงบศึกไปเม
บทที่ 51/1 คนร้ายตัวจริง จวนอัครมหาเสนาบดี ภายในโถงรับรองของเรือนส่วนตัว วั่งเฉาเข่าทรุดกระอักเลือด รับแรงกดดันหนักหน่วงจากบุรุษในชุดผ้าไหมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว หวนรำลึกถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่บุรุษผู้นี้เดินทางมาหาเขา พร้อมยื่นข้อเสนออันแสนหอมหวานยั่วยวนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องลงมือทำคือการกำจัดเด็กหญิงซึ่งมีชะตาหงส์ตามคำทำนายของหอพยากรณ์ในปีนั้น เด็กผู้หญิงอายุห้าหนาว ที่เกิดกลางฤดูวสันต์หลายคนถูกกำจัด ไม่ก็ถูกทำให้ไร้ซึ่งพลังธาตุ หากแต่คาดไม่ถึงว่า หนึ่งในนั้นจะรอดพ้นการคุกคามทั้งหมดทั้งมวลมาได้! กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการผู้สูงส่ง แม้แต่พยัคฆ์อนธการยังยอมรับนางเป็นคู่พันธะ! “อาจารย์ หากวั่งเฉาตายจะมีคนสงสัยได้นะขอรับ โปรดยั้งมือด้วยเถิด” เสียงทุ้มของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งกอดกระบี่อยู่บนเก้าอี้ดังขึ้น แรงกดดันหายไปตามคำขอ วั่งเฉาหอบหายใจรีบโกยอากาศเข้าปอดหนักหน่วง นึกว่าตนจะแดดิ้นด้วยมือบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่แรงกดดันยังทำเขากระอักเลือดไปหลายคำจนแทบสิ้นสติ
บทที่ 50/2 ความหวาดหวั่นและยำเกรง บัดนี้ เด็กคนนั้นกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการอันยิ่งใหญ่ สูงส่งห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง เขาเคยปรามาสนางว่าเป็นเพียงแค่ขยะไร้ประโยชน์ ทั้งที่ความจริงนางคืออัจฉริยะ จะมีสักกี่คนบนมหาพิภพทงเทียนเหอ ที่สามารถบรรลุระดับหยวนอิงตั้งแต่อายุสิบห้า!… เขาและมารดาทำลายวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นของตนลงกับมือ! ช่างน่าแค้นใจนัก… แต่หากว่าเขาทวงสิทธิ์ความเป็นบิดาของนาง กลับคืนมาต่อหน้าธารกำนัลในเวลานี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้ผล! ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรง ให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู ต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หวังเหลียงหยัดกายลุกขึ้นก้าวออกมาที่ขอบกั้นอัฒจันทร์ กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกชื่อบุตรี ทว่ากลับถูกพลังลึกลับอันแข็งแกร่ง กระแทกเข้าที่ลำคอจนจุกแน่นก่อนกระอักเลือดออกมา ครั้นเหลือบมองขึ้นไปด้านบน สายตาพลันประสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกต ทรงอำนาจดุดันของพยัคฆ์อนธการ พร้อมถ้อยคำส่งผ่านพลังปราณดังกึกก้องในโสตประสาท “หากไม่อยากสลายเป็นจุณ ก็เลิกคิดตอแยกับรวี่เยว่ซะ เพราะข้าหาใช่ผู้มีจิตใจเมตตา จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” ร่างอรช
บทที่ 50/1 ความหวาดหวั่นและยำเกรง สุ้มเสียงแว่วหวาน เอื้อนเอ่ยแสดงความเคารพฮ่องเต้ของแคว้นอู๋ซางอย่างนอบน้อม วรกายสูงสง่าของโอรสสวรรค์ หยัดขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ก้าวมาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบา “ธิดาเทพ ยินดีที่ได้พบ” เขากล่าวรับคำทักทายของนาง ก่อนเอ่ยวาจาต่อจากนั้น “คล้ายมาก ช่างคล้ายมากจริงๆ ต้าอ๋อง ท่านเองก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของตน ผู้เป็นอ๋องปกครองแดนทักษิณ ต้าอ๋องหรือ หวงฝู่เจิ้งหยาง บุตรชายของต้าอ๋องผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของหวงฝู่ฮุ่ยหมิ่น “คล้ายอาลี่มากพะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพระองค์” ต้าอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่งก้าวมาสมทบกับฮ่องเต้ “ธิดาเทพ ข้าคงต้องขอละลาบละล้วงถามท่านซักคำถาม ไม่ทราบว่าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า มารดาของท่านมีนามว่าอะไรหรือ” ต้าอ๋องเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน “เรียนต้าอ๋อง มารดาของหม่อมฉันมีนามว่า เยว่หนิงลี่เพคะ” คำตอบของนางสร้างความตื่นตะลึงอีกครั้งให้ใครหลายๆคนในสนามประลอง บุตรีรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่! นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวตรงหน้าคือเด
บทที่ 49/2 วันเปิดงาน ฮั่วเฮ่อฉีเองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับพี่น้อง และศิษย์จากตำหนักเทพอนันต์ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวมาพบรวี่เยว่ ชายหนุ่มถูกผู้อาวุโสขอให้ช่วยหลอมยา ให้บรรดาน้องๆ และศิษย์ตัวแทน จนตัวเขาแทบหมดเรี่ยวแรงทุกวี่วัน อี้หรงได้แต่มองคู่พันธะอย่างเห็นใจ ‘ใครใช้ให้ท่านอยากเป็นนักปรุงโอสถระดับเก้า ตั้งแต่อายุเท่านี้กันล่ะ ก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถอะ ข้าเอาใจช่วย‘ สรุปว่าการเอาใจช่วยของอี้หรง ซึ่งหากฟังดีๆ จะคล้ายว่ากำลังสมน้ำหน้าเขา ทำให้มันโดนฮั่วเฮ่อฉีกัดหูไปหนึ่งทีจนน้ำตาร่วง… จากฤดคิมหันต์ย่างเข้าต้นฤดูสารท อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวผันเปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่นอีกครั้ง เวลาแห่งการประลองอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอู๋ซางได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้าเมืองเทียนหวงเพื่อร่วมแข่งขัน หรือร่วมเป็นสักขีพยานในศึกของนักพรตรุ่นเยาว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจ สนามประลองหลักที่ใช้ทำพิธีเปิดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสองหมื่นคน ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบัง สายลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ ราวกับดนตรีที่เล่นโดยธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
บทที่ 49/1 วันเปิดงานประลอง สิบห้าวันต่อมา ตัวแทนจากตำหนักเทวาอนธการได้เดินมาถึง โดยมีผู้อาวุโสหนึ่งและสอง นำศิษย์มากฝีมือซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปด จำนวนทั้งหมดหกคนที่จะเข้าร่วมการประลอง เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนองค์ไท่จื่ออย่างองค์ชายใหญ่ และองค์หญิงรองมิได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพียงแค่มาร่วมชมความสนุกเฉยๆ ฮ่องเต้ทราบข่าวจากชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยา จึงมอบตำหนักรับรองริมทะเลสาบให้เป็นที่พักสำหรับคนจากตำหนักเทวาอนธการ ส่วนคนจากตำหนักเทพอนันต์ มีตำหนักใกล้ภูเขาทางทิศเหนือเป็นที่พักประจำอยู่แล้ว อวี้เหวินเทียนหยาและรวี่เยว่ไปรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ช่วงสาย ครั้นพอได้เวลามวลอากาศบนท้องฟ้าเหนือตำหนักก็แยกออกเป็นช่องกว้างขนาดใหญ่ คณะเดินทางทั้งหมดจากตำหนักเทวาอนธการก็ทยอยกันออกมา ทันทีที่อวี้เหวินอิงเอ๋อร์เห็นหน้ารวี่เยว่ นางก็ขี่กระบี่พุ่งตรงมาหา ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจดจ้องธิดาเทพผู้เป็นสหายรักด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ “รวี่เยว่ คนใจร้าย ท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าเหงามากเลยรู้ไหม ฮึก ไม่มีใครเล่นสนุกกับข้าเลย ทุกคนเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชา…ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าต่อไป
บทที่ 48/2 ความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ ทั้งหวังเหลียงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างอ้อนวอนหญิงสาว ขอให้นางเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไป เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือครอบครัวของนาง รวี่เยว่หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกล่าววาจาตอบโต้จนคนฟังหน้าชา “ฮ่าๆๆ ให้ข้าเห็นกับความเป็นพ่อลูกอย่างนั้นรึ! ช่างพูดออกมาได้ไม่อายปาก หากไม่ตกที่นั่งลำบากคงยังมองว่าข้าเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์อยู่สิท่า หึ! หน้าหนาไร้ยางอาย ข้าหาใช่บุตรหลานของพวกท่านนานแล้ว จำมิได้รึ?! เสมียนหวัง ท่านยังจำได้หรือไม่ หลังจากท่านส่งหนังสือตัดขาดไปให้ข้าเมื่อหกปีก่อน ท่านก็หยุดส่งเสียข้า ไม่สนใจว่าข้าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีข้าวกิน โชคดีที่เจ้าของบ้านเช่าหลังนั้นเวทนาข้า แม่นมชุน และพี่ชุนอิ่ง ถึงได้ยอมให้พวกข้าอยู่โดยไม่เก็บเงินค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน! ไฉนตอนนั้นพวกท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนในครอบครัวบ้างเล่า ทั้งๆ ที่เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินของมารดาข้าแท้ๆ! ข้าให้เวลาพวกท่านเก็บของหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ายามเฉิน (07:00-08:59) พวกท่านทุกคนต้องย้ายออกไปจากที่นี่! หากไม่ยอมไปข้าจะไปแจ้งทาง
บทที่ 48/1 ความเปลี่ยนแปลง หวังเหลียงกระดกจอกสุราเข้าปากจนหมด ก่อนหันมามองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านแม่จะถามข้าทำไมขอรับ ในเมื่อท่านบอกเองว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” “อาเหลียง นี่มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาประชดประชันข้าไหม ลองตรองดูให้ดี บางทีเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการที่เจ้ามาถามข้าเรื่องพิษ ต่อมาลุงของเจ้าก็หายตัว จากนั้นพลังของเจ้าก็…เฮ้อออ “ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวในท้ายประโยคและเริ่มกล่าวต่อ “เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรอกรึ แต่ที่ข้ามาถามเจ้า เป็นเพราะวันนี้ทั้งเสียนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ จู่ๆ ก็ไข้ขึ้นสูงอย่างไม่มีสาเหตุ หมอกี่คนมาตรวจต่างบอกว่าเป็นไข้ไม่ได้ถูกพิษ อาการเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด” คำพูดของหญิงชรามีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากนำมาเชื่อมโยงกันให้ดีๆ ก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัย ทว่าในเอกสารที่เขาเคยอ่านผ่านตา ระบุไว้ชัดเจนเรื่องพิษเพลิงอสูรสดับปราณ ว่าจะออกฤทธิ์ได้ดีกับเด็กเล็กเท่านั้น ทั้งไม่เคยปรากฏในบันทึกไว้ว่าพิษนี้มีผลกับผู้ใหญ่ แต่หากตัวเขาถูกพิษชนิดนี้จริง นั่นก็หมายความว่า ต้องมีนักปรุงโอสถระดับสูง ที่สามารถปรุงพิษเพลิงอสูร
บทที่ 47/2 สองตำหนักเปิดใจ ครั้งนี้ฮั่วเฮ่อฉีดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หากองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมีความสามารถพิเศษนี้จริง นั่นก็หมายความว่ารวี่เยว่คือองค์หญิงของตำหนักเทวาอนธการ และอวี้เหวินเทียนหยาก็คือพระปิตุลาของนาง! มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า สวรรค์เล่นตลกกับเขา! รอยยิ้มงดงามเจิดจ้าราวแสงตะวันยามเช้า ที่ส่งไปถึงดวงตาของฮั่วเฮ่อฉีผุดพรายเต็มดวงหน้า มือใหญ่ยกมากุมต้นแขนทั้งสองข้างของอวี้เหวินเทียนหยาพร้อมเขย่าเบาๆ “หลานเขยคงต้องขอฝากตัวกับท่านแล้ว พระปิตุลาของรวี่เยว่” เขาลอยหน้าลอยตาเอ่ยวาจาฝากฝังตัวเองกับอีกฝ่ายแบบเนียนๆ อวี้เหวินเทียนหยาคิ้วกระตุก ก้าวถอยหลังให้หลุดจากการเกาะกุมของฮั่วเฮ่อฉี ก่อนเอ่ยวาจาน้ำเสียงเนิบนาบระคนหมั่นไส้อย่างอดไม่อยู่ “หึ! อย่าเพิ่งหลงระเริงนัก ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านผ่านการทดสอบแล้วเสียหน่อย เรื่องนี้คงต้องดูกันอีกนาน และที่สำคัญเสด็จพี่ของข้าฝากมาบอกท่านว่า” “ธิดาของข้าจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวในชีวิตของสามีนาง หากบุรุษผู้นั้นทำไม่ได้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เพราะข้าจะไม่มีวันยกนางให้เด็ดขาด!” อวี้เหวินเทียนหยาถ่ายทอดวาจาของ