“นานเท่าไรแล้ว” “ตั้งแต่ข้าอายุสิบหก” เรื่องนี้หากเล่าย้อนไปเขาก็คิดถึงเหตุผลหนึ่งขึ้นมา แต่กลับไม่อยากกล่าวถึงเท่าไรนัก ในปีนั้นครอบครัวของเขายังอยู่กันพร้อมหน้า บิดา แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดา ทุกอย่างสำหรับเขาราบรื่นไร้สิ่งกวนใจ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดล้มป่วยขึ้นมา ไม่สบายหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อกลับมามีสติอีกครั้งถึงได้พบว่าขาของตนเองใช้การไม่ได้เสียแล้ว ชีวิตคล้ายดิ่งลงเหวลึก ทั้งหวาดกลัวและไม่เชื่อว่าเป็นความจริง ช่วงนั้นเขาเอาแต่ใจมากนัก ทั้งโวยวายและหงุดหงิดใส่ทุกคน กว่าจะกลับมามีท่าทางสงบเสงี่ยมได้แบบทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก่อนหน้าที่เขาจะเลิกเอาแต่ใจบิดาก็มาด่วนจากไป เขาเลยต้องรับช่วงต่อ ดูแลกิจการ ดูแลจวน ทั้งต้องดูแลครอบครัว หากตอนนั้นมีกู่ซิงอีคอยช่วยอย่างทุกวันนี้คงดีไม่น้อย หลังจากที่บิดาจากไปได้ไม่นาน แม่เลี้ยงและน้องชายก็เกิดอุบัติเหตุรถม้าตกเขาเสียชีวิตไป เขาจึงอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปีแล้ว เหตุผลที่เขาไม่อยากเล่าก็คือขาของตนอาจเกิดจากแม่เลี้ยงที่เขารักและเคารพเหมือนมารดาแท้ ๆ เป็นคนวางยา เพราะไม่อยากให้ใครล่วงรู้เวลาท่านหมอ
วันเวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก ไม่นานฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ก็เริ่มต้นมาได้ครึ่งทางแล้ว วันนี้กู่ซิงอีไม่มีงานที่ต้องสะสางจึงถือเป็นวันหยุดพักผ่อน ช่วงเช้าเขายังคงมาที่จวนตระกูลว่านเหมือนเคย แต่ครึ่งวันหลังกลับขอตัวจากไปก่อน ว่านฟู่เฉิงรู้สึกผิดสังเกตและรู้สึกตะขิดตะขวงในใจ ทว่าก็ไม่อาจรั้งจะตามกู่ซิงอีไปได้ วันนี้ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวงเขาไม่มีข้ออ้างไปเที่ยวเล่นที่บ้านกู่ซิงอีอย่างที่ทำมาเป็นประจำ ยามนี้จึงได้แต่มองกู่ซิงอียกมือโบกไปมาแล้วหายออกไปจนสุดสายตา ในช่วงบ่ายหลังจากกู่ซิงอีจากไปได้ไม่นานตัวเขาก็ได้รับเทียบเชิญจากเถ้าแก่หลิวให้ไปพบปะสังสรรค์กัน ด้วยความที่ปฏิเสธอีกฝ่ายมาหลายรอบแล้วดังนั้นวันนี้จึงคิดจะไปสักครั้ง อีกอย่างสถานที่ที่เถ้าแก่หลิวเชิญไปก็เป็นหอรื่นรมย์ไม่ใช่หอเริงรมย์เขาจึงตอบรับกลับไป ไหนเลยจะคิดว่าพอก้าวเข้ามาที่สวนด้านหลังของหอรื่นรมย์เพราะไม่อยากเจอผู้คนด้านหน้ากลับพบใครบางคนที่คุ้นตาเข้าพอดี “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณชายกู่ออกมาจากหอรื่นรมย์เสียได้” ยิ่งได้รู้มาจากหลี่เซียวก่อนเข้ามาว่าหอรื่นรมย์แห่งนี้เน้นเรื่องอย่างว่าเป็นส่วนใหญ่ไม่ต่างจาก
ว่านฟู่เฉิงกลับไม่รับไป เพียงยื่นหน้ามากัดลงไปครึ่งลูกเท่านั้น สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความหวาน ต่อมาเป็นเสียงแตกหักของน้ำตาล ก่อนจะตามมาด้วยรสเปรี้ยวของผลซานจา เขาไม่ชินกับรสชาติแบบนี้เลยสักนิด พอเคี้ยวไปได้สักพักก็คิดว่าไม่ได้แย่เท่าไรแต่ก็รู้สึกว่าตนก็ไม่ได้ชอบกินจริง ๆ นั่นแหละ แถมยังรู้สึกว่ามันน่าหนวกหูด้วย ทว่าพอได้เงยหน้าขึ้นสบตากับคนข้างกายแล้วกลับรู้สึกอยากเห็นกู่ซิงอีกัดถังหูลู่แบบวันนั้นขึ้นมามากกว่าเดิม ต่อให้จะหนวกหูแต่ก็ยินดีที่จะฟัง และคงมีแค่ว่านฟู่เฉิงเท่านั้นที่รู้ว่าตนไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรกแต่จงใจทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร “ที่เหลือยกให้เจ้า” “คุณชายคงไม่ชอบจริง ๆ” กู่ซิงอีพึมพำไม่ได้คิดมากถึงระยะห่างของทั้งสองคน และคิดว่าว่านฟู่เฉิงเพียงแค่อยากลองกินดูสักครั้ง พอลองแล้วก็คงไม่ชอบถึงได้ยกให้ตนทั้งหมด ว่านฟู่เฉิงพอได้ยินเสียงก๊อบแก๊บข้างหูก็หันไปมองดูคล้ายไม่จงใจ เป็นจังหวะที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อนราวดอกท้อของกู่ซิงอีกำลังครอบถังหูลู่ลูกที่เขากัดไว้ครึ่งหนึ่งเข้าไปในปากตนเองพอดี คนมองพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จิตใจปั่นป่วนขึ้นมา ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่มีรสหวานผสมเปรี
ว่านฟู่เฉิงหันมองคนข้างกายทันที คล้ายฟังผิดไป มือกำเชือกจูงเสี่ยวลู่แน่นขึ้นอีกนิด “ซื้อให้ข้าหรือ” เขานึกว่าเสียงตัวเองจะไม่ออกมาจากลำคอเสียแล้ว ในอกรู้สึกแน่นตื้อไปหมด แต่กลับเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก “อืม” กล่าวถึงตรงนี้ก็นึกหัวเราะเยาะตนเองในใจ ว่านฟู่เฉิงเป็นใครกัน เขาเป็นใครกัน ไยต้องมอบสิ่งที่ผู้อื่นมีมากจนแทบไม่ต้องการแล้วให้อีกด้วย เป็นการกระทำที่ไม่คิดหน้าคิดหลังเสียจริง ทว่าในตอนนั้นแขนกลับถูกมือเรียวยาวของคนข้างกายจับไว้พอดีเขารีบหันไปมอง “คุณชายว่านไม่สบายตรงไหน...” “เรากลับไปเลือกกันเถอะ” ว่านฟู่เฉิงไม่รอให้กู่ซิงอีพูดจบประโยค ขยับเสื้อคลุมตัวนอกออกให้กู่ซิงอีดูที่เอวของเขา “ข้าไม่มีหยกห้อยพอดี เดี๋ยวข้าซื้ออีกชิ้นแลกกันกับเจ้าดีหรือไม่” กู่ซิงอีก้มมองด้วยความสงสัย เมื่อเช้าก็เห็นห้อยอยู่ไม่ใช่หรือไร หรือเพราะเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่ไปตอนเย็นเลยลืมใส่คืน แต่จะมาบอกว่าไม่มีก็ไม่น่าจะใช้คำนี้ได้นะ ว่านฟู่เฉิงที่ถูกจ้องมองตรงเอวก็ลอบกลืนน้ำลายเม้มปากเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่า เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ของกู่ซิงอีก็กลัวจะโดนจับได้ว่าเขาเพิ่ง
กู่ซิงอีไม่ได้รู้เรื่องราวอันใด ยังคงดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงามเบื้องหน้า หลายปีก่อนเขาเคยมากับเซี่ยลู่หลินอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ต่อมาก็มีเพียงเขาที่เดินทางมาถนนเส้นนี้เพียงลำพังพร้อมกับสุราในน้ำเต้าหนึ่งใบ ร่ำสุราไปตลอดทางสัมผัสกับสรรพสิ่งรอบกายเพียงลำพัง เขายกมือขึ้นรับสายลมรอกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านมา ครั้นได้มาในจำนวนหนึ่งและลองสัมผัสดูก็พบว่ามันนุ่มมากเหลือเกิน จับไปแทบไม่รู้สึกอะไร ทว่าผิวสัมผัสกับสีของมันทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมา กู่ซิงอีหันมองข้างกายก็ได้พบคนที่ตนคิดว่าเหมือนกลีบดอกไม้ในมือกำลังจ้องตนเองอยู่ก่อนแล้ว หลายปีก่อนได้เชยชมดอกไม้เหล่านี้เพียงลำพังก็ไม่ได้รู้สึกเหงาเท่าไร แต่พอมีว่านฟู่เฉิงมาด้วยกันเช่นนี้พลันตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาตนเองโดดเดี่ยวเพียงไร และอาจเพราะมีคนข้างกายอยู่ด้วยกู่ซิงอีจึงเผลอยิ้มด้วยความสบายใจออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นในใจ คราแรกว่านฟู่เฉิงทำได้เพียงมองใบหน้าด้านข้างของกู่ซิงอีเท่านั้น แต่พอเจ้าตัวหันมามองเขาบัดนี้ถึงเพิ่งสามารถยลโฉมอีกฝ่ายได้เต็มสายตา รอยยิ้มที่งดงามส่งมอบมาให้ แววตาที่เจิดจ้ากว่าดวงตะวันและจันทร
แต่เพราะข้าวทุ่งใหม่ยังไม่ทันได้เริ่มเก็บเกี่ยว พวกเขาจึงได้ข้าวของรอบที่แล้วมาแทน แต่กู่ซิงอีก็บอกว่าใช้ได้เหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไรตามมาทีหลัง แถมคืนวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี ทุกอย่างช่างพอเหมาะพอเจาะ กู่ซิงอีที่กังวลมาสักพักว่าข้าวจะมาส่งไม่ทันก็กลับมาร่าเริงสดใสได้เหมือนเดิม ตัวว่านฟู่เฉิงคิดแค่อยากจะเอาใจเสี่ยวอีของตนเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงกำไรหรือกลัวจะขาดทุนอย่างหาได้ยาก เขาไม่ชอบเห็นกู่ซิงอีมีสีหน้าเศร้าสร้อยและไม่อยากให้กู่ซิงอีต้องมีความกังวลใจ ทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเช่นนั้นเขาก็จะรู้สึกปวดแน่นในอกตลอด ดังนั้นเขาจึงใช้เงินแก้ปัญหา เสนอกว้านซื้อข้าวสาลีและข้าวเหนียวจากชาวนาแถบนั้นจนหมด แถมยังลามไปยันหมู่บ้านข้าง ๆ กันอีกสามสี่แห่งด้วยเพื่อให้กู่ซิงอีมีข้าวหมักสุราไปตลอดปี เจ้าตัวจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้อีก และยิ่งพอนึกถึงกู่ซิงอีที่มองมายังเขาอย่างกับเทพเซียนบนสวรรค์ลงมาโปรดโลกมนุษย์ ตัวเขาก็มือใหญ่ใจใหญ่ ซื้อข้าวที่ใช้สำหรับหุงกินทั่วไปซึ่งกู่ซิงอีไม่ได้ใช้หมักสุรามาทั้งหมดอีกด้วย! เถ้าแก่เฟิงที่มาหาเขาก่อนออกเดินทางพอไ
“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณคุณชาย!” เถ้าแก่เฟิงจะมาขอคำชมแต่กลับได้เงินจำนวนหนึ่งกลับไปแทน อย่างนี้ก็เท่ากับคำชมแล้วไม่ใช่หรือไรแถมได้เงินอีกด้วย ดียิ่งนัก ๆ เฟิงถังจึงตอบรับด้วยความอารมณ์ดี ลืมเรื่องที่กำลังจะพูดไปเสียสนิท “ข้าจะรีบนำบัญชีส่งตามมาทันทีขอรับ” ทำงานกับคุณชายนอกจากจะได้เงินค่าแรงที่เหมาะสมแล้ว เวลามีผลกำไรเกินที่คุณชายกำหนดทุกสิ้นปีก็จะได้เงินตอบแทนมาด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ไม่คิดว่ารอบนี้ที่ทำกำไรให้ได้ถึงสามเท่าก็ยังจะได้เงินตอบแทนกลับมาเพิ่มอีกด้วย! “อืม” กู่ซิงอีรีบนำตั๋วเงินกลับไปนั่งนับที่โต๊ะทำงานของตนเองซึ่งอยู่ทางขวามือของว่านฟู่เฉิง ส่วนเถ้าแก่เฟิงพอมอบตั๋วเงินที่ตนเองเพิ่งช่วยเก็บขึ้นมาไปให้เด็กหนุ่มแล้วก็ตามหลี่เซียวไปพักอีกห้องแทน ระหว่างทางก็ถามถึงชื่อของเด็กหนุ่มในห้องทำงานของคุณชายกับหลี่เซียว จึงได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ไม่นานนักกู่ซิงอีก็นำเงินที่แบ่งย่อยเพื่อสะดวกในการแจกจ่ายมามอบให้จำนวนหนึ่งแถมนำเงินที่ว่านั้นใส่ลงไปในถุงผ้าไหมราคาแพงอย่างไม่นึกเสียดาย เถ้าแก่เฟิงเห็นแล้วก็แปลกใจเล็กน้อย และหลังจากได้มีสมาธิอยู่กับตนเองก็นึกถึงเ
ส่วนหลี่เซียวเป็นงานสุด อยู่เป็นก็ต้องหนีเป็นเช่นกัน แจ้งข่าวได้แล้วก็รีบถอยออกไปอย่างแนบเนียน แถมยังปิดประตูลงเงียบเชียบ เดินหายออกจากบริเวณหน้าห้องไปไกลภายในชั่วอึดใจ แถมยังทำไม้ทำมือไล่บ่าวที่อยู่บริเวณใกล้เคียงให้ออกไปทำงานที่อื่นก่อนตลอดทาง “คุณชายว่านมีสิ่งใดเชิญกล่าว” กู่ซิงอีมีท่าทีระแวดระวัง ไม่บ่อยนักที่จะถูกอีกฝ่ายเรียกเสียงดังขนาดนี้ทั้งที่นั่งห่างกันเพียงสามก้าว ว่านฟู่เฉิงขมวดคิ้วมุ่น หากบีบอะไรไว้ในมือตอนนี้คงได้แหลกเป็นผุยผงไปแล้ว กระนั้นยามเอ่ยออกไปก็พยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคงที่สุด ถึงแม้จะฟังดูเหมือนเขากัดฟันพูดอยู่บ้างก็ตาม แต่นั่นก็คือเขาพยายามระงับอารมณ์มากที่สุดแล้วจริง ๆ “พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องออกไปเที่ยวแล้ว อยู่ช่วยงานข้าก่อนเถิด” “แต่งานเทศกาลนานทีปีหนจะมี” กู่ซิงอีตอบเสียงเบา ไม่เข้าใจเท่าไรนัก “ไม่ให้ไปก็คือไม่ให้ไป” ว่านฟู่เฉิงเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร แล้วครั้งนี้ไหนเลยจะยอมอ่อนข้อให้ เรื่องอื่นเขาอาจยอมให้ได้แต่เรื่องนี้ไม่มีทาง “ข้าจะไป!” กู่ซิงอีไม่ได้อยากไปมากนักหรอก เพียงแค่ไม่ได้ไปเที่ยวมานานแล้วเท่านั้นเอง แต่อีกฝ่ายที่มีค
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่
แล้วนางไหนเลยจะคาดเดาอนาคตได้ ตนย้ายไปอยู่ตระกูลเซี่ยเพียงไม่นานยังไม่มีโอกาสได้มาพบคุณชายว่านเลยสักครั้ง คุณชายผู้นี้ก็ตบแต่งภรรยาเสียแล้ว แต่นางยินยอม ยินยอมเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาก็ได้ การค้าของตระกูลว่านเติบโตในชั่วข้ามคืนแค่ไหน ใครในเมืองจางไม่รู้บ้างเล่า ดังนั้นทุกวันนางจึงตั้งตารอคอยมาโดยตลอด กาลก่อนแม้คุณชายว่านจะนั่งเก้าอี้รถเข็นแต่อย่างไรก็ยังรูปงามมากนัก บัดนี้พอเดินเหินได้ปกติด้วยใบหน้าสง่างามเป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนลงมาเดินบนดิน พอได้พบเห็นคนที่ตนคะนึงหาอีกคราก็พาให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “คุณชายว่าน...” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน “...เจ้ามาทำไม” ว่านฟู่เฉิงกลับไม่สบอารมณ์ทันทีที่ได้เจอนาง นึกรังเกียจสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นกู่ซิงอีมองเขาด้วยสายตาแบบนี้เจ้าตัวคงไม่อาจหนีรอดเขาไปได้ แต่พอเป็นสตรีตรงหน้าส่งสายตาเฉกเช่นนี้มาให้เขากลับรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ถึงขั้นดึงหลี่เซียวมาบังตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง “คุณชายว่านถามเช่นนี้ ข้าเสียใจยิ่งนัก” ฉีหย่าตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เดินก้าว
วันนี้หลี่เซียวรอจังหวะที่ว่านฟู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีโอกาสเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง “คุณชาย ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาคุณชายเห็นรายงานร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาในถนนสายฝนแล้วหรือยังขอรับ” “มีงานเทศกาลหรือ ?” ช่วงนี้งานปกติที่เขาเคยทำล้วนส่งมอบให้ฮูหยินของตนเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเองไปมองหาลู่ทางการขยายกิจการแทน ขณะนี้เองก็กำลังดูเครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นอื่นด้วยความตั้งใจ พอถูกถามจึงไม่ได้ทันคิดถึงว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร มีงานอะไรสำคัญหรือไม่ เพราะนอกจากจะนับวันรอที่จะได้หยุดเพื่อออกไปชมต้นไม้ใบหญ้าลำธารกับคนของใจแล้ว วันเวลาอย่างอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ที่ถามออกไปได้อย่างแม่นยำและถูกถึงเก้าส่วนก็เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ เนื่องจากถนนสายฝนเป็นหนึ่งในกิจการร้านค้าที่เขามีมากที่สุดในเมืองจาง หากมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก็หมายถึงมีการแบ่งพื้นที่หน้าร้านแต่เดิมจากหนึ่งเป็นสองร้าน หรือก็คืออาจมีงานเทศกาลยามค่ำคืนร่วมด้วย แถมบางครั้งยังเป็นตระกูลว่านที่ต้องออกหน้ารับจัดงานด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาย่อมมีผู้ดูแลแทนอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจที่หลี่เซี
ใกล้เข้าเหมันตฤดูแล้ว ว่านฟู่เฉิงยืนกอดอกมองคนขนของเข้ามาในจวน เขาสั่งไหมาเยอะมาก เอามาทุกขนาดที่หาได้ หากคำนวณผ่านตาคร่าว ๆ ตั้งแต่ครึ่งก้านธูปที่แล้วไหที่ถูกขนเข้าไปก็ปาไปหลายร้อยใบแล้ว กู่ซิงอีที่เดินหาวหวอดออกมาก็มองตามกลุ่มคนมากมายซึ่งกำลังพากันขนไหเข้าไปด้านหลังจวน “ท่านสั่งไหมาทำไมเยอะแยะ” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงคนรักของตนก็เอ่ยถามออกไป “ไว้ให้เจ้าหมักสุรา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแย้มยิ้ม ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจนถึงตนเอง ว่านฟู่เฉิงก็ก้าวยาว ๆ เดินไปหยุดยืนข้างกายดวงใจของตนแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองมาทางนี้จึงขยับหอมแก้มกู่ซิงอีด้วยความรวดเร็วไปหนึ่งที กู่ซิงอีตกใจจนตัวแข็ง รีบหันมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งใจ แต่อดที่จะมองค้อนเขาไปทีหนึ่งมิได้ “เหอะ ท่านยังคิดจะใช้ข้าทำงานอีก ! ข้าตกถังข้าวสารแล้ว ไหนเลยจะไปทำงานให้เหนื่อย” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้เสียใจหรือน้อยใจกลับยกยิ้มมองกู่ซิงอีและพูดเสริมว่า “ข้าสั่งทำห้องหมักสุราโดยเฉพาะไว้ให้เจ้าแล้วไม่ต้องรวมกับครัวของจวนแบบครั้งก่อนอีก และทั้งข้าว ไห เชือก ผ้ากรองก็มีให้ใช้ไม