...ทว่าการกระทำ คำพูด และรอยยิ้มที่ผ่านมาดูอย่างไรคนบ้าผู้นี้ก็ไม่ได้ใจคอโหดร้ายขนาดนั้น ว่านฟู่เฉิงสูดหายใจเข้าลึก ทำอารมณ์ให้มั่นคง อย่างมากก็แค่ลักพาตัวเขาไปหลายวันสักหน่อย คงไม่ถึงกับฆ่าแกงกัน “อีกไม่นานอาเซียวคงออกตามหาข้าพบ” เขากล่าวเสริม กู่ซิงอีโน้มตัวไปด้านหน้ากล่าวเสียงเบา “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย”“ กู่ซิงอี หยุด! กู่ซิงอีเจ้าจะพาข้ามาปล่อยในป่ารึ!” ว่านฟู่เฉิงอยากเอามือหยุดล้อรอเข็นไว้นักแต่เพราะอีกฝ่ายกำลังเข็นรถเขาอยู่ หากเอามือไปกันไว้ก็เกรงว่ารังแต่จะได้รับบาดเจ็บมากกว่า จึงทำได้เพียงเอี้ยวตัวหันไปเอาสันของพัดฟาดไปที่อกของคนด้านหลังหลายที “เจ้าโจรถ่อย!” “ต่อให้ข้าทำไม่ถูกที่ขโมยตัวท่านมาแต่ไหนเลยจะชั่วช้าถึงเพียงนั้น” กู่ซิงอีเพิ่งจะเคยโดนว่านฟู่เฉิงด่าทอเป็นครั้งแรก ปกติคุณชายท่านนี้พูดน้อยยิ่งนัก และถึงจะชอบพูดไม่รักษาน้ำใจอยู่เป็นประจำแต่ก็ไม่เคยออกปากด่าทอกันเลยสักครั้ง แต่พอได้ยินคำด่าจากเขากู่ซิงอีก็หัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น มีแรงเข็นอีกฝ่ายมากกว่าเดิม ไม่สนว่าจะถูกพัดตีมากเท่าไร และถ้านึกให้ดีอีกรอบนี่เป็นครั้งแ
“ไม่เป็นไร” ว่านฟู่เฉิงกัดฟันตอบ ก่อนจะกล่าวเสริมอีกว่า “เจ็บหลังนิดหน่อย เจ้าอย่าเพิ่งขยับ” มือที่กำไหล่ของกู่ซิงอีพลันบีบแน่นขึ้น แถมลมหายใจก็ร้อนขึ้นมากกว่าปกติ “...” กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่น เจ็บหลังได้อย่างไร ตัวเขาเป็นคนที่หลังกระแทกไม่ใช่หรือ แต่ด้วยเพราะตนมีความผิดติดตัวจึงไม่อาจซักไซ้ให้มากความ เลยนอนนิ่งอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ดวงตาทอดมองท้องฟ้าที่มีหมู่เมฆสีขาวล่องลอยผ่านไป ใจของเขาสงบขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าคนบนตัวไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าที่เดาไว้ในคราแรก มือขยับเปลี่ยนมาลูบหลังให้แผ่วเบาแทนโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง ในตอนนั้นก็ได้ยินคนบนตัวกล่าวขึ้นมา และตอนที่คุณชายว่านพูด หน้าท้องของทั้งคู่ที่ชนกันอยู่ก็รู้สึกถึงความสั่นไหวเล็กน้อยด้วย แถมไอร้อนจากลมหายใจของคุณชายว่านที่พัดผ่านต้นคอของเขาก็พาให้จั๊กจี้ไม่ใช่น้อย “อย่าลูบหลังข้า!” ว่านฟู่เฉิงกัดฟันแน่นกล่าวออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ มือก็กำเสื้อของกู่ซิงอีแน่นกว่าเดิม พยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ คิดว่าคงอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แน่ “เจ็บมากหรือ” กู่ซิงอีกลับถามด้วยความเป็นห่วง ไม่คาดว่าว่านฟู่เฉิงจะเจ็บหลังจริง ๆ เขาจึงค่
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตัวเขาเกิดความรู้สึกสับสน ทั้งอยากผลักกู่ซิงอีที่อุ้มตนอยู่ออกไป ทั้งอยากทุบตีกู่ซิงอีที่ปล้นชิงตัวเขามา แต่มือที่คล้องคออีกฝ่ายไว้กลับกำอาภรณ์ของคนตัวเล็กกว่าไว้แน่นมือ ทางเดินข้างหน้าไม่ไกล แต่คล้ายว่าคนเดินกลับเชื่องช้าลงมากนัก ว่านฟู่เฉิงจึงตกไปในห้วงความคิดของตนเองอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งสามารถตระหนักได้แล้วว่าตนแปลกไปเพราะเหตุใด ทว่าเขาก็พยายามฝังมันไว้ลึกในใจ ...ทั้งคู่เป็นบุรุษ เขาเองก็ไม่ได้ชอบบุรุษ เพียงแค่ไม่เคยมีใครมาทำดีด้วยแบบนี้ เอ่อ...หากนับรวมเรื่องอื่นที่เจ้าโจรถ่อยผู้นี้ลงมือกระทำไปแล้วก็เหมือนว่าไม่ดีเท่าไรนักก็ตาม แต่หากไตร่ตรองดูแล้วในความหงุดหงิดที่ก่อตัวมาตลอดจากการกระทำของกู่ซิงอีก็มีความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกผสมรวมอยู่ในนั้นด้วย พักหลังคนผู้นี้ก็ไม่ใช่จอมเสเพลในสายตาของเขาเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว เป็นคนที่ใช้ได้อยู่บ้าง ดังนั้นว่านฟู่เฉิงจึงอยากลองพิสูจน์อะไรบางอย่างดู และอีกเหตุผลหนึ่งก็กำลังคิดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้องหรือไม่ กู่ซิงอีอาจจะเป็นคนที่สามารถช่วยงานเขาอยู่ข้างกายได้จริง ๆ “คุณชายว่าน มือได้รับบาดเจ็บหรือไม
ในระหว่างที่กู่ซิงอีล้างจานชามว่านฟู่เฉิงก็ถูกอีกฝ่ายพามานั่งอยู่ลานว่างด้านหน้า แถมไม่ลืมยกชากับขนมจำนวนหนึ่งมาวางไว้ให้เขาด้วย ว่านฟู่เฉิงสำรวจรอบกายอีกครั้ง สถานที่แห่งนี้ช่างว่างเปล่าเงียบเหงาเสียจริง ตั้งอยู่กลางผืนป่าที่ไร้ผู้คน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ให้ร่วงหล่นเท่านั้นที่ดังอยู่สม่ำเสมอ แต่อาจเพราะมีเสียงจานชามกระทบกันแผ่วเบาดังมาประปรายจากภายในบ้านทำให้ความรู้สึกเงียบเหงากลับกลายเป็นอบอุ่นขึ้นมา ว่านฟู่เฉิงเป็นบุตรตระกูลพ่อค้าที่มีร้านค้าให้ดูแลมากมาย แต่เขาต้องจ้างคนอื่นดูแลแทนแถมยังไม่ค่อยได้ไปเยือนร้านค้าด้วยตนเองมากเท่าไรด้วยเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นหน้าที่หลักของเขาจึงมีเพียงตรวจบัญชี ตรวจค่าแรง และดูผลกำไรอยู่เป็นระยะเท่านั้นที่เขาต้องจัดการด้วยตนเอง แม้จะเป็นแค่งานสองสามอย่างทว่างานเหล่านั้นก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย เวลาของเขาหมดไปกับการทำงานส่วนนั้นทั้งวันแล้ว มีเพียงช่วงค่ำเท่านั้นที่เขาจะว่างเว้น มานั่งรับลมเฝ้ามองท้องฟ้าเพื่อผ่อนคลายได้บ้าง หรือไม่ก็อ่านหนังสือได้สักหน้าสองหน้าเพราะเวลามีจำกัด ในความทรงจำหลายปีที่ผ่านมา เขาย่อ
“คุณชายว่านก็กล่าวเกินจริงไปหน่อย ข้าไหนเลยจะใจคอโหดร้ายเพียงนั้น” กู่ซิงอีกล่าวอย่างน้อยใจ ใบหน้าเหมือนเด็กที่โดนดุ หันมองไปทางอื่นเหมือนรอให้บิดามารดามาปลอบโยนก็มิปาน ว่านฟู่เฉิงเผลอกดมุมปากลึกลง เกือบหลุดขำออกมา บุรุษตัวโตมีท่าทีตั้งแง่ตั้งงอนได้เสียที่ไหน ทว่าพอกู่ซิงอีทำแล้วกลับให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูยิ่งนัก ถึงขั้นที่ว่าเขาเผลอปล่อยมือออกจากกระต่ายแล้วยกมือขึ้นไปลูบหัวของกู่ซิงอีโดยไม่รู้ตัวแทน อาจด้วยเพราะเจ้าตัวเอามือวางบนเข่าจนตัวขดเล็กลงเหมือนเด็กน้อยด้วยแหละ เขาจึงใจอ่อนขึ้นมา ว่านฟู่เฉิงหาข้ออ้างให้ตนเองเช่นนั้น แต่เพียงลูบไปได้สองครั้งเท่านั้นทุกอย่างพลันชะงัก ทั้งเขาและกู่ซิงอีที่เพิ่งหันกลับมาต่างมองหน้ากันนิ่งงัน ดวงตาของโจรถ่อยตัวน้อยก็ดูโตขึ้นเล็กน้อย ว่านฟู่เฉิงรีบดึงมือกลับก่อนจะรีบควานหาพัดแถวขาขึ้นมาสะบัดพรึ่บหนึ่งทีเพื่อกางออก แล้วพัดโบกไปมา ไม่รู้ตัวว่าเจ้ากระต่ายบนตักกระโดดหนีไปตั้งแต่ตอนไหน “ไม่ไปแล้วหรือน้ำตก หากมืดแล้วเดี๋ยวผีจะหลอกเอา” เขากล่าวเพื่อเบี่ยงเบนบรรยากาศอึดอัดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ให้จางหายไป แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือประโยคที่ฟังดูตลกนี้จะ
“หันหลัง” ว่านฟู่เฉิงใช้มือข้างที่ยกอยู่เปลี่ยนไปตบไหล่ของกู่ซิงอีแทน ใบหน้าที่เรียบนิ่งดูกังวลเล็กน้อย กู่ซิงอีเหมือนจะเข้าใจท่าทางอึดอัดของเขาได้ พอรับคำในลำคอแล้วก็หมุนตัวไปตามที่เขาบอก ในตอนนั้นแขนใหญ่ของคุณชายว่านก็พาดมาที่ไหล่ของเขา กู่ซิงอีช่วยขยับอีกฝ่ายขึ้นมาบนแผ่นหลังตัวเองด้วยอีกแรง ก่อนจะยืนขึ้นอย่างมั่นคงพากลับไปที่เก้าอี้รถเข็นแล้วทั้งคู่ก็เดินทางกลับไปที่กระท่อมด้วยกัน ตอนมาถึงสีของท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นแล้ว มองเห็นดวงจันทร์ได้เลือนราง โจรถ่อยอย่างกู่ซิงอีรู้งานยิ่งนัก ครั้นเมื่อมาถึงก็รีบต้มน้ำให้คุณชายว่านอาบก่อน แล้วพาคนบนเก้าอี้รถเข็นไปที่ห้องอาบน้ำ “ไม่ต้องอุ้ม พยุงข้าก็พอ” ว่านฟู่เฉิงที่พอถอดเสื้อตัวนอกออกเสร็จแล้วก็รีบเอ่ยปากบอกก่อน มองดูถังน้ำที่ไม่สูงมากนักก็คิดว่าตัวเองสามารถลงไปได้โดยไม่ต้องให้กู่ซิงอีลงมืออุ้มอีก กู่ซิงอีพักหลังก็เชื่อฟังเป็นพิเศษ ยื่นแขนไปโอบลำตัวของว่านฟู่เฉิงไว้ แต่เจ้าตัวกลับจับแขนเขาออกมาไว้ข้างตัวแทน กู่ซิงอีก็เกร็งแขนรอ มองดูว่านฟู่เฉิงขยับตัวยืนขึ้นมาจากการใช้แรงที่มือของตนพยุงร่างกาย ก่อนจะ
แต่ว่านฟู่เฉิงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากู่ซิงอีแตกต่างจากผู้คนรอบตัวของเขามากจริง ๆ ในตอนนี้เลยพลอยคิดไปว่าที่ตนคาดหวังคงเพราะต้องการยืนยันให้แน่ชัดว่าไม่ได้มองคนผิดไปก็เท่านั้นเอง หวังเพียงต้องการให้อีกฝ่ายมาทำงานด้วยกันตามความตั้งใจเดิมตั้งแต่แรก มิได้คิดเกินเลยจริง ๆ ไม่ได้คิดเลย... ทว่าตอนที่ถามออกไปแล้วหัวใจของว่านฟู่เฉิงกลับบีบรัดแน่นเล็กน้อย ลมหายใจก็สะดุดไม่เป็นจังหวะ แต่ความรู้สึกนั้นก็ผ่านมาเพียงชั่วครู่เท่านั้นเพราะทันทีที่ถามจบกู่ซิงอีก็ตอบออกมาทันที “ย่อมไม่อยู่แล้ว!” กู่ซิงอีลุกพรวดพราดยืนขึ้นตบอกตัวเอง “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านแตกต่างจากผู้อื่น แถมความสามารถของท่านก็เป็นสิ่งที่ผู้คนโดยรอบล้วนประจักษ์แก่สายตา มีคนหนุ่มในรุ่นราวคราวเดียวกับท่านคนไหนบ้างที่เก่งพอ ๆ กับท่าน หาได้ยากยิ่งนัก ไยท่านจะต้องคิดมากเช่นนั้น” ประโยคนี้คือสิ่งที่ออกมาจากใจของเขาล้วน ๆ แต่กู่ซิงอีกลับไม่ได้คิดไปจนสุดทางว่าคำถามของคุณชายว่านค่อนข้างแปลกเล็กน้อย ว่านฟู่เฉิงได้เห็นแววตากระจ่างชัดยิ่งกว่าดาราบนท้องฟ้าของกู่ซิงอีก็เผลอยิ้มบางออกมาเป็นครั้งแรก บางเบาจนแทบมองไม่เห็น แต่ก
หากคนผู้หนึ่งไม่เปิดใจรับใครง่าย ๆ ขนาดแค่จะสนิทชิดเชื้อยังหาทางเข้าไม่เจอ เช่นนั้นคุณหนูรองเซี่ยทำอย่างไรกันกู่ซิงอีถึงขั้นยอมแม้กระทั่งเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยงขนาดนี้ นางดูไม่ได้ฉลาดมากนักย่อมไม่ได้เจ้าเล่ห์เจ้าแผนการจนเกินไป ดังนั้นอาจมีทางเดียวนั่นคือมอบความจริงใจให้กู่ซิงอีจากใจจริง กู่ซิงอีถึงยอมเปิดใจรับนางเป็นสหาย “ทำไมเจ้าถึงสนิทกับคุณหนูรองเซี่ยได้” ในเมื่อขี้เกียจเสียเวลาไตร่ตรองให้มากความ มิสู้ถามออกไปเลยจะดีกว่า เพราะเวลานี้ตนก็ถือสิทธิ์เหนือกว่าหนึ่งขั้น การหมั้นหมายในครั้งนี้มีเขาเป็นผู้ชี้ชะตา อย่างไรเสียกู่ซิงอีก็ต้องยอมบอกเขาอยู่แล้ว “ตอนนั้นข้าอายุเพียงสิบสี่ปีและเพิ่งเสียญาติเพียงคนเดียวที่มีไป เด็กคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเผชิญโลกกว้างได้สูญเสียกำแพงที่คอยปกป้องตนเองไป จิตใจย่อมอ่อนแอ ตอนนั้นข้าไม่รู้สึกอะไรนอกจากน้ำตาที่ไหลอาบแก้มและความสิ้นหวังภายในใจ นั่งร้องไห้ที่หน้าหลุมศพอยู่สามวันเต็ม เป็นเสี่ยวลู่ที่นั่งรถม้าผ่านมาเจอเข้าจึงได้ช่วยปลอบข้าให้ได้สติขึ้นมา นางห่างจากข้าหนึ่งปี แต่ตัวกลับเล็กยิ่งนัก สมัยก่อนเสี่ยวลู่มักชอบสวมชุดสีเหลืองสว่างและเพราะมีเน
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่
แล้วนางไหนเลยจะคาดเดาอนาคตได้ ตนย้ายไปอยู่ตระกูลเซี่ยเพียงไม่นานยังไม่มีโอกาสได้มาพบคุณชายว่านเลยสักครั้ง คุณชายผู้นี้ก็ตบแต่งภรรยาเสียแล้ว แต่นางยินยอม ยินยอมเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาก็ได้ การค้าของตระกูลว่านเติบโตในชั่วข้ามคืนแค่ไหน ใครในเมืองจางไม่รู้บ้างเล่า ดังนั้นทุกวันนางจึงตั้งตารอคอยมาโดยตลอด กาลก่อนแม้คุณชายว่านจะนั่งเก้าอี้รถเข็นแต่อย่างไรก็ยังรูปงามมากนัก บัดนี้พอเดินเหินได้ปกติด้วยใบหน้าสง่างามเป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนลงมาเดินบนดิน พอได้พบเห็นคนที่ตนคะนึงหาอีกคราก็พาให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “คุณชายว่าน...” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน “...เจ้ามาทำไม” ว่านฟู่เฉิงกลับไม่สบอารมณ์ทันทีที่ได้เจอนาง นึกรังเกียจสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นกู่ซิงอีมองเขาด้วยสายตาแบบนี้เจ้าตัวคงไม่อาจหนีรอดเขาไปได้ แต่พอเป็นสตรีตรงหน้าส่งสายตาเฉกเช่นนี้มาให้เขากลับรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ถึงขั้นดึงหลี่เซียวมาบังตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง “คุณชายว่านถามเช่นนี้ ข้าเสียใจยิ่งนัก” ฉีหย่าตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เดินก้าว
วันนี้หลี่เซียวรอจังหวะที่ว่านฟู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีโอกาสเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง “คุณชาย ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาคุณชายเห็นรายงานร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาในถนนสายฝนแล้วหรือยังขอรับ” “มีงานเทศกาลหรือ ?” ช่วงนี้งานปกติที่เขาเคยทำล้วนส่งมอบให้ฮูหยินของตนเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเองไปมองหาลู่ทางการขยายกิจการแทน ขณะนี้เองก็กำลังดูเครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นอื่นด้วยความตั้งใจ พอถูกถามจึงไม่ได้ทันคิดถึงว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร มีงานอะไรสำคัญหรือไม่ เพราะนอกจากจะนับวันรอที่จะได้หยุดเพื่อออกไปชมต้นไม้ใบหญ้าลำธารกับคนของใจแล้ว วันเวลาอย่างอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ที่ถามออกไปได้อย่างแม่นยำและถูกถึงเก้าส่วนก็เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ เนื่องจากถนนสายฝนเป็นหนึ่งในกิจการร้านค้าที่เขามีมากที่สุดในเมืองจาง หากมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก็หมายถึงมีการแบ่งพื้นที่หน้าร้านแต่เดิมจากหนึ่งเป็นสองร้าน หรือก็คืออาจมีงานเทศกาลยามค่ำคืนร่วมด้วย แถมบางครั้งยังเป็นตระกูลว่านที่ต้องออกหน้ารับจัดงานด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาย่อมมีผู้ดูแลแทนอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจที่หลี่เซี
ใกล้เข้าเหมันตฤดูแล้ว ว่านฟู่เฉิงยืนกอดอกมองคนขนของเข้ามาในจวน เขาสั่งไหมาเยอะมาก เอามาทุกขนาดที่หาได้ หากคำนวณผ่านตาคร่าว ๆ ตั้งแต่ครึ่งก้านธูปที่แล้วไหที่ถูกขนเข้าไปก็ปาไปหลายร้อยใบแล้ว กู่ซิงอีที่เดินหาวหวอดออกมาก็มองตามกลุ่มคนมากมายซึ่งกำลังพากันขนไหเข้าไปด้านหลังจวน “ท่านสั่งไหมาทำไมเยอะแยะ” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงคนรักของตนก็เอ่ยถามออกไป “ไว้ให้เจ้าหมักสุรา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแย้มยิ้ม ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจนถึงตนเอง ว่านฟู่เฉิงก็ก้าวยาว ๆ เดินไปหยุดยืนข้างกายดวงใจของตนแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองมาทางนี้จึงขยับหอมแก้มกู่ซิงอีด้วยความรวดเร็วไปหนึ่งที กู่ซิงอีตกใจจนตัวแข็ง รีบหันมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งใจ แต่อดที่จะมองค้อนเขาไปทีหนึ่งมิได้ “เหอะ ท่านยังคิดจะใช้ข้าทำงานอีก ! ข้าตกถังข้าวสารแล้ว ไหนเลยจะไปทำงานให้เหนื่อย” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้เสียใจหรือน้อยใจกลับยกยิ้มมองกู่ซิงอีและพูดเสริมว่า “ข้าสั่งทำห้องหมักสุราโดยเฉพาะไว้ให้เจ้าแล้วไม่ต้องรวมกับครัวของจวนแบบครั้งก่อนอีก และทั้งข้าว ไห เชือก ผ้ากรองก็มีให้ใช้ไม