เมิ่งเจียวซินมองสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ นางจึงรีบกล่าวต่อ “เออ...คือแบบนี้นะกุยกุย เจ้าเคยล่าสัตว์หรือไม่?” “เคย” “แล้วสัตว์ทุกตัวที่เจ้าล่าได้ ก็ถือว่าเป็นสมบัติของเจ้าใช่หรือไม่?” “ใช่ แล้วมัน...หรือที่เจ้าต้องการจะบอกกับข้าก็คือ คนผู้นั้นล่าตัวข้าได้!” เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่ายามนี้ทั้งสีหน้าและบรรยากาศรอบตัวของเจ้าลูกกระรอกดูแย่ลงกว่าเดิม นางจึงพยายามปรับเสียงของตนเองให้อ่อนลง ก่อนจะพูด “ก็อะไรเทือก ๆ นั้น แต่กุยกุยเจ้าลองคิดดูนะ หากว่าไม่มีคนผู้นั้นเจ้าก็จะไม่ได้เจอกับสตรีที่มีจิตใจดีแบบข้า แล้วพิษในร่างกายของเจ้าก็อาจจะไม่ได้รับการรักษา ดังนั้น...เออ...เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับคนผู้นั้น ข้าว่ามันก็น่าจะพอหักล้างกันได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่?” “ซินซินวาจาของเจ้านี่ช่าง...” เมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่าย หลี่อวิ้นกุยก็ได้แต่ถอนหายใจเอาความขุ่นเคืองออกมา ก่อนจะกล่าวตอบ “อืม...ก็ได้” เมื่อได้รับคำตอบ แล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกลับลงไปสนใจสมุดบันทึกพร้อมกับรับสำรับต่อ เมิ่งเจียวซินก็กลับมาสนใจสำรับตรงหน้าข
หลังจากที่ปิดประตูเรือนเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินออกมายืนด้านหน้าเรือนโดยมือข้างหนึ่งถือตะกร้า ส่วนมืออีกข้างคอยประคองร่างเล็กที่เกาะอยู่บนบ่าของนาง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวได้ผล็อยหลับลงไปแล้ว จากนั้นนางจึงหันไปมองทางถนนด้านหน้า แล้วนางก็พบว่าสองคนที่พวกนางกำลังจะไปหา ยามนี้ได้เดินแบกตะกร้าสะพายหลังอยู่ห่างจากพวกนางไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น นางจึงรีบเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที “พี่ชายหมิง หมิงจิว” “เจียวซิน! นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” หมิงลู่กล่าวทักเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาคือผู้ใด “ข้ากำลังจะไปหาพวกท่านที่เรือนเจ้าค่ะ” “เจียวซิน แล้วนั่นใช่ลูกกระรอกตัวเมื่อวานหรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเมื่อตอบคำถามของหมิงลู่เสร็จ ก็หันกลับมาตอบคำถามของหมิงจิวต่อ “ใช่แล้ว” “เอ๊ะ! แต่ข้าจำได้ว่าเมื่อวานมันถูกลูกธนูของพี่ใหญ่ยิงใส่ไม่ใช่หรือ...แล้วเหตุใด?” “โดนแค่เฉียด ๆ น่ะ แต่แค่เลือดของมันออกเยอะเลยดูคล้ายกับว่าโดนเต็ม ๆ พอข้าเช็ดคราบเลือดออกถึงได้รู้ว่า บาดแผลของเจ้าลูกกระรอกเป็นเพียงบาดแผลที่มีขนาดเล็ก แล้วพอข้าจับทำแผลใส่ยามันจึงดีขึ้นมากแบ
“ซินซิน ยามนี้ข้าขอเปลี่ยนไปอยู่ร่างมนุษย์ก่อน แล้วช่วงหัวค่ำข้าค่อยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างกระรอกอีกครั้งได้หรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยเอ่ยถาม เมื่อพวกเขากลับเข้ามาภายในเรือนแล้ว “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็ขอเข้าไปเอาของในห้องพักบิดาสักครู่นะ” เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปในห้องพักของตนเอง เพื่อเข้าไปหยิบกุญแจ จากนั้นนางก็เดินกลับออกมา โดยปล่อยให้เจ้าลูกกระรอกอยู่เปลี่ยนร่างในห้องนั้นเพียงลำพัง หลังจากเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ และจัดการแต่งกายจนเรียบร้อย หลี่อวิ้นกุยก็คิดจะออกไปตามหาสตรีประหลาดด้านนอก แล้วเมื่อเขาเปิดประตูห้องพักออกมา เขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังกลิ้งถังน้ำขนาดหนึ่งคนแช่มุ่งหน้าไปยังบริเวณโถงทางเดิน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหานางทันที “ซินซิน ข้าช่วย” “เจ้าไหวหรือ?” “ไหวสิ ตอนนี้ข้ายังสามารถใช้พลังกับลมปราณที่มีอยู่ได้ใช่หรือไม่?” “ยังใช้ได้ แต่เจ้า...” เมิ่งเจียวซินกล่าวยังไม่ทันจบ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนเจ้าช่วยแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับข้า ตัวข้าจึงพอมีแรงขึ้นมาบ้าง แล้วยามนี้ข้
หลี่อวิ้นกุยรับตำราจากสตรีตรงหน้ามาดู แล้วก็ให้รู้สึกเอะใจ เขาจึงพลิกกลับไปดูที่หน้าปก “ตำราพิษ!” “ใช่ แต่พวกข้าพ่อลูกไม่เคยคิดที่จะปรุงยาพิษตามตำราเล่มนี้ขึ้นมาหรอกนะ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ที่พวกข้าต้องมีตำราเล่มนี้ในมือ ก็เพื่อที่จะศึกษาและหาวิธีสร้างยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินจึงดันตำราสมุนไพรไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม ซึ่งตำราเล่มนี้นางก็ได้ใช้เศษกระดาษคั่นหน้าที่มีสมุนไพรเกี่ยวกับยาพิษค่ำคืนเหมันต์เอาไว้แล้วเช่นกัน จากนั้นนางจึงพูดต่อ “กุยกุย เจ้าลองสังเกตสมุนไพรพิษทุกตัวที่ใช้ทำยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้ดีสิ แล้วเจ้าจะเห็นว่าสมุนไพรทุกตัวต่างมุ่งเน้นไปที่การสร้างความปั่นป่วนให้กับแกนพลัง และจุดตันเถียนของผู้ที่ถูกวางยาพิษโดยตรง ซึ่งหากเจ้าดูสูตรยาบรรเทาอาการจากยาพิษในบันทึกบิดาของข้า สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเน้นเพียงช่วยขับความหนาวเย็นออกจากร่างกาย โดยต้องกินก่อนที่ยาพิษจะสำแดงอาการครึ่งชั่วยาม แล้วเมื่อผู้ที่ได้รับพิษกินยาบรรเทาอาการจากยาพิษเข้าไป ข้าคิดว่า...ยามที่พิษในร่างกายสำแดงอาการ ผู้ที่ได้รับพิษน่า
เมิ่งเจียวซินล้มตัวลงไปนอน โดยมีลูกกระรอกน้อยนอนซบอยู่บนบ่าข้างขวาของนาง ซึ่งนางก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ‘ยามนี้เท่ากับว่า...ข้าสามารถคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นผู้ฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงข้าที่เลิกสงสัยในตัวหลี่อวิ้นกุยแล้ว เช่นนั้นจะถือว่าข้าทำภารกิจที่ห้าสำเร็จหรือไม่นะ?’ ‘แต่...ภารกิจทุกข้อที่ได้รับมา ล้วนมุ่งเน้นให้ข้าทำเพื่อหลี่อวิ้นกุยทั้งสิ้นเช่นนั้นสิ่งที่ระบบต้องการก็คงไม่ใช่เพียงแค่ข้าที่คลายความสงสัย แต่คงจะหมายถึงคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเป็นแน่’ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะเจอเข้ากับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ‘แล้วข้าควรจะทำอย่างไร...ให้คืนนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่เข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาดีล่ะ?’
ซึ่งหลังจากจัดเตรียมสำรับในห้องพักเสร็จ เจ้าลูกกระรอกก็เดินออกมาจากฉากกั้นด้วยร่างมนุษย์พอดี เมิ่งเจียวซินกับเด็กหนุ่มจึงนั่งรับสำรับเช้าร่วมกัน โดยเมิ่งเจียวซินได้บอกให้เด็กหนุ่มรับอาหารให้มากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากในช่วงเที่ยงเจ้าตัวจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อเข้าร่วมรับสำรับกับพวกนางได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะได้กินเพียงขนมกับผลไม้เท่านั้น แล้วหลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งอ่านตำราด้วยกันที่โต๊ะกลมกลางห้อง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงเรียกนามของเมิ่งเจียวซินดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามนี้เจ้าตัวก็ได้ลุกแล้วเดินออกไปนั่งเปลี่ยนร่างที่เตียงนอน เพียงไม่นานลูกกระรอกตัวน้อยก็มุดออกมาจากชุดคลุมบุรุษ เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น ก่อนจะยื่นมือไปให้เจ้าตัวเล็กไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนไหล่ข
เมิ่งเจียวซินแม้จะยังสลัดเรื่องที่พูดคุยกับเจ้าลูกกระรอกออกจากความคิดของตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหมิงจิวเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าและท่าทางแปลก ๆ มันก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หรือว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทันได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเล็กเมื่อครู่ “เจียวซิน ในเมื่อยามนี้เราสองคนเป็นสหายกันแล้ว ข้าขอพูดอะไรกับเจ้าตรง ๆ ได้หรือไม่?” “อืม...ได้สิ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่า เจ้าลูกกระรอกเป็นปีศาจ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะรับเรื่องที่พวกปีศาจกับพวกมารแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมนุษย์ส่วนไม่น้อยเลยที่ยังคงแบ่งแยก และต่อต้านเรื่องนี้อยู่ “เจ้าปักปิ่นปีนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงจิวยังคงพยายามพูดโน้มน้าวใจของนางไม่หยุด นางจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาทันที “หมิงจิว ข้าขอพูดกับเจ้าตรง ๆ นะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แล้วอย่างที่ข้าบอกกับเจ้าไปเมื่อครู่...ข้ากับพี่ชายหมิงพูดคุยกันยังไม่ถึงห้าครั้งเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็เหลืออีกเกือบสองเดือนข้าถึงจะปักปิ่น และหากปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะต้องแต่งงานทันทีเลยมิใช่หรือ?” “ข้า...” “ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้านะหมิงจิว แต่ข้าขอให้มันเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องคู่ครอง” “อืม...ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจียวซินหากวันไหนเจ้าคิดเรื่องคู่ครอง เจ้าช่วยรับพี่ชายของข้าไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าตน
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb
หลี่อวิ้นกุยมองท่าทีของเมิ่งเจียวซินด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงดูไม่ดีใจสักนิด เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเท เพื่อให้ได้ออกไปใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับนาง... แต่ทว่ายามนี้หลี่อวิ้นกุยต้องทำรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อน เพื่อเตรียมรับมือกับความคิดเห็น และคำวิจารณ์จากเหล่าขุนนาง เมื่อรางวัลชนะศึกถูกประกาศเป็นพระราชโองการ การลุกขึ้นมายื่นมติคัดค้านโดยตรง ยามนี้มันก็คงจะเกินกว่าตำแหน่งของเหล่าขุนนาง แต่เนื่องจากเขตแดนในส่วนของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร ได้มีการแต่งตั้งตระกูลหลี่ของเผ่ามารขึ้นเป็นราชวงศ์ และแต่งตั้งผู้นำปีศาจแต่ละเผ่าขึ้นเป็นขุนนางในตำแหน่งต่าง ๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่ราชาปีศาจเกือบทุกพระองค์มักจะใช้อำนาจ และพลังในกายของเจ้าตัวในการปกครองผู้คน ท
พอเมิ่งเจียวซินเดินเข้าไปในบริเวณที่จัดงานเลี้ยง การปรากฏตัวของพวกนางก็ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานคนอื่น ๆ หันมาให้ความสนใจไม่น้อยเลย จากนั้นเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงก็ถูกโจวหลิวอิงพาไปแนะนำให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวได้รู้จัก โดยมีหลี่อวิ้นกุยคอยเดินตามนางไปทุกที่ ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยืนพูดคุยอยู่กับคนในครอบครัวของโจวหลิวอิง นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเหล่าบุรุษ และเหล่าสตรีจำนวนไม่น้อยที่กำลังจ้องมองมาที่นางกับหลี่อวิ้นกุย และเมิ่งเจียวซินก็ยังรับรู้ได้ว่า หลี่อวิ้นกุยได้ขยับเข้ามายืนประกบอยู่ทางด้านหลังของนาง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะชุดที่นางกับหลี่อวิ้นกุยใส่อยู่เหมือนกัน หรือเป็นเพราะหน้าตาอันโดดเด่นของบุรษที่ยืนทางด้านหลัง จึงทำให้ดึงดูดสายตาของผู้ที่มาร่วมงานเช่นนี้ หลังจากเมิ่งเจียวซินกั