เมิ่งเจียวซินมองสีหน้าของเด็กหนุ่มก็ให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ นางจึงรีบกล่าวต่อ “เออ...คือแบบนี้นะกุยกุย เจ้าเคยล่าสัตว์หรือไม่?” “เคย” “แล้วสัตว์ทุกตัวที่เจ้าล่าได้ ก็ถือว่าเป็นสมบัติของเจ้าใช่หรือไม่?” “ใช่ แล้วมัน...หรือที่เจ้าต้องการจะบอกกับข้าก็คือ คนผู้นั้นล่าตัวข้าได้!” เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่ายามนี้ทั้งสีหน้าและบรรยากาศรอบตัวของเจ้าลูกกระรอกดูแย่ลงกว่าเดิม นางจึงพยายามปรับเสียงของตนเองให้อ่อนลง ก่อนจะพูด “ก็อะไรเทือก ๆ นั้น แต่กุยกุยเจ้าลองคิดดูนะ หากว่าไม่มีคนผู้นั้นเจ้าก็จะไม่ได้เจอกับสตรีที่มีจิตใจดีแบบข้า แล้วพิษในร่างกายของเจ้าก็อาจจะไม่ได้รับการรักษา ดังนั้น...เออ...เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับคนผู้นั้น ข้าว่ามันก็น่าจะพอหักล้างกันได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่?” “ซินซินวาจาของเจ้านี่ช่าง...” เมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่าย หลี่อวิ้นกุยก็ได้แต่ถอนหายใจเอาความขุ่นเคืองออกมา ก่อนจะกล่าวตอบ “อืม...ก็ได้” เมื่อได้รับคำตอบ แล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกลับลงไปสนใจสมุดบันทึกพร้อมกับรับสำรับต่อ เมิ่งเจียวซินก็กลับมาสนใจสำรับตรงหน้าข
หลังจากที่ปิดประตูเรือนเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินออกมายืนด้านหน้าเรือนโดยมือข้างหนึ่งถือตะกร้า ส่วนมืออีกข้างคอยประคองร่างเล็กที่เกาะอยู่บนบ่าของนาง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวได้ผล็อยหลับลงไปแล้ว จากนั้นนางจึงหันไปมองทางถนนด้านหน้า แล้วนางก็พบว่าสองคนที่พวกนางกำลังจะไปหา ยามนี้ได้เดินแบกตะกร้าสะพายหลังอยู่ห่างจากพวกนางไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น นางจึงรีบเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที “พี่ชายหมิง หมิงจิว” “เจียวซิน! นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” หมิงลู่กล่าวทักเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาคือผู้ใด “ข้ากำลังจะไปหาพวกท่านที่เรือนเจ้าค่ะ” “เจียวซิน แล้วนั่นใช่ลูกกระรอกตัวเมื่อวานหรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเมื่อตอบคำถามของหมิงลู่เสร็จ ก็หันกลับมาตอบคำถามของหมิงจิวต่อ “ใช่แล้ว” “เอ๊ะ! แต่ข้าจำได้ว่าเมื่อวานมันถูกลูกธนูของพี่ใหญ่ยิงใส่ไม่ใช่หรือ...แล้วเหตุใด?” “โดนแค่เฉียด ๆ น่ะ แต่แค่เลือดของมันออกเยอะเลยดูคล้ายกับว่าโดนเต็ม ๆ พอข้าเช็ดคราบเลือดออกถึงได้รู้ว่า บาดแผลของเจ้าลูกกระรอกเป็นเพียงบาดแผลที่มีขนาดเล็ก แล้วพอข้าจับทำแผลใส่ยามันจึงดีขึ้นมากแบ
“ซินซิน ยามนี้ข้าขอเปลี่ยนไปอยู่ร่างมนุษย์ก่อน แล้วช่วงหัวค่ำข้าค่อยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างกระรอกอีกครั้งได้หรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยเอ่ยถาม เมื่อพวกเขากลับเข้ามาภายในเรือนแล้ว “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็ขอเข้าไปเอาของในห้องพักบิดาสักครู่นะ” เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปในห้องพักของตนเอง เพื่อเข้าไปหยิบกุญแจ จากนั้นนางก็เดินกลับออกมา โดยปล่อยให้เจ้าลูกกระรอกอยู่เปลี่ยนร่างในห้องนั้นเพียงลำพัง หลังจากเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ และจัดการแต่งกายจนเรียบร้อย หลี่อวิ้นกุยก็คิดจะออกไปตามหาสตรีประหลาดด้านนอก แล้วเมื่อเขาเปิดประตูห้องพักออกมา เขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังกลิ้งถังน้ำขนาดหนึ่งคนแช่มุ่งหน้าไปยังบริเวณโถงทางเดิน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหานางทันที “ซินซิน ข้าช่วย” “เจ้าไหวหรือ?” “ไหวสิ ตอนนี้ข้ายังสามารถใช้พลังกับลมปราณที่มีอยู่ได้ใช่หรือไม่?” “ยังใช้ได้ แต่เจ้า...” เมิ่งเจียวซินกล่าวยังไม่ทันจบ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนเจ้าช่วยแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับข้า ตัวข้าจึงพอมีแรงขึ้นมาบ้าง แล้วยามนี้ข้
หลี่อวิ้นกุยรับตำราจากสตรีตรงหน้ามาดู แล้วก็ให้รู้สึกเอะใจ เขาจึงพลิกกลับไปดูที่หน้าปก “ตำราพิษ!” “ใช่ แต่พวกข้าพ่อลูกไม่เคยคิดที่จะปรุงยาพิษตามตำราเล่มนี้ขึ้นมาหรอกนะ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ที่พวกข้าต้องมีตำราเล่มนี้ในมือ ก็เพื่อที่จะศึกษาและหาวิธีสร้างยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินจึงดันตำราสมุนไพรไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม ซึ่งตำราเล่มนี้นางก็ได้ใช้เศษกระดาษคั่นหน้าที่มีสมุนไพรเกี่ยวกับยาพิษค่ำคืนเหมันต์เอาไว้แล้วเช่นกัน จากนั้นนางจึงพูดต่อ “กุยกุย เจ้าลองสังเกตสมุนไพรพิษทุกตัวที่ใช้ทำยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้ดีสิ แล้วเจ้าจะเห็นว่าสมุนไพรทุกตัวต่างมุ่งเน้นไปที่การสร้างความปั่นป่วนให้กับแกนพลัง และจุดตันเถียนของผู้ที่ถูกวางยาพิษโดยตรง ซึ่งหากเจ้าดูสูตรยาบรรเทาอาการจากยาพิษในบันทึกบิดาของข้า สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเน้นเพียงช่วยขับความหนาวเย็นออกจากร่างกาย โดยต้องกินก่อนที่ยาพิษจะสำแดงอาการครึ่งชั่วยาม แล้วเมื่อผู้ที่ได้รับพิษกินยาบรรเทาอาการจากยาพิษเข้าไป ข้าคิดว่า...ยามที่พิษในร่างกายสำแดงอาการ ผู้ที่ได้รับพิษน่า
เมิ่งเจียวซินล้มตัวลงไปนอน โดยมีลูกกระรอกน้อยนอนซบอยู่บนบ่าข้างขวาของนาง ซึ่งนางก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ‘ยามนี้เท่ากับว่า...ข้าสามารถคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นผู้ฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงข้าที่เลิกสงสัยในตัวหลี่อวิ้นกุยแล้ว เช่นนั้นจะถือว่าข้าทำภารกิจที่ห้าสำเร็จหรือไม่นะ?’ ‘แต่...ภารกิจทุกข้อที่ได้รับมา ล้วนมุ่งเน้นให้ข้าทำเพื่อหลี่อวิ้นกุยทั้งสิ้นเช่นนั้นสิ่งที่ระบบต้องการก็คงไม่ใช่เพียงแค่ข้าที่คลายความสงสัย แต่คงจะหมายถึงคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเป็นแน่’ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะเจอเข้ากับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ‘แล้วข้าควรจะทำอย่างไร...ให้คืนนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่เข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาดีล่ะ?’
ซึ่งหลังจากจัดเตรียมสำรับในห้องพักเสร็จ เจ้าลูกกระรอกก็เดินออกมาจากฉากกั้นด้วยร่างมนุษย์พอดี เมิ่งเจียวซินกับเด็กหนุ่มจึงนั่งรับสำรับเช้าร่วมกัน โดยเมิ่งเจียวซินได้บอกให้เด็กหนุ่มรับอาหารให้มากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากในช่วงเที่ยงเจ้าตัวจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อเข้าร่วมรับสำรับกับพวกนางได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะได้กินเพียงขนมกับผลไม้เท่านั้น แล้วหลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งอ่านตำราด้วยกันที่โต๊ะกลมกลางห้อง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงเรียกนามของเมิ่งเจียวซินดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามนี้เจ้าตัวก็ได้ลุกแล้วเดินออกไปนั่งเปลี่ยนร่างที่เตียงนอน เพียงไม่นานลูกกระรอกตัวน้อยก็มุดออกมาจากชุดคลุมบุรุษ เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น ก่อนจะยื่นมือไปให้เจ้าตัวเล็กไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนไหล่ข
เมิ่งเจียวซินแม้จะยังสลัดเรื่องที่พูดคุยกับเจ้าลูกกระรอกออกจากความคิดของตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหมิงจิวเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าและท่าทางแปลก ๆ มันก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หรือว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทันได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเล็กเมื่อครู่ “เจียวซิน ในเมื่อยามนี้เราสองคนเป็นสหายกันแล้ว ข้าขอพูดอะไรกับเจ้าตรง ๆ ได้หรือไม่?” “อืม...ได้สิ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่า เจ้าลูกกระรอกเป็นปีศาจ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะรับเรื่องที่พวกปีศาจกับพวกมารแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมนุษย์ส่วนไม่น้อยเลยที่ยังคงแบ่งแยก และต่อต้านเรื่องนี้อยู่ “เจ้าปักปิ่นปีนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงจิวยังคงพยายามพูดโน้มน้าวใจของนางไม่หยุด นางจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาทันที “หมิงจิว ข้าขอพูดกับเจ้าตรง ๆ นะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แล้วอย่างที่ข้าบอกกับเจ้าไปเมื่อครู่...ข้ากับพี่ชายหมิงพูดคุยกันยังไม่ถึงห้าครั้งเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็เหลืออีกเกือบสองเดือนข้าถึงจะปักปิ่น และหากปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะต้องแต่งงานทันทีเลยมิใช่หรือ?” “ข้า...” “ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้านะหมิงจิว แต่ข้าขอให้มันเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องคู่ครอง” “อืม...ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจียวซินหากวันไหนเจ้าคิดเรื่องคู่ครอง เจ้าช่วยรับพี่ชายของข้าไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าตน
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ