"พี่รอง..." กู้เจียฮ่านเอ่ยทัก
ทว่ากู้หย่งเฟิงตวัดเพียงหางตามองเขา ซ้ำยังไม่ตอบกลับ จากนั้นคว้าหมับไปที่ต้นแขนของซ่งซูหลาน เขาแบกสตรีร่างบางขึ้นบนบ่าด้วยสีหน้าและดวงตาแดงก่ำ
ซ่งซูหลานตะลึงลานเบิกตากว้าง "อ๊ะ!...ท่านทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ"
ขาเล็กดีดไปมากลางอากาศ เย่จงเทียน เฉินซู่ และกู้เจียฮ่านต่างจดจ้องภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยอารมณ์แตกต่างกัน เย่จงเทียนเหลียวมองกู้เจียฮ่านแล้วจึงค้อมศีรษะลง "องค์ชายสาม"
กู้หย่งเฟิงแบกซ่งซูหลานเดินห่างออกไปแล้ว กู้เจียฮ่านผินหน้าถาม "เกิดอะไรขึ้น"
เย่จงเทียนกระอักกระอ่วน "เอ่อ...เมื่อครู่รัชทายาททรงงานอยู่ จากนั้นกระหม่อมได้ยินเสียงถ้วยชาแตก คุณหนูเจี่ยนั่งตัวสั่นร่ำไห้พักใหญ่ ดูเหมือนองค์รัชทายาทควบคุมสติของตนไม่อยู่ จากนั้นวิ่งเตลิดมาหาพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"
กู้เจียฮ่านหรี่นัยน์ตามองตามพวกเขาทั้งสองที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ขาเล็กดีดดิ้นขัดขืน เขาอยากวิ่งเข้าไปช่วยซ่งซูหลานแต่ดูเหมือนเรื่องสามีภรรยาคนนอกเช่นเขามิอาจก้าวก่าย กู้เจียฮ่านผ่อนหายใจแผ่วคิ้วเข้มขมวดมุ่น แขนแกร่งยกขึ้
ไยเขาจึงกระทำรุนแรงกับนางนัก กำปั้นน้อย ๆ พยายามทุบตีผลักไสกระนั้นดุจดั่งมดขย่มต้นไม้ใหญ่เขาไม่สะทกสะท้านสักนิด หนำซ้ำยังยึดแขนทั้งสองด้านของนางเอาไว้เหนือศีรษะ ร่างกำยำโถมเข้าหากายบอบบางจนต้องเอนราบลู่ลงบนฟูกนอนอื้อ...ซ่งซูหลานหอบกระชั้น ลิ้นด้านในกระหวัดเกี่ยวดูดกลืนลมหายใจนางไปแทบหมดสิ้นเขาเป็นบ้าใดกัน!นางก่นด่าเขาในใจ โพรงปากชุ่มฉ่ำถูกเขาย่ำยีเสียจนเจ็บปวด ฟันเรียงสวยกัดลิ้นที่ดื้อดึงด้วยความกรุ่นโกรธ"โอ๊ย!"กู้หย่งเฟิงผละห่างทันควัน นัยน์ตาคมเข้มเขม้นมองด้วยความเคียดขึง เสียงทุ้มแหบพร่าเย็นเยียบ "หลานเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร ที่เป็นแบบนี้เพราะบุรุษอื่นงั้นหรือ"ซ่งซูหลานโมโหจนตัวสั่นเทา หยาดน้ำตาปริ่มรื้นคั่งค้างบริเวณขอบตาเพียะ!ซ่งซูหลานตวัดมือตบเขาเสียจนหน้าหัน "ท่านเป็นบ้าอะไรกันแน่ ข้าน่ะหรือมีชายอื่น มีแต่ท่านที่ยามนี้กำลังใกล้ชิดกับสตรีนางอื่น ท่านไม่แยแสข้าสักนิด ข้ามีค่าแค่เพียงยามค่ำคืนงั้นหรือ คนโลเล!"กู้หย่งเฟิงหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์ ทว่าเขาไม่อาจทานทนสิ่งที่กำลังหมุนเวียนในกระแสโล
กลางดึกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ซ่งซูหลานเปิดปรือเปลือกตาขึ้นด้วยอาการอ่อนล้านางเหลียวมองบุรุษข้างกายที่ยามนี้หลับสนิทเพราะใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น แขนแกร่งพาดวางกกกอดเอวคอดเปลือยเปล่าไว้แน่นประดุจกลัวอีกฝ่ายจะหายตัวไปร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ ทั่วสรรพางค์ร้าวระบมไปเสียหมด ซ่งซูหลานหยัดกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ หยิบแขนแกร่งออกให้พ้นตัวหนักชะมัดยามเขาหลับเช่นนี้ช่างดูหล่อเหลาไร้พิษสงเหมาะสมกับการเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำกับนางไปไม่นานกลับเฉกเช่นจอมปีศาจแสนดุร้าย ซ่งซูหลานโกรธเขา อยากจะบดขยี้อีกฝ่ายให้เจ็บปวดเช่นเขาทำกับนาง ทว่าซ่งซูหลานมิอาจหลีกหนีความเป็นจริงที่ว่า นางรักเขา!เท้าเรียวหย่อนลงเบื้องล่าง ซ่งซูหลานสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความเข้มแข็ง หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอถูกปัดทิ้งไปเอาเถิดซูหลาน กลับไปตั้งหลักก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไม่นานสตรีร่างบอบบางก็พลันอยู่ในอาภรณ์บุรุษสีเข้มทะมัดทะแมง เพราะซ่งซูหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักรั
"ข้าให้เจ้ารับไปสิ นั่นมันสกปรกแล้วกินไม่ได้"เด็กชายช้อนตาขึ้น ก็พบกับเด็กผู้หญิงแต่งกายมอซอ ทว่าใบหน้าเปื้อนเปรอะกระนั้นกลับดูจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากบางส่งยิ้มแฉ่งพลางยื่นถังหูลู่แบ่งให้เขาโดยไม่คิดเสียดาย เจ้าผลสีแดงเคลือบน้ำตาลแวววาวยังไม่พร่องสักลูกเดียวด้วยซ้ำจากวันนั้นกู้เจียฮ่านเฝ้าติดตามหานางมาโดยตลอด ผิดที่เขาปากหนักไม่ยอมเอ่ยถามกระทั่งชื่อแซ่ เหลียวหน้าขึ้นอีกคราเด็กหญิงตัวเล็กก็หายลับตาไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้วเขาได้แต่นึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจ ที่ปล่อยอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดทำสิ่งใดเลย แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ เด็กคนนั้นที่เขาเฝ้าตามหาจะปรากฏกายอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขาได้พบนางในสถานะพี่สะใภ้ เขาไม่อาจยื้อแย่งนางมาจากกู้หย่งเฟิงได้ แต่เขายังสามารถช่วยเหลือและปกป้องนางได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้พบนางอีกหน ซ้ำยังได้เห็นรอยยิ้มที่เฝ้าคะนึงถึงก็นับว่าคุ้มค่าแล้วนัยน์ตาดอกท้อแหงนมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆเหตุใดเขาต้องช่วยข้า"พี่สะใภ้ ท่านจะไปที่ใดเล่ากลับจวนสกุลซ่งหรือ"ซ่งซูห
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน
ตำบลเลี่ยงหลินเป็นพื้นที่ห่างไกลซ้ำยังทุรกันดาร เรื่องเกษตรกรรมการเพาะปลูกล้วนฝืดเคือง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล แม้จะนับว่าอยู่ในเขตการปกครองของแคว้นฮุ่ยเหอซึ่งมากล้นด้วยพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ทว่าการช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านยามแร้นแค้นกลับได้รับเพียงกะพร่องกะแพร่ง เกรงว่าบรรดาขุนนางที่ดูแลเขตแดนแห่งนี้ ล้วนมีแต่พวกคดโกง อาศัยว่าตนมีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งผนวกความรู้มากหน่อย ก็เอาเปรียบชาวบ้านตาดำ ๆ โดยคิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ซ่งซูหลานก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมลำธารกลางป่าไผ่ นางเป็นคุณหนูรองตระกูลซ่งทว่าบิดากลับไม่เหลียวแล ส่งตัวของนางมายังตำบลที่แสนอัตคัด เพียงเพราะหลงงมงายในคำทำนายไม่มีมูล แม้ซ่งซูหลานทราบดีว่าเป็นกลอุบายของฮูหยินรองกระนั้นนางก็เป็นลูกที่เกิดมาแล้วทำให้มารดาของตนต้องสิ้นใจจริง ๆ หากบิดาจะเกลียดชังบุตรสาวเช่นนางก็คงสมควรกระมัง "คุณหนูเจ้าคะ ท่านทำเหยาะแหยะเช่นนั้นแล้วเมื่อใดจะเสร็จเล่า ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้วเร่งมือเข้าเถิด" เสียงสตรีวัยกลางคนแผดขึ้น ลี่ถังเป็นผู้ดูแลเรือนของที่นี่ ตระกูลซ่งกว้านซื้อที่ดินและเรือนหลายหลังเอาไว้ บิดาของซ่งซูหลานส่งตัวบุตรสาวมาอยู่กับนางตั้ง
ซ่งซูหลานเดินตามเด็กตัวจ้อยซึ่งจูงมือนางเอาไว้อย่างงุนงง ในที่สุดทั้งสองก็มายืนจังก้าที่หน้าเรือนหลังโอ่อ่า ทว่าดูเก่าคร่ำคร่าอยู่ทีเดียว นางลดสายตามองหยางเชาด้วยความใคร่รู้ "นี่บ้านของหนูหรือจ๊ะ" เด็กน้อยส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้นิ้วมาที่นาง "บ้านพี่ฉาว แต่ว่าท่านแม่เป็นคนดูแลที่นี่ขอรับ" ซ่งซูหลานยอบกายนั่งยอง ฝ่ามือยกขึ้นลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดูยิ่ง ริมฝีปากผลิยิ้มอบอุ่น "นี่จะเป็นบ้านของพี่ได้ยังไง พี่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเอง" หยางเชาเอียงคอขณะเดียวกันก็ยกมือเกาแก้ม "พี่ฉาวลืมแล้วหรือ เช่นนั้นเข้าบ้านก่อนดีกว่า ท่านตัวเปียกเพียงนี้คงหนาวแย่แล้ว" ซ่งซูหลานกะพริบตาถี่ นางกวาดสายตามองเรือนร่างที่เปียกชุ่มโชกของตน พร้อมกับเสื้อผ้าสีซีดมีรอยปะชุน หนำซ้ำยังราวกับสตรีหลงยุค จะว่าไปแล้วเด็กน้อยก็แต่งกายไม่ต่างจากนางเช่นกัน ซ้ำภาษาที่เอ่ยยังดูแปลกพิกล ซ่งซูหลานใจเต้นระรัว เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางคงไม่ได้เจอกับเรื่องอัศจรรย์พันลึกใดใช่หรือไม่ เดิมทีซ่งซูหลานทำการทดลองอยู่ที่ห้องแล็บในบ้านของตนเอง เหตุใดจึงมาโผล่ที่ไม่คุ้นตาเช่นนี้ได้กัน ทว่าเมื่อนางมองผ่านความอนธการซ
หยางเชายื่นโคมไฟให้นาง ซ่งซูหลานรับมาแบบงง ๆ จากนั้นจึงใช้สำรวจบรรยากาศโดยรอบ ด้านในมีโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้สักเก่าซีด ส่วนเสื้อผ้าถูกแยกไว้เป็นสัดส่วน ที่มีกลิ่นหอมสดชื่นคงเพราะเหล่าถุงหอมที่วางพะเนินกองกันนี้จึงส่งผลให้การอาศัยอยู่ห้องใต้บันไดมิได้แย่เท่าใด ซ่งซูหลานกวาดสายตามองเสื้อผ้าในยุคโบราณด้วยความตื่นเต้น ถึงจะเก่าไปบ้างแต่ทว่ากลับมีบางตัวที่ยังดูสะอาดและใหม่เอี่ยมทีเดียว นางจึงตัดสินใจหยิบชุดนั้นขึ้นทาบบนกายของตน"พอดีเป๊ะเลย"หยางเชาเข้ามาด้านในพร้อมถ้วยอาหารสองสามอย่าง จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ซ่งซูหลานผินหน้ามองตามอีกฝ่ายด้วยความสนใจ คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกจะสามารถช่วยเหลือและปรนนิบัติผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่วเพียงนี้"พี่ฉาว ท่านจะฉวมชุดนี้หรือขอรับ เดิมทีท่านเคยบอกว่าไม่กล้าหยิบมาใช้ เพราะท่านต้องทำงานบ้านทุกวัน เกรงว่าจะเปื้อนเอาได้ เพราะเป็นอาภรณ์ตัวเดียวที่ท่านแม่ของท่านทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า"ซ่งซูหลานส่งยิ้ม นางไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ตนคือผู้ใด และอยู่ในสถานะไหนของบ้านหลังนี้ ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีโชคชะตา เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยเรือตามน้ำไปก่อน"ถ้างั้นวั
"ฝ่าบาทองค์รัชทายาทถูกลอบสังหารระหว่างงานล่าสัตว์ ยามนี้องครักษ์ทุกหน่วยออกค้นหาทว่ากลับไร้ร่องรอย เกรงว่า..." องครักษ์ม้าเร็วกล่าวรายงาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นฮุ่ยเหอดีดกายขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร ม่านมุกสะบัดแกว่งไปตามองศาการขยับไหว บรรดาขุนนางซ้ายขวาต่างก้มหน้างุดเมื่ออารมณ์ผู้เป็นนายกราดเกรี้ยวจนแทบเผาผลาญท้องพระโรง"พวกเจ้าดูแลรัชทายาทอย่างไร! แล้วองค์ชายทั้งสองเล่า" นัยน์ตาที่ทอดมองเบื้องล่างขมึงทึง "ทูลฝ่าบาท องค์ชายสามปลอดภัย ทว่ามีเพียงองค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะว่าทั้งสองพระองค์ไล่ล่าพญาอินทรีเพลิงไปยังเส้นทางเดียวกัน เพียงแต่องค์รัชทายาทถูกไล่ต้อนและเป็นเป้าหมายของมือสังหาร จึงทำให้พระองค์พลัดหลงไปโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ" "บัดซบ!" ขุนนางในท้องพระโรงล้วนสะดุ้งโหยง"เจ้า!" ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนชี้ปลายนิ้วไปยังองครักษ์ม้าเร็ว"พ่ะย่ะค่ะ" "เร่งกลับไปแจ้งทางลานพิธีให้พาองค์ชายทั้งสองกลับมาโดยเร็ว ส่วนเรื่องรัชทายาท มอบหน้าที่ให้องครักษ์เย่เป็นฝ่ายจัดการ รวบรวมกำลังพลให้มากที่สุด รอดต้องเจอตัว ตายต้องพบศพ" "พ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างกำยำในชุดเกราะเร่งสะบัดกายจากไปทันควัน เดิมทีท้องพระ
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน
"ข้าให้เจ้ารับไปสิ นั่นมันสกปรกแล้วกินไม่ได้"เด็กชายช้อนตาขึ้น ก็พบกับเด็กผู้หญิงแต่งกายมอซอ ทว่าใบหน้าเปื้อนเปรอะกระนั้นกลับดูจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากบางส่งยิ้มแฉ่งพลางยื่นถังหูลู่แบ่งให้เขาโดยไม่คิดเสียดาย เจ้าผลสีแดงเคลือบน้ำตาลแวววาวยังไม่พร่องสักลูกเดียวด้วยซ้ำจากวันนั้นกู้เจียฮ่านเฝ้าติดตามหานางมาโดยตลอด ผิดที่เขาปากหนักไม่ยอมเอ่ยถามกระทั่งชื่อแซ่ เหลียวหน้าขึ้นอีกคราเด็กหญิงตัวเล็กก็หายลับตาไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้วเขาได้แต่นึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจ ที่ปล่อยอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดทำสิ่งใดเลย แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ เด็กคนนั้นที่เขาเฝ้าตามหาจะปรากฏกายอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขาได้พบนางในสถานะพี่สะใภ้ เขาไม่อาจยื้อแย่งนางมาจากกู้หย่งเฟิงได้ แต่เขายังสามารถช่วยเหลือและปกป้องนางได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้พบนางอีกหน ซ้ำยังได้เห็นรอยยิ้มที่เฝ้าคะนึงถึงก็นับว่าคุ้มค่าแล้วนัยน์ตาดอกท้อแหงนมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆเหตุใดเขาต้องช่วยข้า"พี่สะใภ้ ท่านจะไปที่ใดเล่ากลับจวนสกุลซ่งหรือ"ซ่งซูห
กลางดึกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ซ่งซูหลานเปิดปรือเปลือกตาขึ้นด้วยอาการอ่อนล้านางเหลียวมองบุรุษข้างกายที่ยามนี้หลับสนิทเพราะใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น แขนแกร่งพาดวางกกกอดเอวคอดเปลือยเปล่าไว้แน่นประดุจกลัวอีกฝ่ายจะหายตัวไปร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ ทั่วสรรพางค์ร้าวระบมไปเสียหมด ซ่งซูหลานหยัดกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ หยิบแขนแกร่งออกให้พ้นตัวหนักชะมัดยามเขาหลับเช่นนี้ช่างดูหล่อเหลาไร้พิษสงเหมาะสมกับการเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำกับนางไปไม่นานกลับเฉกเช่นจอมปีศาจแสนดุร้าย ซ่งซูหลานโกรธเขา อยากจะบดขยี้อีกฝ่ายให้เจ็บปวดเช่นเขาทำกับนาง ทว่าซ่งซูหลานมิอาจหลีกหนีความเป็นจริงที่ว่า นางรักเขา!เท้าเรียวหย่อนลงเบื้องล่าง ซ่งซูหลานสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความเข้มแข็ง หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอถูกปัดทิ้งไปเอาเถิดซูหลาน กลับไปตั้งหลักก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไม่นานสตรีร่างบอบบางก็พลันอยู่ในอาภรณ์บุรุษสีเข้มทะมัดทะแมง เพราะซ่งซูหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักรั
ไยเขาจึงกระทำรุนแรงกับนางนัก กำปั้นน้อย ๆ พยายามทุบตีผลักไสกระนั้นดุจดั่งมดขย่มต้นไม้ใหญ่เขาไม่สะทกสะท้านสักนิด หนำซ้ำยังยึดแขนทั้งสองด้านของนางเอาไว้เหนือศีรษะ ร่างกำยำโถมเข้าหากายบอบบางจนต้องเอนราบลู่ลงบนฟูกนอนอื้อ...ซ่งซูหลานหอบกระชั้น ลิ้นด้านในกระหวัดเกี่ยวดูดกลืนลมหายใจนางไปแทบหมดสิ้นเขาเป็นบ้าใดกัน!นางก่นด่าเขาในใจ โพรงปากชุ่มฉ่ำถูกเขาย่ำยีเสียจนเจ็บปวด ฟันเรียงสวยกัดลิ้นที่ดื้อดึงด้วยความกรุ่นโกรธ"โอ๊ย!"กู้หย่งเฟิงผละห่างทันควัน นัยน์ตาคมเข้มเขม้นมองด้วยความเคียดขึง เสียงทุ้มแหบพร่าเย็นเยียบ "หลานเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร ที่เป็นแบบนี้เพราะบุรุษอื่นงั้นหรือ"ซ่งซูหลานโมโหจนตัวสั่นเทา หยาดน้ำตาปริ่มรื้นคั่งค้างบริเวณขอบตาเพียะ!ซ่งซูหลานตวัดมือตบเขาเสียจนหน้าหัน "ท่านเป็นบ้าอะไรกันแน่ ข้าน่ะหรือมีชายอื่น มีแต่ท่านที่ยามนี้กำลังใกล้ชิดกับสตรีนางอื่น ท่านไม่แยแสข้าสักนิด ข้ามีค่าแค่เพียงยามค่ำคืนงั้นหรือ คนโลเล!"กู้หย่งเฟิงหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์ ทว่าเขาไม่อาจทานทนสิ่งที่กำลังหมุนเวียนในกระแสโล
"พี่รอง..." กู้เจียฮ่านเอ่ยทักทว่ากู้หย่งเฟิงตวัดเพียงหางตามองเขา ซ้ำยังไม่ตอบกลับ จากนั้นคว้าหมับไปที่ต้นแขนของซ่งซูหลาน เขาแบกสตรีร่างบางขึ้นบนบ่าด้วยสีหน้าและดวงตาแดงก่ำซ่งซูหลานตะลึงลานเบิกตากว้าง "อ๊ะ!...ท่านทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ"ขาเล็กดีดไปมากลางอากาศ เย่จงเทียน เฉินซู่ และกู้เจียฮ่านต่างจดจ้องภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยอารมณ์แตกต่างกัน เย่จงเทียนเหลียวมองกู้เจียฮ่านแล้วจึงค้อมศีรษะลง "องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงแบกซ่งซูหลานเดินห่างออกไปแล้ว กู้เจียฮ่านผินหน้าถาม "เกิดอะไรขึ้น"เย่จงเทียนกระอักกระอ่วน"เอ่อ...เมื่อครู่รัชทายาททรงงานอยู่ จากนั้นกระหม่อมได้ยินเสียงถ้วยชาแตก คุณหนูเจี่ยนั่งตัวสั่นร่ำไห้พักใหญ่ ดูเหมือนองค์รัชทายาทควบคุมสติของตนไม่อยู่ จากนั้นวิ่งเตลิดมาหาพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"กู้เจียฮ่านหรี่นัยน์ตามองตามพวกเขาทั้งสองที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ขาเล็กดีดดิ้นขัดขืน เขาอยากวิ่งเข้าไปช่วยซ่งซูหลานแต่ดูเหมือนเรื่องสามีภรรยาคนนอกเช่นเขามิอาจก้าวก่าย กู้เจียฮ่านผ่อนหายใจแผ่วคิ้วเข้มขมวดมุ่น แขนแกร่งยกขึ้
บทสนทนาที่นางได้ยินช่างคลุมเครือยิ่ง ซ่งซูหลานและกู้หย่งเฟิงหารู้ไม่ว่าเจี่ยอีหนิงลอบเห็นนางมาสักพักแล้ว เมื่อซ่งซูหลานมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกฝ่ายจึงแสร้งแขนขาอ่อนเปลี้ยเพื่อให้กู้หย่งเฟิงรับตนเอาไว้ หนำซ้ำยังสาดชาร้อน ๆ เสียจนอาภรณ์ตัวที่สองซึ่งเพิ่งผลัดเปลี่ยนไม่นานเปรอะเปื้อนอีกหนซ่งซูหลานไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาได้อีกต่อไป นางเดินดุ่ม ๆ ไปยังสระสัตตบงกชโดยไม่ได้เข้าไปด้านในดังที่ตนมาดมั่นแต่คราแรก จากนั้นขว้างกล้องส่องทางไกลที่ห้อยติดคอทิ้งลงน้ำเพื่อระบายโทสะอย่างไม่ไยดีเฉินซู่เบิกตากว้าง "พระชายาโยนทิ้งทำไมเพคะ มิใช่กว่าท่านจะทำมันได้""ช่างมัน! ข้าว่าคงไม่จำเป็นแล้ว ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้" กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ซ่งซูหลานคว้ากล้องอีกตัวมาจากมือของเฉินซู่ หมายปาลงน้ำทิ้งให้หมด ทว่าเสียงทุ้มกลับดังขึ้นจากทางเบื้องหลังเสียก่อน"ผู้ใดรังแกพี่สะใภ้ให้ต้องเดือดดาลปานนี้หรือ"ซ่งซูหลานหมุนกายเนิบช้า พร้อมกับมือที่ยังชูง้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น บุรุษร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้สตรีร่างเล็ก เขามองสิ่งที่ซ่งซูหลานเตรียมเขวี้ยงออกไปด้วยความสนใจใคร่รู้
ซ่งซูหลานลอบส่องห้องทรงงานของรัชทายาทด้วยความใคร่รู้ เหตุใดพ่อลูกคู่นี้จึงได้แวะเวียนเข้ามาทุกวัน กระนั้นวันนี้นางเห็นผู้เป็นบิดาออกจากห้องไปด้านนอก ท่าทางเร่งร้อนคล้ายจงใจนัก"มาอีกแล้ว คราวนี้ปล่อยให้ลูกสาวตัวเองอยู่กับสวามีข้าสองต่อสองเชียวรึ" มือเรียวยกกล้องส่องทางไกลที่ตนประดิษฐ์ขึ้นมาหมาด ๆ สอดส่ายสายตาสำรวจอย่างถ้วนทั่ว อุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำให้นางสามารถจับพิรุธสวามีได้อย่างดียิ่ง ร่างบอบบางชะเง้อมองข้างต้นไม้ใหญ่ เบื้องหลังมีสาวใช้ข้างกายยืนเป็นลูกคู่ ทว่าท่าทีของนางยังคงงุ่นง่านกับสิ่งประดิษฐ์ในมือพลางเกาแก้มเกาหัวด้วยความฉงน"เฉินซู่เจ้าเห็นอะไรหรือไม่"ซ่งซูหลานเหลียวมองสาวใช้ของตนกำลังยกกล้องส่องทางไกลขึ้นด้วยท่าทีเงอะงะ "พระชายาหม่อมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยเพคะ มืดไปหมด"ซ่งซูหลานยกมือกุมขมับ "เจ้าทำอะไร ผิดด้านแล้ว"นางช่วยหันด้านที่ถูกต้องให้สาวใช้ข้างกาย เฉินซู่ยิ้มแหย "ขอประทานอภัยเพคะ"คลาดสายตาครู่เดียวด้านในห้องก็หลงเหลือเพียงกู้หย่งเฟิงกับเจี่ยอีหนิงเสียแล้ว ซ่งซูหลานกระฟัดกระเฟียด "จงเทียนไปไหน!"&n
"เฉินซู่ เจ้าว่า…" ซ่งซูหลานนิ่วหน้าขบคิด ผินหน้ามองสาวใช้ จากนั้นเอ่ยต่อด้วยความฉงน "…ไยสตรีนางนั้นต้องติดตามบิดาของตนมาด้วยหรือ"เฉินซู่เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร นางได้ยินเรื่องเล่าจากนางกำนัลต้นห้องมามาก ว่ายามนี้คุณหนูตระกูลเจี่ยถูกสนับสนุนให้เป็นสนมเอกของรัชทายาท "เอ่อ...พระชายาเพคะ เกรงว่านางอาจต้องการตำแหน่งพระสนม"ซ่งซูหลานเลิกคิ้ว "พระสนมงั้นหรือ"หัวใจของซ่งซูหลานกระเพื่อมไหว หลายเดือนแล้วที่นางเป็นชายาของเขา เรื่องอย่างว่าก็หาได้ว่างเว้นเพียงแต่มิได้ประกอบกิจกันเสียทุกวัน ทว่านางกลับไม่ตั้งครรภ์เสียที ดูเหมือนต้องตามหมอหลวงมาตรวจหน่อยหรือไม่ หรือว่าซ่งซูหลานในยุคนี้ก็เป็นโรคเดียวกันกับนางในยุคที่จากมานางมีบุตรไม่ได้เช่นนั้นหรือ!ทว่าเขารับปากนางแล้วว่าจะไม่มีสนม แล้วเหตุใดยามนี้ต้องปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาชิดใกล้อย่างไม่ควร คิดไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็ผุดขึ้นเป็นริ้ว พานให้ต้องหัวร้อนดุจถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง..ราตรีกาลคืบคลานมาถึง เป็นอีกคืนที่ซ่งซูหลานเริ่มรู้สึกหนาวเหน็บสะท้านไปถึงจิตใจ นางกำลังนอนไม่หลับรู้สึกระส่ำระสายย
เวลาล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว ทว่าพระชายากลับไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์ บรรดาขุนนางจึงเร่งเสนอเรื่องแต่งตั้งพระสนมให้แก่รัชทายาท ฮ่องเต้เองก็ลำบากใจเพราะกู้หย่งเฟิงประกาศกร้าวว่าตนไม่ประสงค์รับสนม"ฝ่าบาทแม้ยามนี้รัชทายาทยังมิได้ครองบัลลังก์ ทว่าเรื่องการมีโอรสหาละเลยได้ไม่" เจี่ยเหวยเจินกราบทูลเขากำลังคิดหาหนทางเสริมส่งให้บุตรสาวขึ้นเป็นสนมของรัชทายาท เพราะอย่างน้อยหากตนมีความเกี่ยวดองกับราชวงศ์อำนาจและตำแหน่งล้วนมั่นคงตามไปด้วย แม้จะนับว่ายังห่างชั้นกับตระกูลซ่งมากโข ทว่าการขึ้นเป็นสนมของผู้ที่รอรับบัลลังก์มังกรต่อนับว่าดีกว่าเป็นชายาองค์ชายที่ไร้ยศถาเป็นไหน ๆขุนนางคนอื่นก็พลอยเรียกร้องให้ระเบ็งเซ็งแซ่ไปตามกันกู้หย่งเฟิงยืนฟังข้อถกเถียงของเหล่าขุนนางมานานก็ให้รู้สึกรำคาญใจนัก เดิมทีเขาเองก็มิได้ละเลยซ่งซูหลานสักนิด เพียงแต่ผู้มีบุญญาธิการช่างถือกำเนิดยากยิ่ง หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกัน"ทูลฝ่าบาท ถึงข้าจะเป็นรัชทายาท ทว่าการมีโอรสก็หาได้ต้องเร่งร้อนถึงเพียงนั้น"ขุนนางนายหนึ่งสาวเท้ามาเบื้องหน้า เขาค้อมศีรษะลง "ทูลฝ่า