อวิ๋นซีหว่านเห็นสถานการณ์แล้วก็พุ่งชนขอบเตียง “เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น อนาคตของลูกก็ไม่เหลือแล้ว มิสู้ให้ข้าตายไปเสียเลยเถอะ!”“ซีหว่าน!”อนุอวิ๋นรีบเข้าไปห้ามอวิ๋นซีหว่าน “ซีหว่านเอ๋ย เจ้าคือชีวิตของแม่นะ! หากเจ้าตาย ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”ภายในสายตาอวิ๋นหงหล่างสะท้อนแววลังเลแวบหนึ่ง เขาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้แย่มากอย่างแท้จริง ครู่ต่อมาหันมองจางเหวิน “ฮูหยิน เจ้าว่าเรื่องนี้...”“อย่าแม้แต่จะคิด!”ภายในสายตาจางเหวินเปี่ยมความรังเกียจ “เฉิงเจ๋อเป็นลูกของพี่สาวข้า เลี้ยงดูอยู่ข้างกายข้ามานานหลายปี คล้ายลูกชายข้าก็มิปาน”“เขาพยายามด้วยตนเอง มีชื่อติดอยู่บนกระดาน อนาคตจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เรื่องแต่งงาน ข้าก็จะให้เขาแต่งกับคุณหนูสูงศักดิ์ที่คู่ควร!”“ฮูหยิน เจ้าเป็นภรรยาเอก อิงตามหลักการแล้วซีหว่านเองก็เป็นลูกสาวของเจ้า อวิ๋นเฉิงเจ๋อเพียงลำบากใจเล็กน้อยเท่านั้น หรือว่าเจ้ายังทนมองซีหว่านตายได้กระนั้น?”อวิ๋นหงหล่างพูดเนิบๆ “หากเจ้าคิดว่าทำผิดต่อเฉิงเจ๋อ ถึงตอนนั้นเตรียมสินเดิมมากหน่อยเป็นเช่นไร?”จางเหวินมองบุรุษตรงหน้า พูดถ้อยคำเหล่านี้ได้อย่างเลือดเย็น ยังวางแผนทำเ
เดิมทีสวีเฮ่ออันกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับอวิ๋นเฉิงเจ๋ออยู่ภายในศาลา อีกไม่นานอวิ๋นเฉิงเจ๋อก็จะเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง กลายเป็นสหายร่วมงาน ย่อมรู้สึกดีใจเพราะเหตุนี้ ได้รับเชิญจากอวิ๋นเฉิงเจ๋อ เขาจึงตั้งใจเชิญสหายร่วมงานอีกสองท่านมาเพื่อแนะนำให้เขารู้จัก กอปรกับอวิ๋นเฉิงเจ๋อเชิญสหายร่วมสำนักสอบติดขุนนางอีกสองท่านมาด้วย ทั้งหกจึงกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติคิดไม่ถึงขณะกำลังอารมณ์ดีก็มองเห็นบ่าวรับใช้จวนอวิ๋นกำลังออกตามหาทั่วสารทิศ พูดว่าคุณหนูรองบ้านตนหายตัวไป นี่ถึงพากันมาพร้อมกันสรุปว่า...ถึงขั้นได้ยินเรื่องมากมายเพียงนี้?ครู่ต่อมาพวกสวีเฮ่ออันหันมองอวิ๋นเฉิงเจ๋อ เรื่องของอวิ๋นซีหว่านและฉินเซี่ยงเหิงชุลมุนวุ่นวายมาก คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันอย่างถ้วนทั่วแต่พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากอวิ๋นซีหว่านและฉินเซี่ยงเหิงฉีกหน้าถอนหมั้นกันแล้ว ถึงขั้นยังหันมาหมายตาอวิ๋นเฉิงเจ๋อ แม้แต่วิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้คุณหนูในห้องหอคนหนึ่ง ถึงขั้นลองปีนเตียงของอวิ๋นเฉิงเจ๋อ บังคับให้เขาแต่งงานด้วยไม่สำเร็จ ยังสร้างปัญหาให้ตนเองอีกด้วยใต้เท้าอวิ๋นกลับไร้เหตุผลยิ่งกว่า ทั้งๆ
มองใบหน้าเปี่ยมแผนการของอนุอวิ๋น จางเหวินแค่นหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง “ยังคิดใช้วิธีนี้บีบบังคับข้า? ขอเพียงข้าและอวิ๋นหงหล่างหย่ากัน เนี่ยนชูก็จะกลับบ้านมารดากับข้า”“ถึงตอนนั้นข้าจะพูดสาเหตุการหย่าร้างอย่างชัดเจน ส่วนชื่อเสียงของเนี่ยนชูเจ้าไม่ต้องกังวลไป เดิมทีนางก็เป็นแม่นางที่ดีคนหนึ่ง หรือยังต้องกังวลจะแต่งงานออกเรือนไม่ได้อีกกระนั้น?”“นายท่าน ฮูหยินนี่คือต้องการทำลายซีหว่านเจ้าค่ะ หากซีหว่านตายข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!” อนุอวิ๋นร้องไห้พลางพูดออกมาอวิ๋นซีหว่านเห็นสถานการณ์แล้วก็ทำให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก “ให้ข้าตายเถอะ ล้วนต้องโทษลูกทำร้ายท่าน ฮูหยินใหญ่นี่คือเห็นข้าขัดตาตั้งนานแล้ว อยากให้พวกเราตาย”อวิ๋นหงหล่างเห็นสองแม่ลูกล้วนเจ็บปวดสิ้นหวังจนอยากตาย สีหน้าไม่สบอารมณ์มาก ยามสบมองจางเหวินสีหน้าก็เปี่ยมความไม่เข้าใจ“ฮูหยิน นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น ขอเพียงพวกเราร่วมมือกันปกปิดเรื่องนี้ เดิมทีก็ไม่มีคนอื่นรู้ เหตุใดเจ้าต้องโวยวายจนถึงขั้นนี้ให้ได้?”“พูดไปแล้วเจ้าก็แค่ไม่พอใจพวกนางสองแม่ลูกเท่านั้น ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของทั้งตระกูล แต่ตอน
จางเหวินและอวิ๋นเนี่ยนชูล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าภายนอกจะมีคนมากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นในอดีตจะต้องรู้สึกกังวลอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ตอนนี้กลับคิดว่าคนเหล่านี้มาได้ช่างดีเหลือเกิน“ท่านแม่ ท่านตัดสินใจแล้วแน่หรือ?”อวิ๋นเนี่ยนชูมองจางเหวินอย่างกังวล นางรู้ดีว่าหลายปีมานี้มารดาได้รับความทุกข์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมิใช่เคยพูดเกลี้ยกล่อมเพียงครั้งเดียว แต่มารดาอดทนเอาไว้ วันนี้คล้ายกับว่าจะตั้งใจทำแบบไม่คิดหันหลังกลับจริงๆ...“เนี่ยนชู แม่คิดดีแล้ว แท้จริงแล้วแม่ก็ไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนี้อีก เดิมทีข้าคิดว่าจะรอจนเจ้ากับเฉิงเจ๋อต่างมีชีวิตที่มั่นคงของตนแล้วจึงค่อยหย่ากับพ่อเจ้า”“เช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถลดผลกระทบต่อพวกเจ้าให้น้อยที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขากลับยิ่งเหิมเกริม หากพวกเขากล้าลงมือกับเฉิงเจ๋อ ภายภาคหน้าก็อาจกล้าลงมือกับงานแต่งของเจ้าเฉกเดียวกัน”สีหน้าจางเหวินมุ่งมั่น นางไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อชายผู้นี้ตั้งนานแล้ว สิ่งเดียวที่หวังคือให้ลูกๆ ได้มีอนาคตที่ดีเท่านั้นบัดนี้ในเมื่อแม้แต่เรื่องเล็กน้อยนี่ก็ทำไม่ได้ แล้วนางยังจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไรอีกเล่า?อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงโดยไม่รู้ตัว ภาย
“ท่านน้า ข้าใกล้จะได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางแล้ว ถึงตอนนั้นข้าก็จะมีเงินเดือน จะต้องสามารถดูแลท่านและเนี่ยนชูดีๆ ได้แน่”สายตาอวิ๋นเฉิงเจ๋อมุ่งมั่น หลายปีมานี้ เขาไม่ใช่ไม่เตรียมการมาก่อน คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าน้าเขยปฏิบัติต่อท่านน้าไม่ดี เขาจะต้องดูแลท่านน้าให้ดี ไม่มีวันทำให้นางเสียใจ ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้กังวลไม่ด้อยไปกว่าจวนอวิ๋น!จางเหวินพยักหน้ายิ้มๆ “น้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถมาโดยตลอด”......ซ่งรั่วเจินกำลังเดินตามซ่งจิ่งเซินหาร้านค้า ระยะนี้สกุลซ่งมีร้านค้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย นอกจากส่วนหนึ่งที่ปล่อยเช่าออกไปแล้ว ที่เหลือบางส่วนยังไม่มีคนเช่าเพราะเหตุนี้ นางจึงอยากเปิดกิจการเล็กๆ ของตนของอร่อยในยุคสมัยโบราณเทียบกับยุคสมัยปัจจุบันไม่ได้ คิดไปคิดมา นางก็เลือกไก่ทอด“น้องหญิงห้า ที่ร้านนี้กำลังทำก็คือไก่ทอดที่เจ้าพูดถึงน่ะหรือ?”ซ่งจิ่งเซินมองร้านตรงหน้าอย่างแปลกใจ นี่คือน้องหญิงห้าจัดแจงไว้ แต่ไก่ทอดอะไรนี้ เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าน้องหญิงห้าไปเอาตำรับมาจากที่ใดซ่งรั่วเจินยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “ท่านรอทำออกมาแล้วลองชิมดูก็จะรู้ ข้าเชื่อว่านี่จะต้องกลายเป็นของว่าง
“เฉินเซียง แม้แต่ฉู่อ๋องก็มาแล้ว เจ้าว่าไก่ทอดที่คุณหนูของพวกเราพูดถึงจะทำออกมาได้อร่อยจริงหรือไม่?”ตวนอู่มีสีหน้าแปลกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยได้ยินไก่ทอดนี้มาก่อน ทว่าทั้งหมดล้วนทำตามคำสั่งของคุณหนูก็เท่านั้นเดิมทีก็เป็นกิจการของบ้านตน ต่อให้ค้าขายไม่ดีก็ไม่เป็นไร แต่บัดนี้แม้แต่ฉู่อ๋องก็ถูกเรียกความสนใจแล้ว หากไม่อร่อยขึ้นมา นั่นจะยังหาทางลงได้อีกหรือ?“คุณหนูพูดว่าอร่อยก็ต้องอร่อย!” เฉินเซียงไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย “ข้าคิดว่าคุณหนูทำอะไรก็สำเร็จไปหมดทุกอย่าง ไก่ทอดนี้จะต้องอร่อยมากเป็นแน่ ถึงตอนนั้นยังจะโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง!”ขณะกำลังพูดคุยกันนั้น ไก่ทอดก็ออกจากหม้อแล้ว หลังโรยผงยี่หร่าและผงพริกแล้ว ซ่งรั่วเจินก็ยิ้มแย้มเดินเข้ามาหยุดต่อหน้าทั้งคู่“พวกท่านลองชิมดู”ซ่งจิ่งเซินหันมองฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว “ท่านอ๋อง เชิญท่านชิมก่อน”ฉู่จวินถิงสนใจของว่างที่ซ่งรั่วเจินทำเองมาก คิดเพียงว่าปกติแม่นางคนนี้เฉยเมยต่อเรื่องมากมาย คล้ายมั่นใจมากมีเพียงยามพูดถึงของว่าง สีหน้านางมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ น่ารักและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีกกร๊อบเพียงไก่ทอดเข้าปาก เสียงกรอบก็ดังออก
“ตามใจเจ้า” เห็นได้ชัดว่าซ่งจิ่งเซินเป็นพวกหลงน้องสาว ไม่ว่าน้องสาวจะพูดอะไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปหมดเวลานั้น ซ่งรั่วเจินพลันสัมผัสได้ว่าตรงหัวมุมข้างหน้ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาทางพวกตน จึงมองไปทางนั้นโดยสัญชาตญาณฝ่ายตรงข้ามเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง พบว่าซ่งรั่วเจินสังเกตเห็นแล้วก็ไม่หลบ แต่กลับยิ้มพลางพยักให้น้อยๆ“พี่สี่ นั่นใครหรือ?”ซ่งจิ่งเซินมองตามทิศทางสายตาของซ่งรั่วเจินไปก็พบว่าตอนนี้บุรุษผู้นั้นหันหลังไปแล้ว เพียงมองจากเงาหลังดูไม่ออกว่าเป็นใคร“ไม่รู้สิ ข้าไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร”“นั่นคือคนตระกูลกู้” ฉู่จวินถิงอธิบายซ่งรั่วเจินอึ้งไป “ตระกูลกู้? ครอบครัวฝั่งแม่ของฉินฮูหยิน?”“ใช่แล้ว ร้านค้าบนถนนเส้นนี้เดิมเป็นสินเดิมที่ตระกูลกู้มอบให้ฉินฮูหยินในตอนนั้น ได้ยินว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มีคนตระกูลกู้ช่วยช่วยดูแลจัดการ แต่ตอนนี้ร้านค้าเป็นของพวกเจ้าแล้ว คิดว่าคงมาเห็นโดยบังเอิญ”ซ่งจิ่งเซินได้ยินอย่างนั้นก็อดกังวลใจไม่ได้ “พวกเขาคงไม่คิดว่าพวกเราฮุบร้านค้านี้มาแล้วไม่พอใจพวกเราหรอกนะ?”ภูมิหลังของตระกูลกู้ไม่ธรรมดาเลย แต่ไม่ได้มีการไปมาหาสู่กับตระกูลซ่งของพวกเข
หลิ่วเฟยเยี่ยนถูกคำพูดของหลิ่วหรูเยียนทำให้โมโหจนแทบกระอักเลือด นี่คือคำพูดคนงั้นรึ?มีใครตายอะไรกัน?แต่พอถูกขัดจังหวะเช่นนี้ น้ำตาที่แต่เดิมยังไหลลงมาได้ยามนี้กลับไหลไม่ออกเสียแล้ว จึงได้แต่กล่าวอย่างเศร้าสร้อย“พี่หญิง ท่านไม่ต้องปิดบังข้า ข้ารู้หมดแล้ว ที่ซื่อจื่อสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรั่วเจินในตอนนั้น ได้ยินว่าตอนพวกท่านอยู่ในจวนอ๋องยังได้รับการปฏิบัติเสมือนแขกผู้มีเกียรติ”“มีน้ำใจตรงนี้อยู่ ขอเพียงพวกท่านยินดีขอร้องแทนฮั่นเฟย ครอบครัวเซียงอ๋องจะต้องไม่ถือสาเอาความแน่นอน!”“ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องที่แค่ช่วยพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถคลี่คลายได้แท้ๆ แต่เหตุใดจึงไม่ยอมช่วยเหลือ?”ได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าทั้งทางตรงทางอ้อม หลิ่วหรูเยียนรู้สึกเพียงเอือมระอาเหลือประมาณตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่หลิ่วเฟยเยี่ยนเจอเรื่องที่คลี่คลายไม่ได้ก็มักมาขอความช่วยเหลือจากนาง แต่เพียงบ่ายเบี่ยงสักนิดก็จะร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ช่วย? เซียงอ๋องซาบซึ้งในน้ำใจรั่วเจินจริงๆ แต่พวกเขาก็แสดงออกชั
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด