หลิ่วเฟยเยี่ยนถูกคำพูดของหลิ่วหรูเยียนทำให้โมโหจนแทบกระอักเลือด นี่คือคำพูดคนงั้นรึ?มีใครตายอะไรกัน?แต่พอถูกขัดจังหวะเช่นนี้ น้ำตาที่แต่เดิมยังไหลลงมาได้ยามนี้กลับไหลไม่ออกเสียแล้ว จึงได้แต่กล่าวอย่างเศร้าสร้อย“พี่หญิง ท่านไม่ต้องปิดบังข้า ข้ารู้หมดแล้ว ที่ซื่อจื่อสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรั่วเจินในตอนนั้น ได้ยินว่าตอนพวกท่านอยู่ในจวนอ๋องยังได้รับการปฏิบัติเสมือนแขกผู้มีเกียรติ”“มีน้ำใจตรงนี้อยู่ ขอเพียงพวกท่านยินดีขอร้องแทนฮั่นเฟย ครอบครัวเซียงอ๋องจะต้องไม่ถือสาเอาความแน่นอน!”“ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องที่แค่ช่วยพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถคลี่คลายได้แท้ๆ แต่เหตุใดจึงไม่ยอมช่วยเหลือ?”ได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าทั้งทางตรงทางอ้อม หลิ่วหรูเยียนรู้สึกเพียงเอือมระอาเหลือประมาณตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่หลิ่วเฟยเยี่ยนเจอเรื่องที่คลี่คลายไม่ได้ก็มักมาขอความช่วยเหลือจากนาง แต่เพียงบ่ายเบี่ยงสักนิดก็จะร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ช่วย? เซียงอ๋องซาบซึ้งในน้ำใจรั่วเจินจริงๆ แต่พวกเขาก็แสดงออกชั
ซ่งจิ่งเซินที่อยู่ข้างๆ มองภาพนี้อย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ท่านอ๋องช่างดีต่อน้องหญิงห้าจริงๆ!ยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็ถามออกมาเองแล้ว นอกจากนี้ ดูจากท่าทางรู้ใจกันเช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้างโดยแท้!“หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะก่อเรื่องอะไรมา ท่านน้าก็มักหาวิธีมาขอให้ท่านแม่ช่วยสะสาง แต่ตอนที่บ้านเกิดเรื่อง ท่านแม่อยากไปปรึกษานางกลับไม่เห็นแม้แต่เงา”“ยามนี้ถ้าจะกำจัดเรื่องยุ่งยากนี้ไปให้พ้นก็มีวิธีเดียว...”ซ่งรั่วเจินเอ่ยปากช้าๆ มองไปทางบุรุษตรงหน้า มุมปากวาดโค้งขึ้นน้อยๆฉู่จวินถิงเลิกคิ้ว แลดูอ่อนใจอยู่บ้าง “เห็นที ข้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องรับบทผู้ร้ายสินะ?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านอ๋องรู้สึกว่ายุ่งยาก ข้าก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากซื่อจื่อน้อย คิดว่าเรื่องเล็กน้อยนี้ เขาน่าจะยินดีช่วยเหลือ”“ไม่จำเป็น ไยต้องรบกวนคนอื่นด้วย?” ฉู่จวินถิงกล่าวเห็นดังนั้น รอยยิ้มก็อาบย้อมแววตาซ่งรั่วเจิน นางหันไปมองซ่งจิ่งเซิน “พี่สี่ ประเดี๋ยวต้องแสดงให้สมจริงหน่อยนะเจ้าคะ”ซ่งจิ่งเซินพยักหน้ารัวๆ ตบอกรับรอง
หลิ่วเฟยเยี่ยนถูกหลิ่วหรูเยียนคาดคั้นเช่นนี้ ในใจเพียงรู้สึกว่าน่าขัน รั่วเจินกล้าไปหาเรื่องฉู่อ๋องอย่างไม่รู้ดีชั่ว ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นมายังคิดจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย?นางสะบัดมือหลิ่วหรูเยียนออกพลางกล่าวว่า “พี่หญิง ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยท่าน แต่ฉู่อ๋องเป็นใครกัน?”“ข้าอยากช่วยเหลือจริงๆ นะเจ้าคะ ทว่าข้ามีใจแต่ไร้กำลังจริงๆ!”ทว่าหลิ่วหรูเยียนไม่คิดจะปล่อยให้นางจากไปทั้งอย่างนี้จึงจับมือนางไว้แน่นไม่ปล่อย“เฟยเยี่ยน ยามนี้ซ่งหลินเป็นตายไม่แน่ชัด แต่น้องเขยคงสามารถพูดอะไรต่อหน้าท่านอ๋องได้บ้าง เจ้าต้องคิดหาวิธีช่วยข้านะ”“ข้ามีเจินเอ๋อร์เป็นลูกสาวคนเดียว นางเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ยามนี้ทำให้ท่านอ๋องโกรธกริ้ว ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเช่นไร เจ้าจะต้องช่วยข้านะ”“ขอแค่เจ้าช่วยข้าขอให้ท่านอ๋องยกโทษให้เจินเอ๋อร์ ทางด้านเซียงอ๋องข้าก็จะช่วยเจ้าเต็มที่ดีหรือไม่?”หลิ่วเฟยเยี่ยนได้ยินเช่นนั้น ในใจก็พลันลังเลขึ้นมา ถ้าตระกูลซ่งยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่แน่ว่าอาจมีประโยชน์จริงๆ ก็เป็นได้“งั้นข้าจะตามไปดูหน่อยก็แล้วกัน?”แม่นมที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าหลังนายหญิงของตนพูดเช่นนั้นไปแล้ว หลิ่วเฟยเ
“ฉู่อ๋อง ท่านปล่อยน้องสาวกระหม่อมไปเถิด! ตระกูลซ่งของพวกกระหม่อมซื่อสัตย์ภักดีมาตลอดนะพ่ะย่ะค่ะ!”ซ่งจิ่งเซินก้มหน้า ไม่ให้ใครเห็นมุมปากที่กำลังกระตุกของเขา“ข้าเห็นว่าพวกเจ้าใจกล้ามากเลยนี่ เข้าใจว่าซ่งเยี่ยนโจวกลับเข้ารับราชการก็มีความหวังแล้วอย่างนั้นรึ?”“ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าพวกเจ้ามีความสามารถสักแค่ไหน คิดว่าช่วยเหลือซื่อจื่อน้อยได้ก็สามารถไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาแล้ว? ต่อให้เขามาขอร้องแทนพวกเจ้าก็ไร้ประโยชน์!”ฉู่จวินถิงแค่นหัวเราะ “พวกที่มีวาสนาเล็กน้อยก็หลงลำพองใจ ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ก็แค่หนี้น้ำใจเล็กน้อยจึงไว้หน้าพวกเจ้าบ้างก็เท่านั้น คิดว่าไม่ต้องเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาแล้วจริงๆ งั้นรึ?”ความหวังในใจหลิ่วเฟยเยี่ยนถูกวาจาประโยคนั้นดับสนิท ความคิดแต่เดิมหายวับไปจนหมดสิ้นนางไม่มีแก่ใจมาพูดพร่ำ สลัดมือหลิ่วหรูเยียนออกทันที“พี่หญิง คราวนี้พวกท่านก่อเรื่องใหญ่แล้ว ข้าช่วยไม่ไหวหรอก ข้าขอตัวก่อนนะ!”“เจ้าอย่าไปสิ ขอแค่เจ้ากับน้องเขยช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ข้า ข้าจะกลับไปขอให้เซียงอ๋องละเว้นฮั่นเฟยแน่นอน!” หลิ่วหรูเยียนเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้แต่เมื่อหลิ่วเฟยเยี่ยนได้ยินคำพูดน
“เจินเอ๋อร์ วันนี้ท่านอ๋องช่วยเหลือพวกเรามากขนาดนี้ เย็นนี้เชิญท่านอ๋องอยู่รับประทานมื้อค่ำที่จวนดีหรือไม่?”หลิ่วหรูเยียนมองลูกสาวของตนอย่างกังวลใจ นางไม่รู้ความในใจของลูกสาว แต่ฉู่อ๋องเป็นผู้สูงศักดิ์มีธุระมาก วันนี้ตั้งใจมาที่จวนทั้งยังให้ความช่วยเหลือ ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลยก็ออกจะไม่เหมาะสมซ่งรั่วเจินก็คิดดุจเดียวกัน วันนี้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉู่จวินถิง ลำพังรับมือหลิ่วเฟยเยี่ยนก็คงต้องสิ้นเปลืองคำพูดไปไม่น้อยปฏิเสธไปตรงๆ พูดอาจดูง่าย แต่ความสามารถในการไม่สนใจเหตุผลของตระกูลซุน พวกตนล้วนเคยได้รับทราบมาแล้วไม่เพียงไปร้องไห้ตัดพ้อที่ตระกูลหลิ่ว ทำให้คนตระกูลหลิ่วมากดดันด้วยยังไม่พอ ยังไปพูดเหลวไหลข้างนอกไปทั่วทำให้ท่านแม่เสื่อมเสียชื่อเสียง เรียกได้ว่าน่ารำคาญยิ่งนักนางไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ แต่ท่านแม่ทำไม่ได้ ตระกูลซ่งก็ทำไม่ได้แทนที่จะนั่งรอเป็นฝ่ายถูกกระทำ มิสู้ชิงลงมือก่อน ไยต้องเป็นฝ่ายถูกคำพูดเหลวไหลของหลิ่วเฟยเยี่ยนชักเชิดไปเสียทุกครา?คราวนี้...ถึงรอบตระกูลซ่งของพวกตนบ้างแล้ว!“ดีสิเจ้าคะ ยากนักที่วันนี้จะอารมณ์ดีทั้งที ข้าเข้าครัวทำอาหารสักหลายอย่า
“อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เร่งด่วนขนาดนั้น อย่างไรเสียนี่ก็เย็นแล้ว กินมื้อค่ำก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”ซ่งจืออวี้อึ้งไป “เป็นเรื่องเร่งด่วนมากไม่ใช่หรือ?”เขาเห็นท่าทางอวิ๋นอ๋องเมื่อครู่ร้อนใจเสียขนาดนั้น ตอนนี้พอได้ยินคำว่ากินข้าวกลับบอกว่าไม่เร่งด่วนแล้ว?อวิ๋นอ๋องก็เป็นพวกเห็นแก่กินเหมือนเขางั้นหรือ?ฉู่อวิ๋นกุยโบกไม้โบกมือ ในใจลอบปาดเหงื่อ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้าชอบพูดล้อเล่นน่ะ เรื่องเร่งด่วนมากก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”ทุกคนเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก คิดว่าปกติอวิ๋นอ๋องก็มีนิสัยคาดเดาไม่ได้อยู่แล้วจึงไม่ได้คิดมากระหว่างที่ซ่งรั่วเจินเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง นางก็สั่งให้เฉินเซียงออกไปกระจายข่าวเฉินเซียงยิ่งฟังดวงตาก็ยิ่งเบิกโพลง รอยยิ้มสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้นางทำเรื่องแบบนี้ได้เจนจัดยิ่งนัก แค่คิดถึงฉากนั้นก็รู้สึกสาสมใจแล้ว!“คุณหนูวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้หมดจดแน่นอน”“เจ้าเป็นคนจัดการ ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว” ซ่งรั่วเจินยิ้มกล่าวสีท้องฟ้ามืดสลัวลง เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะจานแล้วจานเล่า ทุกคนมองอาหารที่เพียบพร้อมด้วยรูปรส
“สวรรค์ นี่จะอร่อยเกินไปแล้ว!”ฉู่อวิ๋นกุยลืมตากว้าง เขาเป็นถึงท่านอ๋อง รับประทานอาหารเลิศรสมาจนชิน มีของดีแบบไหนที่ไม่เคยกินบ้าง?ทว่า อาหารรสโอชาตรงหน้าเขากลับไม่เคยกินมาก่อนจริงๆ!พี่น้องตระกูลซ่งทั้งสี่คนก็ลอบตกตะลึงเช่นกัน ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยลิ้มรสมือน้องหญิงห้า เมื่อก่อนแม้ไม่เลว แต่รสชาติที่ได้ลิ้มชิมในชั่วขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นการลิ้มรสอย่างเพลิดเพลินเลยทีเดียว“ฝีมือทำอาหารของน้องหญิงห้าก้าวหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”ดวงตาซ่งอี้อันฉายแววประหลาดใจ วันนี้ได้ยินว่าน้องหญิงห้าเสนอตัวเข้าครัวทำอาหารรับรองท่านอ๋องก็รู้สึกประหลาดใจแล้ว ชั่วขณะนี้ได้ลิ้มรสแล้วก็เข้าใจว่าน้องหญิงห้ามีการเตรียมตัวมาก่อนนี่นา!ซ่งเยี่ยนโจวรับประทานอย่างมีความสุข ใช้ตะเกียบคีบชิ้นแล้วชิ้นเล่า “อาหารที่น้องหญิงห้าทำเลิศรสมากจริงๆ หลายปีมานี้ข้าไม่เคยกินปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!”“นี่คือปลาต้มผักกาดดอง” ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง วัตถุดิบอาหารยุคโบราณสดใหม่มาก แต่วิธีประกอบอาหารนั้นเรียบง่ายเกินไปตอนที่นางเพิ่งทะลุเข้ามาในนิยายก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เริ่มโหยหารสชาติที่เคยชอบกิ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉู่จวินถิงก็บอกให้คนนำของขวัญมา“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของพวกท่าน นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของข้า”หลิ่วหรูเยียนเห็นอย่างนั้นก็สบตากับซ่งรั่วเจินแล้วรีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง วันนี้ท่านช่วยพวกหม่อมฉันไว้มากแล้ว แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้น ยังจะรับของพวกนี้ได้อย่างไร?”“วันนี้ก็แค่เรื่องเล็กน้อยแค่ยกมือเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”“จะว่าไปแล้ว สองวันก่อนทำให้รั่วเจินได้รับความตกใจเพราะข้า ข้ารู้สึกละอายใจมาตลอด คิดไม่ถึงว่าหลังจากรั่วเจินเข้าวังไปแล้วยังช่วยทำให้ความปรารถนาของเสด็จย่าเป็นจริง”“วันนี้ข้าไม่เพียงมาขอบคุณ แต่ยังมาขออภัยด้วยเช่นกัน”สายตาฉู่จวินถิงมองคนตรงหน้าโดยไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้จัดการเรื่องราวให้ดีจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดเหล่านี้ ขอให้ทุกท่านวางใจได้ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว”พี่น้องตระกูลซ่งทั้งสี่คนได้ยินดังนั้นก็สบตากัน ความไม่พอใจเล็กๆ ในจิตใจก็สลายไปด้วยเช่นกันฉู่อ๋องทะนงในตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้สามารถเป็นฝ่ายกล่าวขออภัยต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้ ทั้งยังอธิบายเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด