สีหน้าซ่งรั่วเจินกับลั่วชิงอินเผยความสลดใจออกมา พวกตนอยู่เมืองหลวงยังดีอยู่ แต่สำหรับชาวบ้าน นั่นคือฟ้าได้ถล่มลงมาแล้วจริงๆ……วันนี้เมิ่งชิ่นออกมาไหว้พระขอพรที่วัดกับมารดาและญาติลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เช้าตรู่นางมองยันต์คุ้มกายในมือ คิดถึงคำกำชับของซ่งรั่วเจินเมื่อวานนี้จึงพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เก็บไว้กับตัวอย่างดีแต่ในใจนางอดสงสัยไม่ได้ วันนี้ไปไหว้พระขอพรที่วัด ระหว่างทางก็มีองครักษ์ติดตาม จะประสบอันตรายได้อย่างนั้นหรือ?เมื่อคนตระกูลเมิ่งเดินทางขึ้นเขา ระหว่างทางก็พบว่ามีคนจำนวนมากมาขอทานอยู่ที่นั่น ทุกคนล้วนหน้าเหลืองตัวซูบผอมดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก“ได้ยินว่าทางใต้เกิดภัยน้ำท่วม ชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่จึงมีผู้อพยพกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองหลวง ในเมื่อวันนี้ได้มาเจอแล้วก็ทำทานให้สักหน่อยเถอะ”มารดาของเมิ่งชิ่นเห็นภาพนั้นแล้วก็บังเกิดจิตเวทนาจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นไปให้แต่พอผู้อพยพเหล่านั้นเห็นอย่างนั้นก็ราวกับเสียสติ กรูเข้ามายื้อแย่งกันจนทำให้เมิ่งฮูหยินสะดุ้งตกใจ องครักษ์จวนสกุลเมิ่งรีบเข้ามาคุ้มครองเมิ่งฮูหยินและเมิ่งชิ่น“ฮูหยินระวังด้วย ผู้อพยพเหล่านี้แต่ละคนขัดส
แต่เด็กหญิงคนนั้นเหมือนจะตกใจจนเสียขวัญ เอาแต่ร้องไห้ร่ำร้องเสียงดังว่า “ข้าไม่ไปจากท่านแม่! ข้าไม่ไปจากท่านแม่!”เมิ่งชิ่นสีหน้าเย็นชา คิดไม่ถึงว่าความหวังดีของนางกลับได้มาเจอกับคนไม่รู้คุณคนเช่นนี้!ข้างล่างนั่นเต็มไปด้วยเศษหินและกิ่งไม้ ถ้าตกลงไปเกรงว่าคงไม่รอดต่อให้โชคดีรักษาครึ่งชีวิตไว้ได้ เกรงว่าก็คงจะเสียโฉมไปจนถึงขั้นพิการ แค่คิดนางก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย“สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจริงๆ จะต้องเป็นเพราะปกติทำบุญสั่งสมกุศลไว้มากเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นคนอื่นตกลงไป ผลลัพธ์คงเลวร้ายสุดคาดคิด”เมิ่งฮูหยินดึงมือเมิ่งชิ่นมาตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จิตใจสั่นสะท้าน แม้แต่ไหว้พระก็ไม่มีอารมณ์ไปแล้วจึงคิดจะลงจากเขาเมิ่งชิ่นได้ยินอย่างนั้นก็ล้วงยันต์คุ้มกายในอกเสื้อของตัวเองออกมาโดยสัญชาตญาณ แล้วก็พบว่ายันต์คุ้มกายที่เดิมทียังสมบูรณ์ดี ยามนี้กลับเป็นสีดำเหมือนถูกเผามากระนั้น...นางตกตะลึง เป็นรั่วเจินช่วยนางไว้!มิน่าเล่าเมื่อวานนางถึงกำชับให้ตนเองพกยันต์คุ้มกายติดตัวเอาไว้ คงทำนายไว้แล้วว่าวันนี้ตนเองจะประสบอันตราย ยันต์นี้...จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
“หนึ่งในนั้นมีร้านค้าค่อนข้างใหญ่ ข้าใช้เปิดร้านขายผ้า บางกิจการยังดำเนินการอยู่ แต่มีอยู่สองร้านที่ไม่ได้ดำเนินกิจการชั่วคราว ข้าตั้งใจว่าจะเปิดร้านขายของว่าง”“ร้านค้าบนถนนฝานหรงเป็นของพวกเราหมดแล้ว?”ซ่งจิ่งเซินเบิกตากว้าง จากไปแค่พักเดียว ทำไมกิจการของครอบครัวตนเองที่เมืองหลวงจึงดีวันดีคืนขนาดนี้?“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณพี่รอง” ซ่งรั่วเจินชี้ไปที่ซ่งอี้อัน “เป็นค่าชดเชยที่ได้รับมาเพราะพี่รองได้รับความเจ็บช้ำใจใหญ่หลวงยังไงล่ะ”ซ่งอี้อัน “...”ซ่งจิ่งเซินพลันเข้าใจแล้ว ตบบ่าซ่งอี้อันเบาๆ “พี่รอง อย่าเศร้าไปเลย คนทั่วไปไม่ได้รับค่าชดเชยเหมือนท่านหรอกนะ”ซ่งอี้อันปรายตามองเขา “ก็จริง อย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นล้างผลาญ”ซ่งจิ่งเซิน “...”ซ่งรั่วเจินเห็นซ่งจิ่งเซินวางหลุมพรางดักตัวเองอีกแล้วก็แอบทำตัวลีบอย่างเงียบๆ เจ้าของร่างเดิมต่างหากที่เป็นพวกล้างผลาญที่สุดแล้ว!พอหันหน้ามาก็ได้ยินเฉินเซียงเอ่ยว่า “คุณหนู แม่นางอวิ๋นมาหาท่านเจ้าค่ะ”“ไป พวกเราไปดูกันเถอะ”ซ่งรั่วเจินไปหาอวิ๋นเนี่ยนชูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คิดว่าช่วงนี้ยุ่งเกินไป เรื่องในจวนเกิดต่อเนื่องเรื่องแล้วเรื่องเล
ซ่งรั่วเจินสังเกตเห็นรอยตบบนใบหน้าอวิ๋นเนี่ยนชูก็รู้สึกโกรธแค้นแทนสหายสนิทใต้เท้าอวิ๋นลำเอียงรักพวกอวิ๋นซีหว่านสองแม่ลูกมาโดยตลอด แม้ว่าอวิ๋นเนี่ยนชูจะเป็นบุตรีภรรยาเอก แต่กลับไม่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูเท่าอวิ๋นซีหว่านบัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกอวิ๋นซีหว่านหมายมั่นปั้นมือให้อวิ๋นเฉิงเจ๋อแต่งงานกับนางเดิมนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นเฉินเจ๋อกับอวิ๋นเนี่ยนชูก็มีข้อจำกัดมากมายอยู่แล้ว ยามนี้มาเกิดเรื่องเช่นนี้อีกก็ยิ่งตึงมือกว่าชาติที่แล้วมากนัก“รั่วเจิน เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี?” อวิ๋นเนี่ยนชูดวงตาแดงเรื่อ “ในใจท่านพ่อไม่มีลูกสาวอย่างข้าอยู่ด้วยซ้ำ ในสายตาท่านพ่อ ข้า ญาติผู้พี่รวมถึงท่านแม่เทียบกับพวกนั้นไม่ได้เลยสักนิด!”“ญาติผู้พี่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่? เขามีท่าทีอย่างไร?”“ท่านพ่อเพิ่งมาพูดเรื่องนี้กับท่านแม่วันนี้ ญาติผู้พี่ออกไปข้างนอกยังไม่กลับมา คิดว่าคงยังไม่รู้”“ญาติผู้พี่กตัญญูมาโดยตลอด เขาคิดมาตลอดว่าถ้าไม่ได้ท่านพ่อท่านแม่รับเลี้ยงเขา แค่เขามีชีวิตก็ลำบากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเรียนหนังสือหรือรับราชการ ข้ากลัวว่า...”อวิ๋นเนี่ยนชูลดสายตาลง นางพลันนึกเสี
“ข้ามิได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้นักหรอก คนเหล่านั้นต่างพากันตัดสินข้าว่าไม่ดีเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หากแต่งเข้าไปแล้วก็คงมิวายมีแต่จะเจ็บช้ำน้ำใจ ทว่าระยะนี้มารดาของข้าเอาแต่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่คลาย”อวิ๋นเนี่ยนชูถอนหายใจ ใบหน้าเต็มด้วยความหมองหม่น “พวกเราก็ช่างโชคร้ายกันเสียจริงๆ เหตุใดอวิ๋นซีหว่านจึงต้องเป็นน้องสาวสายรองของข้าด้วย”“วันนี้เมื่อยามที่ข้าออกมายังได้ยินสาวใช้ของนางบอกมาว่าคืนนี้จะตระเตรียมมื้อพิเศษเอาไว้มากหน่อย ด้วยจะเชิญชวนญาติผู้พี่ของข้าไปพูดคุย เจ้าคิดว่าข้าจะนิ่งดูดายอยู่เพียงในห้องโดยมิทำสิ่งใดได้หรือ?”ซ่งรั่วเจินรู้ดีว่าเนี่ยนชูหาใช่ผู้ที่จะสะกดกลั้นระงับอารมณ์ของตนเอาไว้ได้ จึงกล่าว “เช่นนั้นมิสู้ไปถามญาติผู้พี่ของเจ้าโดยตรงเลยเล่า”“ให้ข้าน่ะหรือไปถามเขาโดยตรง?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงักงัน “แล้วข้าควรจะพูดว่าอย่างไรเล่า?”“เจ้าก็เพียงพูดออกไปอย่างที่ใจคิด บัดนี้สถานการณ์ก็มาถึงขั้นนี้เสียแล้ว หาได้มีสิ่งใดจำเป็นต้องปิดบังอีก”ซ่งรั่วเจินยักไหล่ “อวิ๋นซีหว่านเป็นน้องสาวสายรองของเจ้า นางก็ยังมีทาบทามหมั้นหมายบ้างแล้ว ทางบ้านของเจ้าเองคงตระเตรียมคู่ครอง
ครู่ก่อนนี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อเพิ่งจะกลับไปได้ไม่นานก็พบท่านน้าเข้าเสียก่อน ท่านน้าจึงให้เขามารับญาติผู้น้องยังสกุลซ่งเขาเห็นสีหน้าอ่อนล้าของท่านน้า และยิ่งเมื่อได้รู้ว่าญาติผู้น้องถูกตบตีเข้าให้ ก็รู้ได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วหลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเด็กรับใช้แล้ว เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่ออวิ๋นซีหว่านไม่อาจหาคู่ครองได้แล้วจะเกิดอุตริหันเหหาเขาขึ้นมาได้ทั้งที่ปกติแล้วอนุอวิ๋นมีแต่จะดูถูกดูแคลนเขา ครั้งเขายังเยาว์วัยก็ยังเคยเยาะเย้ยท่านน้าที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้จึงคิดอยากรับอุปการะเขาเป็นบุตรชายขึ้นมาจนท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สำเร็จไม่ใช่หรือ?ยามนี้ชื่อเสียงย่อยยับลงแล้วจึงหวนนึกถึงเขาขึ้นมาหรืออย่างไร น่าขันสิ้นดี!ท่านน้าบอกเอาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้เขาแต่งกับอวิ๋นซีหว่านได้ เขาเองก็เข้าใจดีว่าท่านน้าหวังดีต่อตนมากเพียงใด ทว่าเมื่อคิดอยากจะบอกปัดปฏิเสธกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สุดท้ายแล้ว...เหตุผลที่ท่านอาเขยรับอุปการะเขาไว้ก็เพราะเห็นแก่ท่านน้า บัดนี้เขาสามารถช่วยกู้สถานการณ์น่าคับข้องให้กับท่านอาเขยได้พอดิบพอดี ฝ่ายนั้นย่อมจะต้องคิดหาวิถีทางให้ตัวเขายอมตกป
อวิ๋นเนี่ยนชูยักไหล่ “สกุลซ่งเองก็มีรถม้า อีกทั้งแม้วันนี้ข้าจะพักอยู่ที่จวนสกุลซ่งมิได้กลับบ้าน ก็หาได้มีปัญหาใดไม่” นางสนิทสนมกับซ่งรั่วเจินตั้งแต่เยาวว์วัย ก่อนนี้ก็เคยพักค้างคืนที่จวนสกุลส่งอยู่บ้าง เพียงแต่ครั้นมีญาติผู้พี่มา นางก็คิดแต่จะหาโอกาสได้พบเจอเขาให้มากหน่อย โอกาสได้พักค้างคืนที่จวนสกุลซ่งจึงน้อยตามลงไป“เจ้าอยากให้คุณชายสามสกุลซ่งส่งเจ้ากลับไปอย่างนั้นหรือ?” อวิ๋นเฉิงเจ๋อเอ่ยถามเสียงเรียบ สิ่งที่อวิ๋นเนี่ยนชูคิดอยู่ตอนนี้มีเพียงถ้อยคำของซ่งรั่วเจินที่บอกเมื่อนางกลับไปแล้วให้เปิดอกเผยความในใจของตนต่อญาติผู้พี่ ทว่าก่อนนี้นางก็เคยรวบรวมความกล้าพูดบอกญาติผู้พี่ออกไปแล้วเช่นกัน ทว่าผลลัพธ์ก็คือการถูกปฏิเสธตอนนั้นเขาว่าอย่างไรแล้วนะ?ญาติผู้พี่ว่านางยังเยาว์อยู่นัก ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการชอบพอใครสักคนบัดนี้นางมิใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว แม้นางจะพยายามติดสอยห้อยตาม ลองใจเขาไม่รู้กี่หลายต่อหลายครั้ง ทว่าสิ่งที่ได้รับก็มีแต่ท่าทีเย็นชาเป็นคำตอบกลัวก็แต่เพียงแม้คืนนี้จะพูดออกไปแล้ว ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิมอวิ๋นเฉิงเจ๋อเห็นทีอวิ๋นเนี่ยนชูคล้ายจะ
“ท่านพี่ เรื่องมิได้ง่ายดายเช่นนั้น วันนี้ข้าเพียงแค่พูดขึ้นมาก็ถูกท่านแม่บอกปัดเสียแล้ว ท่านพ่อเองก็โกรธมากยิ่งนัก”“ท่านเองก็ใช่ว่าจะมิรู้ว่าอวิ๋นซีหว่านและมารดาของนางเจ้าแผนการมากเพียงใด บัดนี้นางยังมิอาจแต่งออกไปมิได้ ย่อมจะต้องทำทุกวิถีทางให้ได้พึ่งใบบุญจากท่าน หากถึงเวลานั้นแล้ว...” สายตาของอวิ๋นเฉิงเจ๋อจรดลงบนใบหน้าของอวิ๋นเนี่ยนชู แม้เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้อาการบวมช้ำลดน้อยลงแล้ว ทว่าก็ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่จางๆ “ใบหน้าของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”อวิ๋นเนี่ยนชูชะงักไปเล้กน้อย ก่อนมือจะเผลอยกขึ้นแตะจับใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว ก่อนแววตาจะหมองหม่นลง“ข้ามิเป็นไร รั่วเจินทายาให้ข้าแล้ว พรุ่งนี้คงจะหายดีแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาของอวิ๋นเฉิงเจ๋อเข้มข้นด้วยอารมณ์ ทว่าน้ำเสียงกลับนุ่มนวลอ่อนโยนเป็นยิ่ง “ต่อไปเจ้ามิจำเป็นต้องออกหน้ารับแทน เจ็บตัวมามิคุ้มกันหรอก”“ท่านพี่ ท่านไม่อยากให้ข้าไปยุ่งเรื่องของท่านหรือ?” อวิ๋นเนี่ยนชูโพล่งถามอวิ๋นเฉิงเจ๋อหัวเราะเบาๆ “แม่นางเช่นเจ้าบาดเจ็บบนใบหน้ามิใช่นับเป็นเรื่องใหญ่หลวงหรอกหรือ? เรื่องเช่นนี้หากจะต้องพูดก็ต้องให้ข้าเป็นฝ่ายไปพูด บุรุ
พี่ใหญ่ถูกลอบโจมตีจนเกือบไม่รอดชีวิตกลับมา หลังกลับมาแล้วขาทั้งสองข้างยังพิการ ท่านพ่อก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยถ้ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...“ส่วนจิ่งเซิน เขาได้ทำการค้าบ่อยๆ เชี่ยวชาญการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน พวกเจ้าเดินไปทางไปด้วยกันสามารถปลอมเป็นกลุ่มพ่อค้าที่ไปค้าขาย ผู้คนจะได้ไม่สงสัยโดยง่าย” ซ่งเยี่ยนโจวกล่าวซ่งจิ่งเซินพยักหน้ารัวๆ “ใช่แล้ว มีข้าอยู่ด้วย สามารถตัดความยุ่งยากไปได้มากที่สุดแล้ว!”ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องนี้ดี ยามออกไปข้างนอก การมีไหวพริบในการจัดการเรื่องราวเฉพาะหน้าสามารถลดปัญหาได้ นอกจากนี้ ซ่งจิ่งเซินก็ยังมีประสบการณ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสดงละครด้วยซ้ำ แค่นำกลุ่มพ่อค้าออกเดินทางก็สามารถตบตาผู้คนได้อย่างง่ายดายกู้หรูเยียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมากจึงกล่าวว่า “เจินเอ๋อร์ ทำตามที่พี่ใหญ่เจ้าพูดเถอะนะ? เช่นนี้พวกข้าจะได้คลายใจ”ซ่งรั่วเจินเหลือบมองพวกซ่งจืออวี้สองฝาแฝดก็เห็นพวกเขาพยักหน้าเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนลูกไก่จิกข้าวสารกระนั้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ งั้นประเดี๋ยวค่อยมาดูกันว่าต้องเตรียมสิ่งใดไปบ้าง”“น้องหญิงห้า เรื่องนี้เจ้ายกให้เป็นหน้าที
ซ่งรั่วเจินตัดสินใจไปรับบิดากลับมา ก่อนออกเดินทางย่อมต้องเตรียมสิ่งของมากมาย แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องบอกคนในครอบครัวเสียก่อนหลังนางบอกเรื่องที่จะเดินทางไปชายแดน คนในจวนล้วนอึ้งตกใจกันหมด“เจินเอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าจะไปชายแดนด้วยตัวเอง?” กู้หรูเยียนมีสีหน้าตกตะลึง “ก่อนนี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลย”“น้องหญิงห้า ถ้าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านพ่อก็ให้พี่ชายอย่างพวกข้าไปดีกว่า ผู้หญิงแบบเจ้าไปสถานที่ห่างไกลปานนั้นจะอันตรายเกินไปแล้ว” ซ่งจืออวี้เอ่ยอย่างร้อนใจซ่งจิ่งเซินพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเขารับราชการอาจไม่สะดวก ข้ามีประสบการณ์เดินทางโชกโชน ให้ข้าไปดีกว่า!”“ความจริงสาเหตุที่ข้าจะเดินทางไปเป็นเพราะข้าทำนายดวงชะตาให้ท่านพ่อ”เมื่อซ่งรั่วเจินเอ่ยวาจาประโยคนี้ออกมา สีหน้าทุกคนในห้องล้วนเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าจะเกิดปัญหาอันใด?“ก่อนนี้ข้าก็เคยทำนายเหมือนกัน ดวงชะตาของท่านพ่อปลอดภัยไร้อันตราย สามารถกลับมาได้อย่างราบรื่น แต่ช่วงนี้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น น่าจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก”“ถ้าไม่ไป ข้ากังวลว่าอาจมีอันตราย ดังนั้นจึงคิดว่าจะไปด้วยตั
“ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ค้นตัวไต้ซือเทียนจีใช่หรือไม่?” ซ่งรั่วเจินถามซ่งเยี่ยนโจวพยักหน้า “ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นรีบร้อนเกินไป พวกข้าไม่เปิดโอกาสให้เขา แต่ว่ากันตามปกติแล้ว ของที่มีค่ามากมักจะไม่พกติดตัวไว้”“สิ่งสำคัญที่สุดมักไม่พกติดตัวก็จริง แต่คนในวงการพวกข้า โดยเฉพาะคนชั่วร้ายอย่างเขา จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ข่มขู่อย่างแน่นอน”คิ้วบางของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นน้อยๆ ต่อให้เคยเจอไต้ซือเทียนจีเพียงครั้งเดียว แต่ก็ทราบว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่งกระทำเรื่องชั่วช้ามาหลายปีขนาดนี้แต่ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แล้วจะไม่มีวิธีปกป้องตัวเองเลยได้อย่างไร?กู้ชิงฉือได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปข้างกายไต้ซือเทียนจีแล้วเริ่มค้นหาอย่างละเอียด การค้นตัวครั้งนี้พบว่านอกจากยันต์ที่อ่านไม่ออกพวกนั้นแล้วยังมียาลูกกลอนอีกสองเม็ด“ไม่มีของอย่างอื่น แต่มีหินก้อนหนึ่ง นี่คือหยิบติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”กู้ชิงฉือมองก้อนหินในมือ หินก้อนนี้แม้พอจะนับได้ว่ามนเกลี้ยง แต่ก็ดูแตกต่างจากก้อนหินที่พบเห็นได้ทั่วไปบริเวณริมแม่น้ำมากเกินไป“ข้าขอดูหน่อย”ซ่งรั่วเจินก้าวเร็วๆ เข้ามาหา มองก้อนหินในมือแ
เมื่อซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยปากสอบถาม สายตาทุกคนก็ต่างจับจ้องมายังซ่งรั่วเจิน พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าบุ่มบ่ามรบกวนแล้วฉู่จวินถิงก็เป็นห่วงดุจเดียวกัน เขารู้ว่าวิชาแพทย์ของรั่วเจินนั้นไม่ธรรมดา เก่งกาจกว่าหมอหลวงในวังหลวงมากนัก ถ้านางบอกว่าช่วยไม่ได้ก็แสดงว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ“ยังช่วยได้”ซ่งรั่วเจินพูดโดยที่มือยังเคลื่อนไหวไม่หยุด นางลังเลไปชั่วครู่ก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมายัดเข้าไปในปากของชายผู้นั้นซ่งเยี่ยนโจว “...” อีกแล้ว?ซ่งรั่วเจินรู้ว่าตนเองนำสิ่งของมากมายติดตัวมาเช่นนี้จะทำให้คนสงสัย แต่ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า อย่างไรเสียแค่พูดจาส่งเดชไม่กี่ประโยคก็สามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้แล้วตั้งแต่นางทะลุมิติมาก็มีมิติขนาดเล็กเป็นของตัวเอง ยาเอย ยันต์เอย ยามปกติล้วนเก็บไว้ในนั้น นับว่าสะดวกมากทีเดียวหลังจากชายหนุ่มที่มีท่าทางอ่อนแอสุดขีดกลืนยาเม็ดนั้นลงไปก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดแต่เดิมบรรเทาลงบ้าง การหายใจก็ไม่ได้ยากลำบากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว“ส่งคนไปหารถม้าหรือยัง?” ฉู่จวินถิงถามจ้าวเจียงพยักหน้า “เรียนท่านอ๋อง ส่งคนไปจัดการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าบนบัญชีรายชื่อมีอยู่สิบกว่าคน ไม่รู้อาการของคนอื่นร้ายแรงหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถาม“ในหมู่คนเหล่านั้นมีลูกสะใภ้ไม่เคารพแม่สามี คนแก่อายุมากแล้ว คนจึงตายไป แต่มากที่สุดยังเป็นความขัดแย้งของอนุภรรยาและภรรยาเอก”“คนส่วนใหญ่ล้วนคล้ายพระชายาเซียงอ๋อง ตกอยู่ในฝันร้าย ยังป่วยหนักอีกด้วย อนุอวิ๋นนับว่าลงทุนลงแรงมากทีเดียว” ฉู่จวินถิงพูด“อนุอวิ๋นเป็นคนโหดเหี้ยมไม่ผิดไปดังคาด แต่ยังเสแสร้งใจดีมีเมตตา ปรากฎว่ามีเพียงใต้เท้าอวิ๋นตัวโง่งมคนนี้ถึงจะหลงเชื่อ”ซ่งรั่วเจินไม่แปลกใจ ความยากในการเลี้ยงดูผีทวงชีวิตนั้นมากกว่าผีน้อยตนอื่นมาก แม้ว่าไต้ซือเทียนจีมีความสามารถอยู่บ้าง กลับไม่สามารถเลี้ยงผีทวงชีวิตหลายตนได้ตนนี้เป็นเขาใส่ใจเลี้ยงดู ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จึงสนิทสนมกันมากจากนั้นยามทั้งคู่เดินผ่านอุโมงค์ไปจนถึงฝั่งหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นสายหนึ่งชำแรกจมูกพวกซ่งเยี่ยนโจวยืนอยู่ข้างหน้า สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมาก ส่วนซ่งรั่วเจินเองก็สังเกตเห็นศพแต่ละร่างใต้พื้น หนึ่งในนั้นมีนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เห็นชัดว่าคือไต้ซือเทียนจี“นี่คือ...ตายทั้งหมดแล้ว?”“เดิมที
“ไปเส้นทางใต้ดิน”ไต้ซือเทียนจีไม่คิดมากนัก พาทุกคนไปยังเส้นทางใต้ดิน“ไต้ซือ เส้นทางไต้ดินนี้ไม่สามารถเดินทางตามสะดวกได้!”ทุกคนมองเส้นทางใต้ดิน ใบหน้าเผยความลังเล ก่อนหน้านี้เคยพูดมาก่อนหากไม่แจ้ง จะไม่สามารถใช้เส้นทางใต้ดินนี้ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นจะปล่อยให้ถูกคนพบไม่ได้!“บัดนี้หมดหนทางแล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนเช่นไร? ในเมื่อเขาแน่ใจว่าพวกเราอยู่ในพื้นที่นี้ จะต้องแจ้งคนอื่นให้เข้ามาปิดล้อมแน่”“หากพวกเราไม่หนี ก็มีเพียงต้องตายเท่านั้น!”สีหน้าไต้ซือเทียนจีเคร่งขรึม เขาย่อมรู้ว่าเส้นทางใต้ดินนี้หมายความว่าอะไร แต่ตอนนี้นอกจากตัวเลือกนี้แล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก!ทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ ไปอาจไม่ตาย แต่ไม่ไปจะต้องตายแน่!“ไป!”ครู่ต่อมา พวกซ่งเยี่ยนโจวมองเห็นกิ่งไม้หยุดหน้าห้องหนึ่ง จากนั้นเสียงประตูใหญ่ถูกเปิดออกดัง “แอ๊ด” ภายในสายตาเปี่ยมความตกตะลึงพรึงเพริด“กิ่งไม้นี้ถึงขั้นสามารถเปิดประตูได้?”จ้าวเจียงอ้าปากกว้าง คิดเพียงว่าหลังจากวันนี้ผ่านพ้นไปไม่ว่าคนอื่นพูดเรื่องเหลือจะเชื่อมากเพียงใดเขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว!เพราะเรื่องแปลกประหลาดที่สุดถูกเขาพบแล้ว!
นางหยิบกิ่งไม้หนึ่งกิ่งขึ้นมาจากพื้น จากนั้นทุกคนได้เห็นกิ่งไม้นั้นลอยขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไปกว่านั้นยังหันไปที่ทิศทางหนึ่ง ทันใดนั้นเบิกตากว้าง“เยี่ยนโจว พวกเราดีชั่วอย่างไรก็รู้จักกันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าน้องสาวของท่านยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”จ้าวเจียงเผยสีหน้าตกตะลึง ก่อนหน้านี้ได้ยินก็คิดว่าเร้นลับเหลือเกิน จนกระทั่งได้เห็นเองกับตาวันนี้ กลับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดฝีมือนี้ช่างมหัศจรรย์โดยแท้!ซ่งเยี่ยนโจว “...” จะให้พูดได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเขาก็เคยเห็นเป็นครั้งแรก?ที่ผ่านมาใช่ว่าไม่เคยเห็นน้องหญิงห้าแสดงฝีมือมาก่อน แต่นั่นก็แค่เขียนยันต์ไม่กี่ใบเท่านั้น ยามได้เห็นน้องหญิงห้าช่วยอนุอวิ๋นกำจัดความชั่วร้าย ก็เห็นเพียงเผายันต์หนึ่งใบ!ได้เห็นฉากนี้ รู้ว่าแตกต่างจากที่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้นี่...นับเป็นการเคลื่อนที่กลางอากาศหรือไม่?“ไล่ตามไป!”กิ่งไม้ขยับไปข้างหน้าไม่นับว่าช้า ฉู่จวินถิงรีบเอ่ยเตือนทุกคนให้ไล่ตามพวกซ่งเยี่ยนโจวไม่กล้ารอช้า ใช้ความเร็วที่สุดไล่ตามไป การไล่ตามไปครั้งนี้กลับพบความมหัศจรรย์ กิ่งไม้นั้นคล้ายมีตา ยิ่งไปกว่านั้นยังหน
ฉู่จวินถิงเลื่อนสายตาไปอย่างแปลกใจ ก็ได้เห็นดวงตาทอประกายระยับของแม่นางคนนี้ที่กำลังเดินมาหยุดต่อหน้าตน ภายในไม่มีความกลัวหรือรังเกียจเลยสักเศษเสี้ยว มีเพียงความตกตะลึงระคนเลื่อมใส“ท่านอ๋อง วิชาตัวเบาของท่านยอดเยี่ยมมาก ภายภาคหน้าสามารถสอนหม่อมฉันได้หรือไม่?”ฉู่จวินถิงหลุดหัวเราะออกมา ภายในสายตากลับเปล่งประกาย “ได้”บรรยากาศตึงเครียดรอบกายเปลี่ยนไปตามคำพูดของซ่งรั่วเจิน ทุกคนหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แม่นางคนนี้น่าสนใจมาก กล้าหาญไม่ธรรมดาหากได้อยู่กับท่านอ๋อง นี่จะต้องเหมาะสมไม่ธรรมดาแน่!“คนหนีไปหมดแล้ว”ซ่งเยี่ยนโจวขมวดคิ้วแน่น อีกฝ่ายเห็นว่าพวกเขามาแล้วก็หนีไปในทันที เมื่อครู่ไม่ทันได้ไล่ตาม บัดนี้ต้องตามรอยเบาะแสใหม่อีกครั้งแล้ว“วันนี้ไต้ซือเทียนจีหนีไม่รอดหรอกเจ้าค่ะ!”ใบหน้าซ่งรั่วเจินเผยแววมั่นใจในตนเอง นางหยิบยันต์ออกมาหนึ่งปึกมอบให้ฉู่จวินถิง “ท่านอ๋อง ท่านให้ทุกคนพกยันต์ไว้ให้ดี จะได้ไม่ถูกวิชาพรางตาหลอกอีก”ซ่งเยี่ยนโจวเห็นเวลาเพียงชั่วพริบตาน้องสาวก็นำยันต์ออกมามากถึงเพียงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมความสงสัย ตกลงนางใส่ของเหล่านี้ไว้ที่ใด?เพียงออกจากบ้านก็นำของมา
“ชิ้ง!”กู้ชิงฉือสัมผัสได้ว่ากระบี่คมสายหนึ่งผ่านข้างกายตนไป ไรผมช่อหนึ่งถูกตัด ตกตะลึงพรึงเพริดภายในใจ“นี่ให้เจ้า”ฉู่จวินถิงลังเลไปครู่หนึ่ง ยัดยันต์คุ้มภัยใส่มือกู้ชิงฉือ“เก็บไว้ให้ดีแทนข้าด้วย!”ครู่ต่อมา กู้ชิงฉือก็มองเห็นคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ภายในสายตาสั่นสะท้าน ก้มหน้ามองดู นี่คือกระดาษยันต์สีเหลืองหนึ่งใบ“ท่านอ๋อง ท่านยกให้ข้า เช่นนั้นท่านจะทำเยี่ยงไร!”ไต้ซือเทียนจีเห็นฉู่จวินถิงมอบยันต์ให้กู้ชิงฉือ ภายในสายตาสะท้อนแววตกตะลึง ฉู่อ๋องอยู่ภายนอกได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนไม่กะพริบตา ถึงขั้นมอบของป้องกันชีวิตให้ผู้อื่น?คนผู้นี้...มีภูมิหลังเช่นไร?“ไม่ต้องห่วงข้า”ฉู่จวินถิงหลับตาลง ได้ยินเสียงฝ่าอากาศรอบด้าน แยกแยะตำแหน่ง“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!”พลังอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ฉู่จวินถิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ราวกับมังกรเคลื่อนไหวก็มิปาน หลบหลีกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ดาบในมือจะพุ่งแทงออกไปอย่างฉับพลัน“อ๊าก!”เสียงแผดร้องสายหนึ่งดังขึ้น ศพร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าทุกคน“ไอ้พวกชั่ว!”ภายในสายตาฉู่จวินถิงสะท้อนความอำมหิต คนผ่านเข้าไปกลางตรอกเล็ก ทั้งๆ