“เจ้าค่ะ คุณชาย”ฮูหยินผู้เฒ่าหลินไม่ได้เพิ่งจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกที่ถอนหมั้นก็เป็นเช่นนี้ คนเป็นโขยงบุกเข้ามากวาดเอาสิ่งของในจวนที่สามารถนำไปได้ไปจนหมดตอนนี้ก็มาไม้นี้อีกแล้ว นี่คิดจะทำให้พวกนางไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนเลยงั้นรึ!ทันใดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลินก็ทรุดนั่งลงบนพื้นร่ำไห้โวยวายขึ้นมา“สวรรค์ ทุกคนมาดูเร็วเข้า ตระกูลซ่งคิดจะกดดันให้ครอบครัวพวกข้าไปถึงทางตันชัดๆ!”“ท่านโหว ข้าผิดต่อท่านจริงๆ แม้แต่จวนโหวก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เอาชีวิตข้าไปตอนนี้ยังดีเสียกว่า!”เสียงครึกโครมนี้ดึงดูดผู้คนบริเวณรอบๆ เข้ามา ก่อนหน้านี้ตระกูลหลินเกิดเรื่องติดต่อกัน ยามนี้เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหลินโวยวายอีกแล้วก็ห้อมล้อมเข้ามาอย่างอดไม่อยู่ทว่าคราวนี้ความสนใจของทุกคนกลับไม่ใช่เสียงร่ำไห้ร้องทุกข์ของฮูหยินผู้เฒ่าหลิน สิ่งที่พวกเขาสนใจยิ่งกว่าคือฉินซวงซวงกลับมาแล้วหรือนี่?“ฉินซวงซวงถูกคนจับชู้ได้คาเตียงแล้วแท้ๆ ต่อให้จวนสกุลฉินจะป่าวประกาศว่านางบริสุทธิ์ แต่ภรรยาดีๆ ที่ไหนจะขึ้นรถม้าชายอื่นตอนกลางค่ำกลางคืนกัน?”“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่านางนึกว่าเป็นรถม้าของฉู่อ๋องจึงขึ้นไป ไม่รู้จัก
หลินจือเยว่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ซ่งรั่วเจิน เจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”“ไม่พอใจก็ไปแจ้งความจับข้าที่ศาลาว่าการสิ!” ซ่งรั่วเจินไม่กลัวแม้แต่น้อย “ข้าว่าท่านรีบคืนเงินที่เหลือโดยเร็วจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งความ”“เงินที่ท่านค้างอยู่เพียงพอให้ตัดสินโทษเนรเทศตั้งนานแล้ว ถ้ายังปฏิเสธไม่ยอมคืนเงิน ท่านก็รอให้ทางการมาจับกุมก็แล้วกัน!”เดิมนางก็คิดไว้เช่นนี้ แต่เห็นรัศมีตัวเอกของหลินจือเยว่กับฉินซวงซวงยังไม่หายไป แทนที่จะขับไล่ไปให้พวกเขามีโอกาสหวนคืนมาอีกครั้ง มิสู้ปล่อยให้อยู่ในเมืองหลวงต่อไปหากพบว่ามีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมา นางก็จะทำลายมันทันที!หลินจือเยว่สะท้านใจวาบ ถ้าถูกตัดสินโทษเนรเทศก็หมายความว่าจะไม่มีโอกาสคืนสู่ราชสำนักโดยสิ้นเชิงไม่ได้เด็ดขาด!ฉินซวงซวงตั้งท่าจะอาละวาด แต่กลับถูกหลินจือเยว่ดึงเอาไว้ “อดทนไว้จนกว่าคลื่นลมสงบ ตอนนี้ปล่อยให้พวกนั้นได้ใจไปก่อน รอพวกเราฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อไร ตระกูลซ่งได้เห็นดีกันแน่!”ฉินซวงซวงได้ยินอย่างนั้นก็ได้สติคืนมา นางถลึงตาใส่ซ่งรั่วเจินพลางกล่าว “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ! ข้าจะต้องคืนความอัปยศที่ได้รับในวันนี้กลับไปให้เจ้าไม่ช้าก็เร
“ย่อมต้องไปหาตระกูลฉินอยู่แล้ว” ซ่งรั่วเจินยิ้มกล่าวพวกเขาสบตากัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัยออกมาตระกูลฉิน...ถึงคราวหาความสงบไม่ได้อีกครั้งแล้ว“น้องหญิงห้า ก่อนหน้านี้เจ้าให้ข้าคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของฉินซวงซวงกับเหอเซียงหนิงไม่ใช่หรือ? ข้าพบเรื่องแปลกมากเรื่องหนึ่ง” ซ่งจืออวี้กล่าวซ่งจิ่งเซินแววตาวาววับ “ลองพูดมาซิ”“หลังจากฉินซวงซวงไปที่ตระกูลฉินก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบ ได้ยินว่าคุณชายใหญ่กับคุณชายรองตระกูลฉินล้วนโวยวายเพราะเรื่องนี้ แม้แต่ฉินเซี่ยงเหิงยังลงมือกับจ้าวซูหว่าน”“หลังฉินซวงซวงกลับมา สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองของตระกูลฉินถึงถูกรับตัวกลับมา จะว่าไปก็แปลกนัก ฉินซวงซวงไปแล้ว เหอเซียงหนิงกลับยังอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน”ซ่งรั่วเจินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ“ตอนนี้เหอเซียงหนิงยังอยู่ที่ตระกูลฉิน?”ซ่งจืออวี้พยักหน้า “เจ้าว่าแปลกไหม? หลังจากเหอเซียงหนิงก่อเรื่องที่ตรอกหย่งอันก็มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แม้แต่คนตระกูลเหอก็ยังตัดขาดกับนาง”“ฉินซวงซวงจะสนิทกับนางแค่ไหนก็ไม่มีทางปล่อยให้นางอยู่ในตระกูลฉินต่อไป นอกจากนี้ ถึงฉินซวงซวงจะยินดี ตระกูลฉินก็ไม่มีทางยอมรับ!”“ฉิน
ห้องครัวจัดเตรียมอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว คนทั้งสองจึงเดินทางไปยังศาลาว่าการยามนี้ที่ศาลาว่าการชุลมุนวุ่นวายยิ่ง โจรภูเขาที่จับมาได้กำลังรับการสอบสวน ยังมีชาวบ้านที่ก่อนหน้านี้ถูกแย่งชิงทรัพย์สินไปมาร้องทุกข์“ยุ่งขนาดนี้ พวกเราคงไม่ได้มารบกวนหรอกนะ?”ลั่วชิงอินไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เห็นคนข้างในไปๆ มาๆ บ้างลากคนไปสอบสวนโดยตรง ผู้หญิงสองคนอย่างพวกนางดูอยู่ผิดที่ผิดทางชอบกล“คงไม่เป็นไรหรอก”ซ่งรั่วเจินจูงมือลั่วชิงอินไปข้างๆ พยายามหลีกเลี่ยงไม่รบกวนคนอื่นให้มากที่สุด“แค่มาดูว่าพี่ใหญ่ยังปลอดภัยดีหรือไม่เท่านั้น ส่งของเสร็จก็กลับแล้ว ไม่รบกวนพวกเขาหรอก”“แม่นางซ่ง?”ทันใดนั้น น้ำเสียงยินดีเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นซ่งรั่วเจินเสสายตามองไปก็พบว่าผู้พูดคือผู้ติดตามของฉู่จวินถิง...อวิ๋นหยาง“ท่านมาหาท่านอ๋องของพวกข้าหรือ? ท่านอ๋องอยู่ข้างใน ข้าพาท่านไปก็แล้วกัน”ดวงตาทั้งสองของอวิ๋นหยางเป็นประกาย สะท้อนความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดซ่งรั่วเจิน “...” เผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ยากนักที่จะเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้ มิฉะนั้นก็จะดูเหมือนนางไร้น้ำใจเกินไป“ข้านำอาหารมาให้ท่านอ๋องกับพี่ให
“ดีสิ ข้าหิวอยู่พอดีเลย ได้รับอานิสงส์จากใต้เท้าซ่งแล้วสิ”ฉู่จวินถิงยิ้มออกมา ลักษณะดุจพญายมบนภูเขาน้ำแข็งในตอนแรกอันตรธานหายไปหมดสิ้น สาวเท้าเดินตรงไปถึงข้างกายซ่งรั่วเจิน“แม่นางซ่งช่างเอาใจใส่จริงๆ ตั้งใจเตรียมมาเยอะขนาดนี้เชียว”ฉู่จวินถิงชำเลืองมองสิ่งของในกล่องอาหาร เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ปริมาณสำหรับคนเดียว รอยยิ้มในดวงตาเจิดจ้ากว่าเดิมหลายส่วนซ่งรั่วเจินย่อมเข้าใจความหมายของฉู่จวินถิง ไม่อาจปฏิเสธว่าตอนที่นางให้คนเตรียมอาหารไว้ก็นับรวมส่วนของเขาเข้าไปด้วยเช่นกัน แต่ถูกมองออกแบบนี้ก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้างผู้คนที่รอชมดูเรื่องสนุกกลับเห็นฉู่อ๋องที่พริบตาก่อนยังมีท่าทางน่าเกรงขามไม่อาจล่วงเกิน พริบถัดมากลับยิ้มออกมาเสียแล้ว ภูเขาน้ำแข็งละลายเร็วเกินไปจนพวกเขาตามไม่ทันนี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน?ฉู่อ๋องคุยด้วยง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด?ซ่งรั่วเจินสัมผัสได้ถึงสีหน้าแปลกๆ ของคนรอบข้างก็อดนึกสงสัยไม่ได้ทว่าฉู่จวินถิงกวาดสายตาคมกริบมองไป คนอื่นๆ พลันก้มหน้าลง ต่างคนต่างสนใจธุระของตัวเอง แสร้งทำเป็นไม่เห็น“ข้าได้ยินว่าพี่สี่ของเจ้ากลับมาแล้ว วันนี้ยังไปคิดบัญชีที่จวนส
ซ่งรั่วเจินคิดไม่ถึงเลยว่าอารมณ์ที่ตนเองเผลอแสดงออกมาอย่างไม่ทันระวังในตอนนั้นจะถูกฉู่จวินถิงจับสังเกตได้จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่อาจเลี่ยงแต่ตอนนั้นพอนางได้รู้ว่าซ่งจิ่งเซินเป็นพวกคลั่งรักก็รู้สึกยุ่งยากใจจริงๆ ทั้งไม่อยากจะไปสนใจด้วยแม้ว่าเดิมทีตระกูลซ่งก็เต็มไปด้วยปัญหาอยู่แล้ว แต่สองขาของพี่ใหญ่พิการเพราะได้รับบาดเจ็บระหว่างการรบ ส่วนพี่รองก็ถูกหลอกลวง แต่สติยังแจ่มใสดีมีเพียงซ่งจิ่งเซินที่กระโจนลงไปด้วยความยินยอมพร้อมใจ โชคดีที่จุดพลิกผันนี้ทำให้คนรู้สึกโล่งใจมากพอดีลั่วชิงอินเห็นซ่งรั่วเจินกับฉู่จวินถิงพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาฉายแววประหลาดใจ ลดเสียงลงถามว่า“เยี่ยนโจว คิดไม่ถึงว่าน้องรั่วเจินจะสนิทสนมกับฉู่อ๋องขนาดนี้ หรือว่า...”เมื่อครู่พอนางเห็นท่าทางเคร่งขรึมเย็นชาของฉู่อ๋องก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดคุยอย่างสงบเยือกเย็นเหมือนซ่งรั่วเจินที่ดูจะไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิงแบบนั้นซ่งเยี่ยนโจวมองไปทางน้องสาวของตนเองโดยสัญชาตญาณ “ตอนนี้เจินเอ๋อร์ใจกล้ายิ่งนัก อย่าว่าแต่เป็นฉู่อ๋อง แม้แต่เข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮากับฝ่าบาท นา
สีหน้าซ่งรั่วเจินกับลั่วชิงอินเผยความสลดใจออกมา พวกตนอยู่เมืองหลวงยังดีอยู่ แต่สำหรับชาวบ้าน นั่นคือฟ้าได้ถล่มลงมาแล้วจริงๆ……วันนี้เมิ่งชิ่นออกมาไหว้พระขอพรที่วัดกับมารดาและญาติลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เช้าตรู่นางมองยันต์คุ้มกายในมือ คิดถึงคำกำชับของซ่งรั่วเจินเมื่อวานนี้จึงพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เก็บไว้กับตัวอย่างดีแต่ในใจนางอดสงสัยไม่ได้ วันนี้ไปไหว้พระขอพรที่วัด ระหว่างทางก็มีองครักษ์ติดตาม จะประสบอันตรายได้อย่างนั้นหรือ?เมื่อคนตระกูลเมิ่งเดินทางขึ้นเขา ระหว่างทางก็พบว่ามีคนจำนวนมากมาขอทานอยู่ที่นั่น ทุกคนล้วนหน้าเหลืองตัวซูบผอมดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก“ได้ยินว่าทางใต้เกิดภัยน้ำท่วม ชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่จึงมีผู้อพยพกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองหลวง ในเมื่อวันนี้ได้มาเจอแล้วก็ทำทานให้สักหน่อยเถอะ”มารดาของเมิ่งชิ่นเห็นภาพนั้นแล้วก็บังเกิดจิตเวทนาจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นไปให้แต่พอผู้อพยพเหล่านั้นเห็นอย่างนั้นก็ราวกับเสียสติ กรูเข้ามายื้อแย่งกันจนทำให้เมิ่งฮูหยินสะดุ้งตกใจ องครักษ์จวนสกุลเมิ่งรีบเข้ามาคุ้มครองเมิ่งฮูหยินและเมิ่งชิ่น“ฮูหยินระวังด้วย ผู้อพยพเหล่านี้แต่ละคนขัดส
แต่เด็กหญิงคนนั้นเหมือนจะตกใจจนเสียขวัญ เอาแต่ร้องไห้ร่ำร้องเสียงดังว่า “ข้าไม่ไปจากท่านแม่! ข้าไม่ไปจากท่านแม่!”เมิ่งชิ่นสีหน้าเย็นชา คิดไม่ถึงว่าความหวังดีของนางกลับได้มาเจอกับคนไม่รู้คุณคนเช่นนี้!ข้างล่างนั่นเต็มไปด้วยเศษหินและกิ่งไม้ ถ้าตกลงไปเกรงว่าคงไม่รอดต่อให้โชคดีรักษาครึ่งชีวิตไว้ได้ เกรงว่าก็คงจะเสียโฉมไปจนถึงขั้นพิการ แค่คิดนางก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย“สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจริงๆ จะต้องเป็นเพราะปกติทำบุญสั่งสมกุศลไว้มากเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นคนอื่นตกลงไป ผลลัพธ์คงเลวร้ายสุดคาดคิด”เมิ่งฮูหยินดึงมือเมิ่งชิ่นมาตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จิตใจสั่นสะท้าน แม้แต่ไหว้พระก็ไม่มีอารมณ์ไปแล้วจึงคิดจะลงจากเขาเมิ่งชิ่นได้ยินอย่างนั้นก็ล้วงยันต์คุ้มกายในอกเสื้อของตัวเองออกมาโดยสัญชาตญาณ แล้วก็พบว่ายันต์คุ้มกายที่เดิมทียังสมบูรณ์ดี ยามนี้กลับเป็นสีดำเหมือนถูกเผามากระนั้น...นางตกตะลึง เป็นรั่วเจินช่วยนางไว้!มิน่าเล่าเมื่อวานนางถึงกำชับให้ตนเองพกยันต์คุ้มกายติดตัวเอาไว้ คงทำนายไว้แล้วว่าวันนี้ตนเองจะประสบอันตราย ยันต์นี้...จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด