“นอกจากนี้ ข้าคิดว่าเคอหยวนจื่อยังเป็นคนร้ายกาจไม่ใช่เล่น เกรงว่ากอบโกยผลประโยชน์ไปจนหมดสิ้นแล้ว สุดท้ายความพยายามของพี่สี่ของเจ้าก็คงสูญเปล่าอยู่ดี”“ถึงอย่างไรก็ต้องผิดใจกัน มิสู้ทำแบบที่ตัวเองสบายใจหน่อยดีกว่าจริงไหม?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วพลางยิ้มเมิ่งชิ่นก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ข้าชอบนิสัยนี้ของเจ้าจริงๆ มาวันนี้ได้รู้จักสหายแบบเจ้านับว่าคุ้มค่าแล้ว!”ซ่งรั่วเจินเองก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้รู้จักสหายที่ควรค่าแก่การคบหาคนหนึ่ง เห็นหว่างคิ้วของเมิ่งชิ่นแลดูหม่นหมองรำไรก็หยิบยันต์คุ้มภัยแผ่นหนึ่งส่งไปให้“วันนี้ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยข้าคลี่คลายสถานการณ์ ยันต์คุ้มภัยแผ่นนี้ข้าให้เจ้า ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า พรุ่งนี้จะต้องพกพามันไว้กับตัว”เมิ่งชิ่นรับยันต์คุ้มภัยมาอย่างงุนงง เดิมทีอยากพูดว่าตนเองไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่พอคิดถึงชื่อเสียงซ่งรั่วเจินที่ได้ยินมาช่วงนี้จึงรับมาอย่างทะนุถนอมยิ่ง“ขอบคุณ ข้าจะพกมันไว้กับตัวอย่างดีเลยล่ะ”อาหารจัดเลี้ยงในจวนเซียงอ๋องย่อมดีเลิศอยู่แล้ว เมื่อไม่มีคนที่ตนเองเกลียด ซ่งรั่วเจินก็กินอย่างเบิกบานใจมากระหว่างนั้นได้ยินเรื่องซุบซิบมาเล็กน้อย ในนั้นม
เมื่องานเลี้ยงราตรีถึงคราวเลิกรา ซ่งรั่วเจินกับเมิ่งชิ่นก็กลายเป็นเพื่อนสาวที่สนิทสนมกัน ถึงขั้นนึกแค้นใจที่เจอกันช้าไปเลยทีเดียว“รั่วเจิน พรุ่งนี้ข้าต้องไปไหว้พระกับท่านแม่ อีกสองวันข้าค่อยไปหาเจ้าที่บ้านเจ้าก็แล้วกัน” เมิ่งชิ่นกล่าว“ตกลง ข้าจะรอเจ้า” ซ่งรั่วเจินพยักหน้าแล้วว่า “ยันต์คุ้มภัยที่ข้าให้เจ้าไปจะต้องพกติดตัวไว้ให้ดี ห้ามยกให้ใครทั้งนั้น”เวลานั้นเอง เสียงหลิ่วหรูเยียนก็ดังขึ้นมา “เจินเอ๋อร์ เตรียมตัวกลับจวนได้แล้ว”หลิ่วหรูเยียนเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าคืนนี้พูดคุยกับพระชายาเซียงอ๋องและต่งฮูหยินอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเรื่องช่วยขอร้องแทนสกุลซุน นางก็ไม่เอ่ยถึงอย่างรู้กาลเทศะยิ่งนักในงานเลี้ยง สวี่ชิงเหมยทราบความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วหรูเยียนกับสกุลซุน เข้าใจว่าหลิ่วหรูเยียนไม่สะดวกจะเอ่ยปาก นางจึงเลียบเคียงถามให้อย่างอ้อมๆเห็นว่าเพียงเอ่ยถึงสกุลซุน พระชายาเซียงอ๋องก็มีสีหน้าบึ้งตึง คนทั้งสองก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเรื่องนี้ไม่มีโอกาสแก้ไขได้แล้ว ต่อให้พูดขึ้นมาก็มีแต่จะทำให้หมางใจกันเปล่าๆแม้ว่าหลิ่วเฟยเยี่ยนจะเป็นน้องสาวของนาง แต่นางยังเป็นมารดาคนหนึ่ง
ใบหน้าของเคอหยวนจื่อเต็มไปด้วยโทสะจากความอับอายและความหัวเสีย ราวกับปวดใจเสียเต็มประดา ในใจกลับลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้แต่สวรรค์ก็ยังช่วยเหลือนางจริงๆ!ก่อนหน้านี้ซ่งรั่วเจินก็บอกว่าซ่งจิ่งเซินยังไม่กลับมา คิดว่าคงเพิ่งเดินทางกลับมาถึงก็มาหานางอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว!นางเข้าใจนิสัยของซ่งจิ่งเซินดี ขอแค่นางบอกว่าต่อไปไม่ยอมเจอเขาอีก เขาจะต้องร้อนใจมาก แล้วก็คงจะพลอยโกรธและตำหนิซ่งรั่วเจิน!ความอัปยศที่ได้รับกลางงานเลี้ยงในวันนี้ ยามนี้จะสนองคืนนางคนชั้นต่ำนั่นไปให้หมด จะต้องทำให้นางขอโทษตนเองต่อหน้าผู้คนมากมายให้ได้เลยเชียว!ทว่าซ่งจิ่งเซินมองสตรีตรงหน้าแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นมาชวีคั่วได้ฟังเคอหยวนจื่อฟ้องทุกข์มาแล้ว เดิมก็เจ็บแค้นแทนนาง ยามนี้ซ่งจิ่งเซินที่เป็นตัวต้นเหตุกลับมาแล้ว สีหน้าก็พลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที“ซ่งจิ่งเซิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างปัญหาให้แม่นางเคอมากขนาดไหน? ให้สิ่งของเล็กน้อยมาแล้วยังส่งน้องสาวมาทวงคืนอีก เจ้าทำให้ผู้ชายทุกคนขายหน้าหมดแล้ว!”พวกซ่งรั่วเจินเดินออกมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี“จิ่งเซิน?”ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาหลิ่วหรูเยียน หากที่มากกว่านั้นคือความยิน
“ถ้าข้ารู้ว่าน้องสาวของท่านไม่เห็นด้วย ข้าไม่มีทางรับไว้แน่นอน ท่านวางใจได้ หลังข้ากลับไปแล้วจะนำสิ่งของที่ท่านให้ข้ามาก่อนหน้านี้ส่งคืนให้จวนสกุลซ่งทั้งหมด”เคอหยวนจื่อแสร้งเช็ดน้ำตาด้วยความปวดใจ แม้จะเจ็บช้ำใจมาก แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรี “รั่วเจินไม่ชอบข้า ข้าอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แต่ข้าหวังว่าท่านจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่โลภมากในของพวกนี้!”“ข้าให้อะไรเจ้าไปเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?” ซ่งจิ่งเซินถามเคอหยวนจื่อไม่ค่อยเข้าใจความหมายของซ่งจิ่งเซิน แต่ก็ยังพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านให้อะไรข้ามาเยอะเลย”“รอสักครู่ ขอข้านึกก่อน”ซ่งจิ่งเซินยกมือขึ้นตัดบทเคอหยวนจื่อที่ร่ำไห้พูดพร่ำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆก่อนหน้านี้เขาตกลงไปในทะเล ศีรษะกระแทกแนวปะการังจนสูญเสียความทรงจำ ความทรงจำบางส่วนเพิ่งฟื้นคืนมาเมื่อไม่นานมานี้ คิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้ แต่สตรีตรงหน้าคือใคร? นางกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่?“ข้าให้สิ่งของเจ้าไปมากมาย เดิมทีเจ้าไม่อยากรับ แต่ไม่อยากให้ข้าเสียใจจึงฝืนใจรับไว้ วันนี้น้องหญิงห้าของข้าจึงบอกให้เจ้านำมาคืนใช่หรือไม่?” ซ่งจิ่งเซินถาม“ใช่แล้ว” เคอหยวนจื่อพยักหน้าอีกคร
“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีสัมพันธ์ใดใดต่อกันจริงๆ ยิ่งไม่มีทางหมั้นหมายกันอีกด้วย!” ซ่งจิ่งเซินกล่าวเคอหยวนจื่อได้ยินประโยคแรกยังนึกดีใจอยู่ แต่เมื่อได้ยินประโยคที่สองก็ต้องอึ้งไป นี่หมายความว่าอย่างไร?นางรู้ว่าซ่งจิ่งเซินอยากแต่งงานกับนางมากแค่ไหน ถึงจะทำเพื่อช่วยชี้แจงให้นางก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาสิ“ก่อนหน้านี้ถือว่าข้าทำไม่เหมาะสม ตอนนี้ข้าคิดตกแล้ว ไม่ควรฝืนใจเจ้าจริงๆ”“น้องสาวข้าทำถูกแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ชอบก็คืนทุกอย่างที่ข้าให้ไปกลับมาเถอะ จะได้ไม่สร้างความคลุมเครือจนทำให้คนเข้าใจผิด”ซ่งจิ่งเซินมองชุดแพรไหมบนร่างเคอหยวนจื่อแวบหนึ่ง “ส่วนผ้าไหมบนตัวเจ้า ในเมื่อใช้ตัดชุดไปแล้วจะคืนมาก็คงไม่สะดวก เช่นนั้นก็ให้นับเป็นเงินแทนก็แล้วกัน แบบนี้เจ้าคงพอใจแล้วใช่ไหม?”ซ่งจืออวี้เบิกตาโพลง มองไปทางซ่งรั่วเจินโดยจิตใต้สำนึก “น้องสี่คงไม่ได้โมโหจนเสียสติไปแล้วหรอกนะ?”ในอดีตที่เขาเกลี้ยกล่อมไม่ให้น้องสี่มอบสิ่งของไปกำนัลเคอหยวนจื่อ ไม่ใช่เพราะหวงแหนเงินทอง แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าเคอหยวนจื่อไม่จริงใจเลยสักนิดถ้าเป็นแม่นางดีๆ สักคน น้องสี่แต่งคนกลับมา ต่อให้ใช้เงินมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ส
ซ่งรั่วเจินได้ยินถ้อยคำเสียดสีของเมิ่งชิ่นแล้วก็แทบกลั้นรอยยิ้มตรงมุมปากไว้ไม่อยู่นางรู้แจ่มแจ้งว่าสิ่งที่เคอหยวนจื่อชอบก็คือความฟุ้งเฟ้อเหล่านี้เอง ของใช้ล้วนแต่เป็นสิ่งของคุณภาพดีเลิศถ้าสิ่งที่ซ่งจิ่งเซินมอบให้ไม่ใช่ของชั้นดีเลิศ นางยังจะไม่พอใจเสียอีก นี่ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ซ่งจิ่งเซินอยากขยายกิจการไปยังเมืองอื่นๆเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งของที่ทันสมัยและพิเศษที่สุดก็จะตกถึงมือเขาในทันที และยังสามารถเรียกรอยยิ้มของเคอหยวนจื่อได้อีกด้วยตอนนี้ดีนัก ให้เคอหยวนจื่อได้ลิ้มรสชาติของการทุ่มก้อนหินใส่เท้าตัวเองสักครา!เคอหยวนจื่อมองไปทางชวีคั่วอย่างน้อยอกน้อยใจ ฝ่ายหลังสบสายตาดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิแล้วก็พลันพลุ่งพล่านใจ ชี้นิ้วตำหนิซ่งจิ่งเซินเสียงเกรี้ยว“ซ่งจิ่งเซิน เจ้าช่างน่าไม่อายจริงๆ ก่อนหน้านี้บอกว่าชอบเคอหยวนจื่อจากใจจริง ตอนนี้กลับจะทวงสิ่งของกลับคืนไป เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร?”“ทำไมข้าจะพูดออกมาไม่ได้? นางบอกเองว่าไม่มีสัมพันธ์กับข้า สิ่งของเหล่านั้นเป็นภาระสำหรับนาง”“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองว่าข้าทำไม่ถูกที่ฝืนใจนาง ยามนี้ข้าไม่ฝืนใจแล้วก็ยังไม่ถูก คำพูดล้วนถูก
ชวีคั่วกลับไม่อาจทนเห็นคนรักของตนถูกรังแกได้ จึงว่าให้ด้วยความโมโห “ซ่งรั่วเจิน เจ้ามีปัญหาอะไรก็มาชำระสะสางกับข้า เหตุใดจึงต้องรังแกแม่นางน้อยผู้หนึ่งด้วย?”“ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าและหยวนจื่อกำลังจะหมั้นหมาย สองตระกูลเจรจาวิวาห์กันดีแล้ว นางจะเคียงคู่ชิดใกล้กับข้ามากหน่อยแล้วเดือดร้อนผู้ใดกัน?”“ต่อให้เจ้าจะริษยาเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ไหนจะของพวกนี้ของเจ้าอีก แต่ไหนแต่ไรหยวนจื่อก็มิได้ขาดเหลือ!”ว่าจบชวีคั่วก็ยิ้มเยาะอย่างได้ใจ ต่อให้ซ่งจิ่งเซินจะเก่งเรื่องการค้าแล้วอย่างไรกัน?หยวนจื่อเป็นของเขา!เคอหยวนจื่อไม่คาดคิดว่าชวีคั่วจะหุนหันพลันแล่นเอ่ยถ้อยคำที่ไม่ควรพูดที่สุดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ จะมิเป็นการประกาศก้องต่อผู้คนเลยหรือว่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่ซ่งรั่วเจินพูดล้วนเป็นความจริง? เดิมทีนางยังคงคิดอยากจะเลือกอีกสักหน่อย ไม่ได้แน่วแน่ว่าจะต้องแต่งกับชวีคั่วเท่านั้น ทว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นวันนี้ขึ้นแล้วแม้ใจจะไม่อยากแต่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว!“แปะๆ” ซ่งรั่วเจินปรบมือแสดงความยินดี “ที่แท้ทั้งสองก็เจรจาเรื่องวิวาห์กันมานานแล้วหรือ? เช่นนั้นก่อนนี้เหตุใดแม่นางเคอจึงมิได้บอกกล่าวกันให้ช
เมื่อกลับมาถึงสกุลซ่งแล้ว ซ่งจิ่งเซินก็พบว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมายังตน ทำเอาเกิดขนลุกเกรียวขึ้นมาไม่ได้“ท่านแม่ พี่รอง พี่สาม น้องหญิงห้า เหตุใดจึงพากันมองข้าเช่นนั้นเล่า?”“จิ่งเซิน เจ้าบอกแม่มาตามตรงเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”เรือนคิ้วหลิ่วหรูเยียนขมวดมุ่น ลูกชายตนนิสัยใจคอเป็นเช่นไรนางรู้เสียยิ่งกว่ารู้อีก ว่าคนเช่นเขาต่อให้เอาช้างมาฉุดก็อยากจะหยุดเอาไว้ได้อยู่ ทว่าจู่ๆ นิสัยใจคอกลับแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ ซ่งจิ่งเซินเกาศีรษะ สีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้าง “อันที่จริงก่อนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บ จึงมีเรื่องราวบางเหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจนึกขึ้นมาได้”“ว่ากระไรนะ?”ทุกคนต่างพากันชะงักงัน แม้จะคิดเหตุผลเอาไว้นานัปการ ทว่าสิ่งที่ได้ยินก็ยังคงเหนือไปจากความคาดหมายอยู่ไกลโขเมื่อซ่งจิ่งเซินได้นำความบอกเล่าออกไปแล้ว ทุกคนถึงได้รู้ว่าเมื่อครั้งที่เขาออกตามหาไข่มุกยังทะเลใต้ คาดไม่ถึงว่ากลับถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บเข้าเสียก่อน แล้วยังถูกเกลียวคลื่นพัดพาออกไป เคราะห์ดีที่มีชาวประมงไม่ใกล้ไม่ไกลพบเข้าและช่วยเอาไว้เสียก่อนเขาสลบไสลไม่ได้สติไปนานหล
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด