“ตายแน่... เขาจับได้ว่านางลอบหนีออกมาจากจวน!”ความตื่นตระหนกทำให้ไป๋ลู่ไม่คิดสิ่งใดอีกต่อไป นางหมุนตัวและรีบวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นทันที ทิ้งให้หวังจิ่นหรงยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าหอคณิกา สายตาสีทองของเขาจับจ้องไปยังแผ่นหลังเล็กๆ ที่ค่อยๆ หายลับไป“ลูเอ๋อร์...มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”หวังจิ่นหรงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในตอนแรกเขาตั้งใจจะตามนางไปเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยกลัวว่าไป๋ลู่จะน้อยใจเขาเหมือนเช่นวันนั้นแต่อีกใจหนึ่ง หวังจิ่นหรงก็ชั่งใจว่าควรปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปดีหรือไม่ทันใดนั้น ทหารส่วนพระองค์คนหนึ่งเดินออกมาจากหอคณิกา พร้อมทั้งเรียกเขากลับเข้าไปเพื่อสะสางราชการลับต่อหวังจิ่นหรงถอนหายใจยาว ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในหอคณิกา เพียงเพื่อสะสางงานที่ยังคั่งค้าง ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าที่พัดผ่าน ความรู้สึกอึดอัดทั้งหมดของเขา ความลับในใจของเขาที่ยังไม่เคยได้เอื้อนเอ่ยออกไปเมื่อกลับมาถึงเขตจวน ไป๋ลู่ที่ยังคงโกรธจัดจู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ นางเดินตรงไปยังโรงครัว และเริ่มระบายโทสะกับวัตถุดิบเกือบทุกอย่างที่มีอยู่ตรงหน้า“คนเลว
ตั้งแต่วันที่ไป๋ลู่เห็นหวังจิ่นหรงเดินออกมาจากหอคณิกา นางและหวังจินลงก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับเพียงเท่านั้นฮูหยิน ข้าขอฝากจวนนี้ไว้ในความดูแลของเจ้า หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากองค์รักษ์ หรือส่งจดหมายมาหาข้าได้ทุกเมื่อแม้ข้อความในจดหมายจะดูเหมือนว่าหวังจิ่นหรงมอบความไว้วางใจให้นาง แต่ในสายตาของไป๋ลู่แล้วกลับรู้สึกไปว่ามันเป็นคำพูดที่ส่งมาให้พ้นหน้าที่ไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความห่วงใยหรือใส่ใจกันแต่อย่างใดการพึ่งพาใครนั้นไม่เคยอยู่ในวิสัยของไป๋ลู่ เพราะอดีตนั้นได้หล่อหลอมให้หญิงสาวกลายเป็นคนที่ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่เคยคาดหวังขอความช่วยเหลือจากใครแม้สถานะของไป๋ลู่จะเปลี่ยนไป แต่บาดแผลในจิตใจยังคงอยู่ ความไม่ไว้ใจในผู้คนยังคงกัดกร่อนหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านชงชาเข้มเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านดูเหม่อลอยมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดที่ผิงผิงพอจะช่วยแบ่งเบาได้หรือไม่เจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงท่านเหลือเกิน“ผิงผิงอดเป็นห่วงนายหญิงของตนไม่ได้ ตั้งแต่กลับจากการออกไปสำรวจโรงน้ำชา ท่าทีของฮูหยินก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนกับว่านางกำลังม
ในขณะที่ฮูหยินไป๋ลู่และบ่าวไพร่กำลังสนุกสนานกับการทดลองเครื่องดื่มใหม่และน้ำแข็งใสอยู่นั่นเอง ทหารองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูจวนก็รีบเดินเข้ามา“ฮูหยินขอรับ...” ทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงรีบร้อน“ตอนนี้มีชาวบ้านมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าจวนของท่านโหว เห็นว่าท่านเจ้าเมืองไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ พวกเขาจึงตัดสินใจมาหาท่านโหว แต่”เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ...“ตอนนี้ท่านโหวออกไปลาดตระเวนชายแดน เกรงว่า”ไป๋ลู่วางถ้วยน้ำแข็งใสในมือลง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับพลทหารผู้นั้น“ข้ารู้แล้ว ฝากเจ้าไปแจ้งชาวบ้านด้วยว่าข้าจะออกไปพบพวกเขาในไม่ช้า”ไป๋ลู่กล่าวจบก็หยิบเสื้อคลุมหนาตัวหนึ่งขึ้นมาสวม“ฮูหยินเจ้าคะ” ผิงผิงรีบเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อคลุมอีกตัวในมือ“ท่านใส่ตัวนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ ที่จริงแล้ว ท่านโหวสั่งให้ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง”“ท่านโหวอย่างนั้นหรือ?”ไป๋ลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัย ขณะที่ดวงตาสีเทาของนางจับจ้องเสื้อคลุมในมือของผิงผิง“สั่งให้เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ให้ข้า?”นางพูดซ้ำราวกับไม่อยากเชื่อ ดวงตาฉายแววลังเล“คนเย็นชาอย่างหวังจิ่นหรง จะใส่ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหร
“ฮูหยินเจ้าคะ! ท่านโหวกลับมาจากชายแดนแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวให้กับนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยหวังว่าสาเหตุที่นายหญิงของนางดูซึมเศร้าในช่วงนี้ สาเหตุอาจจะมาจากการที่ต้องห่างไกลกับท่านโหวบ่าวคนนี้จึงคาดคิดไปเองว่าหากทำให้ทั้งสองได้เจอหน้ากัน สถานการณ์อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ความจริงที่ผิงผิงไม่รู้ก็คือ ระหว่างไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง ยังคงมีบางเรื่องที่ยังถกกันอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเสมือนเชือกเส้นบางที่ขึงตึง พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อไป๋ลู่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด นัยน์ตาสีเทาอ่อนที่เคยสงบนิ่งของนางฉายแววสับสนชั่วขณะ“เขากลับมาแล้วหรือ...”แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเฉย แต่ไป๋ลู่นั้นกลับซ่อนความรู้สึกอันหลากหลายเอาไว้ในใจ“เจ้าคิดว่า...เขาอยากเจอข้าหรือไม่?”“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านโหวอยากพบท่านแน่นอนเจ้าค่ะ บางที...นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ท่านทั้งสองจะได้พูดคุยกัน”จากนั้นไป๋ลู่ก็ออกไปนอกเรือนเพื่อพบหน้าท่านโหวที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน ใจนางอดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าเขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหม ยังคงเป็นคนที่ปากเก่งและเย่อหยิ่งเช
“ตูม!”จู่ๆ หวังจิ่นหรงก็ดึงตัวไป๋ลู่เข้ามาในอ่างอาบน้ำใบใหญ่โดยไม่ทันให้ตั้งตัว เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มจนเผยให้เห็นเรือนร่างอันงดงามที่ซ่อนอยู่ภายในหวังจิ่นหรงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน เลือดลมสูบฉีดอย่างแรงจนเขาต้องหายใจลึกเพื่อควบคุมตัวเองอารมณ์กำหนัดกลับปะทุขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือสุราแม้แต่น้อย เขาอยากจะครอบครองนางตรงนี้ แต่ก็นึกได้ว่านางคงไม่ยอมง่ายๆ ก่อนที่สติของเขากำลังจะเตลิดไปมากกว่านี้ เห็นทีว่าเขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง“เจ้าออกไปได้แล้ว!”ไป๋ลู่หน้าแดงจัด“แต่ข้ายังทำหน้าที่ไม่เสร็จเลยนะเจ้าคะ!”“อ้อ... เช่นนั้นเจ้ากำลังบอกว่าต้องการร่วมเตียงกับข้าหรือ?”“ไม่ใช่! ข้าแค่หมายถึงการอาบน้ำให้ท่านจนเสร็จต่างหาก หาใช่ร่วมเตียงกับท่านไม่!”ไป๋ลู่พูดพลางกระแทกเท้าออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หวังจิ่นหรงนั่งยิ้มขบขันอยู่เพียงลำพังในอ่างน้ำใบใหญ่ไม่นานนัก หวังจิ่นหรงก็ออกมาจากห้องน้ำ เมื่อไป๋ลู่เห็นดังนั้น นางตั้งใจจะก้าวออกจากห้องนอนของเขา แต่กลับถูกหวังจิ่นหรงดึงมือเอาไว้แน่น“คืนนี้นอนกับข้า การเฝ้าไข้สามีถือเป็นหน้าที่ของภรรยาอย่างหนึ่ง”ไป๋ลู่พูดอะไรไม่ออ
ในคืนหนึ่งที่หวังจิ่นหรงมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกจากจวน ไป๋ลู่ตัดสินใจบุกเข้าไปยังห้องเอกสารลับด้วยตัวเอง“เขาคงไปหอคณิกาอีกแล้วสินะ”นางคิดด้วยความไม่พอใจ“ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรดี ถึงทำให้เขาไปบ่อยนัก”เมื่อเข้าไปในห้องเอกสารลับ ไป๋ลู่จึงลงมือสำรวจสิ่งของรอบตัว ส่วนใหญ่เป็นของเล่นในวัยเยาว์และอาวุธสะสม แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของไป๋ลู่ คือกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งเมื่อเปิดกล่องขึ้น นางพบเอกสารลับจำนวนมาก และจดหมายฉบับหนึ่งที่มีตราประทับของฮ่องเต้ เนื้อความในจดหมายทำให้นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจทูลฝ่าบาท เพื่อความปลอดภัยของแผ่นดินและเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ข้าหวังจิ่นหรง ขอให้พระองค์มอบสมรสพระราชทานให้กระหม่อมกับไป๋ลู่ บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีไป๋เซียงด้วยพ่ะย่ะค่ะหัวใจของไป๋ลู่เต้นแรงด้วยความสับสน ในจดหมายอีกฉบับยังระบุชัดว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นความต้องการของหวังจิ่นหรงเอง ไม่ใช่การบังคับจากฮ่องเต้หรือเหตุผลทางการเมืองตามที่นางเคยเข้าใจ“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้? ทั้งๆ ที่เขาทำตัวเย็นชาใส่ข้ามาโดยตลอด แต่กลับเป็นคนขอสมรสพระราชทานด้วยตัวเอง...”ณ ตำหนักกวางหมิงอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ใ
ในห้องครัวของจวนโหวนั้น ทั้งฮูหยินของจวนและบรรดาบ่าวไพร่กำลังหัวหมุนเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้สาส์นฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง เรื่องการมาเยือนแดนเหนือของแขกคนสำคัญ“ไม่ได้ หากทำตามสูตรที่ข้าคิดไว้ สีมันจะต้องไม่ได้ออกมาเหลืองเช่นนี้” ไป๋ลู่กล่าวพลางขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ในหม้ออย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปถามอาฟาง แม่ครัวคนสนิทของจวน“อาฟาง เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าต้มถั่วเหลืองได้ถูกวิธีตามที่ข้าสอนไป?”ไป๋ลู่ถามแม่ครัวอย่างอดสงสัยไม่ได้ ทางด้านอาฟางก็พนักหน้าอย่างหนักแน่นพลางตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“เจ้าค่ะ ฮูหยิน ข้าทำตามที่ท่านสั่งทุกขั้นตอน ไม่ได้พลาดอะไรเลยนะเจ้าคะ”“งั้นหรือ... ถ้าเช่นนั้น อาจจะเป็นข้าเองที่คำนวณพลาดไป”ในขณะที่ทั้งนายและบ่าวต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาน้ำเต้าหู้ ถกเถียงกันเรื่องส่วนผสมและวิธีการต้ม พวกนางกลับลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า อีกฟากหนึ่งของจวนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่“ท่านโหว ได้โปรดปราณีข้าด้วย!”“ปราณีอย่างนั้นหรือ?”หวังจิ่นหรงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายใจ แต่แววตาสีทองคู่นั้นกลับเย็นเยียบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดในจวน เบื้องหน้าของเขาคือบ่าวคนหนึ
ท่านโหวที่ได้ชิมน้ำเต้าหู้ ตอนแรกเขารู้สึกชอบใจกับรสชาติและกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้เป็นอย่างมาก แต่พอเห็นว่าภรรยากำลังตั้งอกตั้งใจจัดเตรียมน้ำเต้าหู้นี้อย่างพิถีพิถัน เพื่อใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญ สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปทันทีนางสนใจแขกคนนั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจเขา รสชาติอันนุ่มนวลในปากพลันจืดชืดลงไปในทันที“น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!” พลางวางถ้วยน้ำเต้าหู้ลงอย่างไม่ใยดี ก่อนจะลุกพรวดขึ้นและเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ร่างสูงของเขาก็หายลับออกไปนอกจวน ทิ้งให้ไป๋ลู่ที่กำลังจะเดินเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับรสชาติของน้ำเต้าหู้ต้องยืนอยู่ลำพังในความเงียบ นางมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกที่ปะปนไปด้วยความผิดหวังและเศร้าใจในขณะที่ไป๋ลู่เข้าใจว่าเขาทอดทิ้งนางไปเพราะความเย็นชาตามเดิม หวังจิ่นหรงกลับมุ่งหน้าไปยังป่าใกล้ชายแดน เขาคว้าธนูและกระบอกลูกศรจากห้องเก็บอาวุธ และออกล่าสัตว์อย่างที่มักทำเมื่อยามเขามีอารมณ์ขุ่นมัว“ฉึก ฉึก!” ธนูลูกแล้วลูกเล่าถูกปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ยอมเสียไป๋ลู่ให้กับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน“คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ ว่าท่านมาด้วยเรื่องอะไร!?”ในที่
“ข้าไม่ได้แย่งเพื่อลบล้างความแค้นในอดีตแต่อย่างใด แต่ข้าทำเพราะข้าจะไม่ยอมเสียสิ่งสำคัญของข้าให้คนเช่นท่านอีกต่อไปต่างหาก!”คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในเรือนรับรองตึงเครียดยิ่งขึ้น ดวงตาของทั้งสองฝ่ายต่างจ้องกันราวกับพร้อมจะปะทะในทุกขณะ แม้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจะดูสงบ แต่ใต้ความสงบนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เดือดพล่านอย่างไม่อาจระงับในขณะที่บุรุษทั้งสองนั้นกำลังปะทะคารมทำสงครามประสาทกัน ไป๋ลู่ที่เดินย้อนกลับมานั้น เผลอได้ยินบางส่วนของการสนทนา...“ท่านโหวทำไปเพียงเพื่อต้องการพรากข้ามาจากองค์ชายใหญ่? แล้วองค์ชายใหญ่เองก็พรากบิดามารดาของท่านโหวไปงั้นหรือ”นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านขอสมรสพระราชทานสินะ เพื่อใช้ข้าแก้แค้นองค์ชายใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวของท่านเสียชีวิต“ตัวข้านั้นควรทำอย่างไรดี ฝ่ายหนึ่งก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเกียรติของข้า ถึงว่าว่ามันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดศีลธรรมก็ตาม ส่วนอีกฝ่ายถึงเขาคิดใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น…แต่ข้าก็โกรธเขาไม่ลง”ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่แทบจะระเบิด เอกบุรุษทั้งสองยังคงปะทะกัน และมีท่าทีที่จะดุเดือดขึ้นไปอีก ในจังหวะที่หวังจิ่นหรงและมู่หรงเฟิงต
บุรุษผู้มาใหม่คือหวังจิ่นหรง เขายืนนิ่งอยู่ด้านหลังไป๋ลู่ ดวงตาสีทองฉายแววเย็นชา การปรากฏตัวของเขาทำให้บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดในทันทีฮูหยินผู้หนึ่งรีบลุกขึ้นอย่างลนลาน“ท่านโหว... คือว่า...”นั่นสิ จะให้พูดได้อย่างไร เพราะเป็นพวกเราที่กุข่าวลือเหล่านั้นขึ้นมาเองฮูหยินอีกคนหนึ่งคิดในใจ สีหน้าของนางซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น“หากพวกท่านบอกมิได้ก็ไม่เป็นไร”เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความเย็นเยือก“ข้าจะไปเชิญคนผู้นั้นมาด้วยวิธีของข้าเอง”ฮูหยินทุกคนในที่นั้นต่างเงียบกริบ สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความกดดันในจังหวะนั้นเอง ไป๋ลู่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเอ่ยบางสิ่งขึ้นเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้“ท่านโหว... ท่านพี่ ท่านพูดคุยธุระของท่านเสร็จแล้วหรือ ถึงได้เดินมาทางนี้”ไป๋ลู่รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำนี้ของหวังจิ่นหรงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเขาจงใจเดินมาทางนี้ เพื่อปกป้องนางจากฮูหยินปากไม่ดีพวกนี้“น้องหญิงของข้า เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“น้องหญิง?”เกิดอะไรขึ้นกับท่านโหวกัน ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยคิดเรียกนางว่าน้องหญิงมาก่อน แค่คำว่าฮูหยินที่เอ่ยออกมาแต
ท่านโหวที่ได้ชิมน้ำเต้าหู้ ตอนแรกเขารู้สึกชอบใจกับรสชาติและกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้เป็นอย่างมาก แต่พอเห็นว่าภรรยากำลังตั้งอกตั้งใจจัดเตรียมน้ำเต้าหู้นี้อย่างพิถีพิถัน เพื่อใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญ สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปทันทีนางสนใจแขกคนนั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจเขา รสชาติอันนุ่มนวลในปากพลันจืดชืดลงไปในทันที“น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!” พลางวางถ้วยน้ำเต้าหู้ลงอย่างไม่ใยดี ก่อนจะลุกพรวดขึ้นและเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ร่างสูงของเขาก็หายลับออกไปนอกจวน ทิ้งให้ไป๋ลู่ที่กำลังจะเดินเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับรสชาติของน้ำเต้าหู้ต้องยืนอยู่ลำพังในความเงียบ นางมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกที่ปะปนไปด้วยความผิดหวังและเศร้าใจในขณะที่ไป๋ลู่เข้าใจว่าเขาทอดทิ้งนางไปเพราะความเย็นชาตามเดิม หวังจิ่นหรงกลับมุ่งหน้าไปยังป่าใกล้ชายแดน เขาคว้าธนูและกระบอกลูกศรจากห้องเก็บอาวุธ และออกล่าสัตว์อย่างที่มักทำเมื่อยามเขามีอารมณ์ขุ่นมัว“ฉึก ฉึก!” ธนูลูกแล้วลูกเล่าถูกปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ยอมเสียไป๋ลู่ให้กับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน“คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ ว่าท่านมาด้วยเรื่องอะไร!?”ในที่
ในห้องครัวของจวนโหวนั้น ทั้งฮูหยินของจวนและบรรดาบ่าวไพร่กำลังหัวหมุนเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้สาส์นฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง เรื่องการมาเยือนแดนเหนือของแขกคนสำคัญ“ไม่ได้ หากทำตามสูตรที่ข้าคิดไว้ สีมันจะต้องไม่ได้ออกมาเหลืองเช่นนี้” ไป๋ลู่กล่าวพลางขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ในหม้ออย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปถามอาฟาง แม่ครัวคนสนิทของจวน“อาฟาง เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าต้มถั่วเหลืองได้ถูกวิธีตามที่ข้าสอนไป?”ไป๋ลู่ถามแม่ครัวอย่างอดสงสัยไม่ได้ ทางด้านอาฟางก็พนักหน้าอย่างหนักแน่นพลางตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“เจ้าค่ะ ฮูหยิน ข้าทำตามที่ท่านสั่งทุกขั้นตอน ไม่ได้พลาดอะไรเลยนะเจ้าคะ”“งั้นหรือ... ถ้าเช่นนั้น อาจจะเป็นข้าเองที่คำนวณพลาดไป”ในขณะที่ทั้งนายและบ่าวต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาน้ำเต้าหู้ ถกเถียงกันเรื่องส่วนผสมและวิธีการต้ม พวกนางกลับลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า อีกฟากหนึ่งของจวนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่“ท่านโหว ได้โปรดปราณีข้าด้วย!”“ปราณีอย่างนั้นหรือ?”หวังจิ่นหรงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายใจ แต่แววตาสีทองคู่นั้นกลับเย็นเยียบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดในจวน เบื้องหน้าของเขาคือบ่าวคนหนึ
ในคืนหนึ่งที่หวังจิ่นหรงมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกจากจวน ไป๋ลู่ตัดสินใจบุกเข้าไปยังห้องเอกสารลับด้วยตัวเอง“เขาคงไปหอคณิกาอีกแล้วสินะ”นางคิดด้วยความไม่พอใจ“ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรดี ถึงทำให้เขาไปบ่อยนัก”เมื่อเข้าไปในห้องเอกสารลับ ไป๋ลู่จึงลงมือสำรวจสิ่งของรอบตัว ส่วนใหญ่เป็นของเล่นในวัยเยาว์และอาวุธสะสม แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของไป๋ลู่ คือกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งเมื่อเปิดกล่องขึ้น นางพบเอกสารลับจำนวนมาก และจดหมายฉบับหนึ่งที่มีตราประทับของฮ่องเต้ เนื้อความในจดหมายทำให้นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจทูลฝ่าบาท เพื่อความปลอดภัยของแผ่นดินและเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ข้าหวังจิ่นหรง ขอให้พระองค์มอบสมรสพระราชทานให้กระหม่อมกับไป๋ลู่ บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีไป๋เซียงด้วยพ่ะย่ะค่ะหัวใจของไป๋ลู่เต้นแรงด้วยความสับสน ในจดหมายอีกฉบับยังระบุชัดว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นความต้องการของหวังจิ่นหรงเอง ไม่ใช่การบังคับจากฮ่องเต้หรือเหตุผลทางการเมืองตามที่นางเคยเข้าใจ“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้? ทั้งๆ ที่เขาทำตัวเย็นชาใส่ข้ามาโดยตลอด แต่กลับเป็นคนขอสมรสพระราชทานด้วยตัวเอง...”ณ ตำหนักกวางหมิงอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ใ
“ตูม!”จู่ๆ หวังจิ่นหรงก็ดึงตัวไป๋ลู่เข้ามาในอ่างอาบน้ำใบใหญ่โดยไม่ทันให้ตั้งตัว เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มจนเผยให้เห็นเรือนร่างอันงดงามที่ซ่อนอยู่ภายในหวังจิ่นหรงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน เลือดลมสูบฉีดอย่างแรงจนเขาต้องหายใจลึกเพื่อควบคุมตัวเองอารมณ์กำหนัดกลับปะทุขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือสุราแม้แต่น้อย เขาอยากจะครอบครองนางตรงนี้ แต่ก็นึกได้ว่านางคงไม่ยอมง่ายๆ ก่อนที่สติของเขากำลังจะเตลิดไปมากกว่านี้ เห็นทีว่าเขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง“เจ้าออกไปได้แล้ว!”ไป๋ลู่หน้าแดงจัด“แต่ข้ายังทำหน้าที่ไม่เสร็จเลยนะเจ้าคะ!”“อ้อ... เช่นนั้นเจ้ากำลังบอกว่าต้องการร่วมเตียงกับข้าหรือ?”“ไม่ใช่! ข้าแค่หมายถึงการอาบน้ำให้ท่านจนเสร็จต่างหาก หาใช่ร่วมเตียงกับท่านไม่!”ไป๋ลู่พูดพลางกระแทกเท้าออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หวังจิ่นหรงนั่งยิ้มขบขันอยู่เพียงลำพังในอ่างน้ำใบใหญ่ไม่นานนัก หวังจิ่นหรงก็ออกมาจากห้องน้ำ เมื่อไป๋ลู่เห็นดังนั้น นางตั้งใจจะก้าวออกจากห้องนอนของเขา แต่กลับถูกหวังจิ่นหรงดึงมือเอาไว้แน่น“คืนนี้นอนกับข้า การเฝ้าไข้สามีถือเป็นหน้าที่ของภรรยาอย่างหนึ่ง”ไป๋ลู่พูดอะไรไม่ออ
“ฮูหยินเจ้าคะ! ท่านโหวกลับมาจากชายแดนแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวให้กับนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยหวังว่าสาเหตุที่นายหญิงของนางดูซึมเศร้าในช่วงนี้ สาเหตุอาจจะมาจากการที่ต้องห่างไกลกับท่านโหวบ่าวคนนี้จึงคาดคิดไปเองว่าหากทำให้ทั้งสองได้เจอหน้ากัน สถานการณ์อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ความจริงที่ผิงผิงไม่รู้ก็คือ ระหว่างไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง ยังคงมีบางเรื่องที่ยังถกกันอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเสมือนเชือกเส้นบางที่ขึงตึง พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อไป๋ลู่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด นัยน์ตาสีเทาอ่อนที่เคยสงบนิ่งของนางฉายแววสับสนชั่วขณะ“เขากลับมาแล้วหรือ...”แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเฉย แต่ไป๋ลู่นั้นกลับซ่อนความรู้สึกอันหลากหลายเอาไว้ในใจ“เจ้าคิดว่า...เขาอยากเจอข้าหรือไม่?”“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านโหวอยากพบท่านแน่นอนเจ้าค่ะ บางที...นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ท่านทั้งสองจะได้พูดคุยกัน”จากนั้นไป๋ลู่ก็ออกไปนอกเรือนเพื่อพบหน้าท่านโหวที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน ใจนางอดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าเขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหม ยังคงเป็นคนที่ปากเก่งและเย่อหยิ่งเช
ในขณะที่ฮูหยินไป๋ลู่และบ่าวไพร่กำลังสนุกสนานกับการทดลองเครื่องดื่มใหม่และน้ำแข็งใสอยู่นั่นเอง ทหารองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูจวนก็รีบเดินเข้ามา“ฮูหยินขอรับ...” ทหารเอ่ยด้วยน้ำเสียงรีบร้อน“ตอนนี้มีชาวบ้านมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าจวนของท่านโหว เห็นว่าท่านเจ้าเมืองไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ พวกเขาจึงตัดสินใจมาหาท่านโหว แต่”เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ...“ตอนนี้ท่านโหวออกไปลาดตระเวนชายแดน เกรงว่า”ไป๋ลู่วางถ้วยน้ำแข็งใสในมือลง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับพลทหารผู้นั้น“ข้ารู้แล้ว ฝากเจ้าไปแจ้งชาวบ้านด้วยว่าข้าจะออกไปพบพวกเขาในไม่ช้า”ไป๋ลู่กล่าวจบก็หยิบเสื้อคลุมหนาตัวหนึ่งขึ้นมาสวม“ฮูหยินเจ้าคะ” ผิงผิงรีบเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อคลุมอีกตัวในมือ“ท่านใส่ตัวนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ ที่จริงแล้ว ท่านโหวสั่งให้ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง”“ท่านโหวอย่างนั้นหรือ?”ไป๋ลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัย ขณะที่ดวงตาสีเทาของนางจับจ้องเสื้อคลุมในมือของผิงผิง“สั่งให้เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ให้ข้า?”นางพูดซ้ำราวกับไม่อยากเชื่อ ดวงตาฉายแววลังเล“คนเย็นชาอย่างหวังจิ่นหรง จะใส่ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหร
ตั้งแต่วันที่ไป๋ลู่เห็นหวังจิ่นหรงเดินออกมาจากหอคณิกา นางและหวังจินลงก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับเพียงเท่านั้นฮูหยิน ข้าขอฝากจวนนี้ไว้ในความดูแลของเจ้า หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากองค์รักษ์ หรือส่งจดหมายมาหาข้าได้ทุกเมื่อแม้ข้อความในจดหมายจะดูเหมือนว่าหวังจิ่นหรงมอบความไว้วางใจให้นาง แต่ในสายตาของไป๋ลู่แล้วกลับรู้สึกไปว่ามันเป็นคำพูดที่ส่งมาให้พ้นหน้าที่ไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความห่วงใยหรือใส่ใจกันแต่อย่างใดการพึ่งพาใครนั้นไม่เคยอยู่ในวิสัยของไป๋ลู่ เพราะอดีตนั้นได้หล่อหลอมให้หญิงสาวกลายเป็นคนที่ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่เคยคาดหวังขอความช่วยเหลือจากใครแม้สถานะของไป๋ลู่จะเปลี่ยนไป แต่บาดแผลในจิตใจยังคงอยู่ ความไม่ไว้ใจในผู้คนยังคงกัดกร่อนหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านชงชาเข้มเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านดูเหม่อลอยมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดที่ผิงผิงพอจะช่วยแบ่งเบาได้หรือไม่เจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงท่านเหลือเกิน“ผิงผิงอดเป็นห่วงนายหญิงของตนไม่ได้ ตั้งแต่กลับจากการออกไปสำรวจโรงน้ำชา ท่าทีของฮูหยินก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนกับว่านางกำลังม